ข่าวปนคน คนปนข่าว
**"เสรีพิศุทธ์" อภัย "ปารีณา" - "เศรษฐา" ไม่ติดใจ "ชูวิทย์" นี่แหละหนา ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร!
จากคู่กรณีฟาดฟันเชือดเฉือนเดือดปุดๆ จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล สุดท้ายจบด้วยการให้อภัย
ต้องบอกว่า ไม่มีใครคาดคิดเมื่อ สองคู่เดือด ระหว่าง "ป๋าเสรี" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฟาดกับ "เอ๋" น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และ ระหว่าง "นายกฯนิด"เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โซ้ยกับ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" บทจะจบ ก็จบลงง่ายดาย
“เอ๋-ปารีณา” นั้นได้โพสต์ข้อความขอโทษ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” ผ่านเฟซบุ๊กก่อน โดยระบุว่า ตามที่ตนเองได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว และไปออกรายการหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 และ 15 เมษายน 2565 รวมถึงไปให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2565 ในประเด็นที่ระบุ ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สร้างท่าเทียบเรือรุกล้ำลำน้ำเจ้าพระยา และถมหินรุกล้ำลำน้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี นั้น หลังจากได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้รับอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ได้รุกล้ำแต่อย่างใด จึงขอโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว แบบสาธารณะ เพื่อกล่าวคำขอโทษต่อ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” ต่อเนื่อง 7 วัน และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ให้อภัย และได้ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อ.932/2565 และ คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อ .1307/2565 ของศาลอาญาทั้งสองคดี ให้แก่เจ้าตัวแล้ว
ต่อมา "ป๋าเสรี" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แชร์ข้อความขอโทษของ “ปารีณา” ผ่านเฟซบุ๊ก โดยเขียนข้อความระบุถึงกรณีดังกล่าวว่าตัวเองเป็นอดีตนายตำรวจที่สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมายมาทั้งชีวิต
ด้วยเหตุนี้การที่จะดำเนินการอะไรก็ตาม จะไม่มีการละเมิดกฎหมายโดยเด็ดขาด แต่ในทางการเมือง มีคนพยายามจะกล่าวหาว่ากระทำการผิดกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องก่อสร้างท่าเทียบเรือ เรื่องบุกรุกที่ดิน หรือเรื่องอื่นใดก็ตาม จึงจำเป็นต้องฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อปกป้องสิทธิ์ และชื่อเสียงของตัวเอง
แต่เมื่อ “ปารีณา”ได้ยอมรับผิด และสำนึกในการกระทำต่อหน้าบัลลังก์ศาลแล้ว และประกอบกับที่ผ่านมา ปารีณา ก็ได้รับผลจากการกระทำของตนเองมามากพอสมควรแล้ว ไม่ว่าทั้งทางอาญา หรือทางจริยธรรม ดังนั้นในวันนี้ จึงตัดสินใจให้อภัย โดยยุติการดำเนินคดีด้วยการถอนฟ้อง ปารีณา เพื่อให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขต่อไป
วันเดียวกัน ที่คู่เดือด “เศรษฐา -ชูวิทย์”
นายกฯ มอบหมายให้ทนายไปเจอกับทนายความของ ชูวิทย์ ที่ศาลโดยตกลงเพื่อถอนฟ้อง "จอมแฉ แฉไปไถไป" แต่ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะเอกสารไม่ครบ ต้องรอเอกสารจาก “ชูวิทย์” ซึ่งเวลานี้อยู่ ที่ต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้ สังคมต่างรับทราบเป็นอย่างดีว่า "จอมแฉ แฉไปไถไป" ยำใหญ่ใส่สารพัด เพื่อด้อยค่า “เศรษฐา” แคนดิเดตนายกฯ ในตอนนั้น
สุดท้ายมาวันนี้ ทนายของชูวิทย์ บอกว่า “เศรษฐา”ไม่ได้ติดใจหรือเอาความกับเรื่องราวต่างๆแล้ว เพราะเศรษฐา ได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องดูเจตนาของชูวิทย์หลังจากนี้ เชื่อว่าก็คงไม่ติดใจอะไรแล้วเช่นกัน
ส่วนเบื้องหลังกระบวนการถอนฟ้องนั้น ใครเป็นคนเริ่มก่อน ? ทนายของนายกฯ บอกว่า ประเด็นที่มีการฟ้องกันมานั้น มีการชี้แจงที่มาที่ไปกันไปหมดแล้ว และในชั้นศาลก็มีการพยายามของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างน้อย 2 ครั้ง และไม่ได้ติดใจอะไรกันแล้ว ให้อภัยกันแล้ว
เป็นอันว่า..จบข่าว
สองคู่อาฆาต "เสรีพิศุทธ์" ให้อภัย "ปารีณา" เพื่อให้ใช้ชีวิตปกติสุขต่อไป -"เศรษฐา" ก็ไม่ติดใจ "ชูวิทย์"
จบๆกันไป นี่แหละหนา การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร
**ปชป.ยุค “เสี่ยต่อ” ขอป็นพรรคขนาดกลาง แต่มีความคล่องตัวสูง... “มาดามเดียร์” ไม่ยุ่ง กก.บห. แต่ไม่ลาออก
พรรคประชาธิปัตย์ ยุค“เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค “เดชอิศม์ ขาวทอง” เป็นเลขาธิการพรรค ในสายตาคนนอกดูออกจะ “เทาๆ” ไม่ขาวจั๊วะ แต่การเมืองแบบนี้แหละถึงจะอยู่รอดได้ในยุคนี้
เป็นการเมืองสไตล์บ้านใหญ่ ที่มีระบบอุปถัมภ์เหนียวแน่น เหมือนอย่างที่คนในพรรคบอกว่า ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บรรดาส.ส.ในกลุ่มทั้ง 21 คน ล้วนได้รับการดูแลจาก “เสี่ยต่อ” เป็นอย่างดี ไม่มีบกพร่อง
ถ้ายึดแนวทาง คนรุ่นใหม่ กินอุดมการณ์ ตัดทิ้งระบบอุปถัมภ์ จำนวน สส.จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด อาจไม่ถึง 25 ที่นั่งก็เป็นได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่บรรดาผู้อาวุโสของพรรค ถูกมองว่าสิ้นมนต์ขลังไปนานแล้ว
และการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคกับกรรมการบริหารพรรคครั้งนี้ ก็พิสูจน์ชัดว่า คนในพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับในแนวทางของ “เสี่ยต่อ” ที่ยืนอยู่บนความจริงว่า ต้องสู้ในแนวทางนี้ พรรคจะอยู่รอดได้ต้องมี “ทรัพยากร” ขณะที่บรรดา “แม่ยก” ที่ลาออก แสดงความไม่พอใจ ต่างวิพากวิจารณ์ว่า ผู้บริหารพรรคชุดนี้จะทำพรรคพัง
หากมองปรากฏการณ์ การทำพรรคการเมืองในช่วงที่ผ่านมาของ “เสี่ยต่อ” จะเห็นได้ว่า เป็นโมเดลที่คล้ายกับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นคนวางแนวทาง กำหนดบทบาท คือต้องรู้จักวาง โพสิชั่นตัวเอง อยู่กับความเป็นจริง ไม่โกหกตัวเอง เมื่อมีฐานที่มั่น ที่มั่นคงแข็งแรง แล้วจึงค่อยขยับขยาย สส.พรรคภูมิใจไทย จึงไม่ได้เพิ่มจำนวนอย่างหวือหวา แต่ก็เพิ่ม!!
การตั้งเป้าแค่เป็นพรรคขนาดกลาง เพื่อเป็นตัวแปรในทางการเมือง ไม่สร้างศัตรูกับใคร ขณะเดียวกัน ก็มีอำนาจต่อรองในตัวเองด้วย จึงเป็นแนวทางที่ “เสี่ยต่อ” เลือกนำมาใช้กับประชาธิปัตย์ในครั้งนี้
และในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคที่เพิ่งผ่านไปนี้ ก็มีกระแสข่าวว่า “เจ้าสัว” ผู้ให้การสนับสนุน “พรรคประชาชาติ” ก็มาอยู่เบื้องหลัง “มาดามเดียร์” หวังใช้ 9 เสียงของพรรคประชาชาติ กับอีก 25 เสียง ของประชาธิปัตย์ รวม 34 เสียง เป็นเครื่องมีต่อรองทางการเมืองในอนาคต
เมื่อ “มาดามเดียร์” แพ้เรื่องคุณสมบัติที่เป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี ไม่สามารถชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้
แต่สำหรับ “เจ้าสัว”แล้ว เขาไม่ได้แพ้ไปด้วย เพราะยังสามารถเปิดดีลกับ “กลุ่มเฉลิมชัย”ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่าน “มาดามเดียร์” ก็ได้... และแว่วว่า มีการเปิดดีลกันไปในระดับหนึ่งแล้ว
ล่าสุด “มาดามเดียร์” ออกมาพูดถึงอนาคตทางการเมืองของตนเองว่า ไม่ร่วมสังฆกรรมกับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ไม่ลาออกจากสมาชิกพรรค ขอดูทิศทางลมก่อน
“จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงาน สิ่งที่เป็นประโยชน์ แก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อประชาชนต่อไป แต่จะของดเว้นและยุติบทบาทการทำงานกับ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน แต่จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคอยู่ เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชน”
สาเหตุที่ยังไม่ลาออก ทั้งๆที่สมาชิกรุ่นเก่าหลายคน ตัดสินใจหันหลังให้กับพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้วนั้น “มาดามเดียร์”บอกว่า ขอรอดูทิศทางการทำงานของพรรคให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน เพราะยังจะต้องให้ความเป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ด้วย แม้จะไม่ได้ศรัทธา แต่ก็จะไม่เร่งผลีผลามตัดสินใจ
เป็นไปได้ไหมว่า “มาดามเดียร์” ถูกวางตัวให้เป็นคนคอยดูแลเรื่องราวในพรรคประชาธิปัตย์ แทน “เจ้าสัว” จึงยังไม่ลาออกจากพรรค!!