"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
นักปรัชญาสตรีร่วมสมัยในศตวรรษที่ 20 ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่องอำนาจสูงมากคนหนึ่งเห็นจะเป็น ฮันนาห์ อาเรนต์ (Hannah Arendt, 1906 – 1975) ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว อาเรนต์มีมุมมองเรื่องอำนาจที่แตกต่างจากบรรดานักปรัชญารุ่นก่อนในหลายแง่มุม แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจของเธอปรากฏในหนังสือเรื่อง “สภาพเงื่อนไขของมนุษย์” (The Human Condition) ที่พิมพ์ในปี 1958 และ “ว่าด้วยความรุนแรง” (On Violence) ที่พิมพ์ในปี 1970 โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องอำนาจในฐานะการกระทำรวมหมู่ ( Power as a Collective Action) และแนวคิดเรื่อง ธรรมชาติความไม่รุนแรงของอำนาจ (the Non-violent Nature of Power) การเชื่อมต่อกับพื้นที่สาธารณะและคำพูด (Connection to Public Space and Speech) และ อำนาจและลัทธิเผด็จการ (Power and Totalitarianism)
อำนาจในฐานะการกระทำรวมหมู่ เป็นความคิดของอาเรนต์ที่มองว่าอำนาจมีรากฐานมาจากข้อตกลงและการดำเนินการร่วมกันระหว่างกลุ่มคน อาเรนต์แยก “อำนาจ” (power) ออกจากความแข็งแกร่ง (strength) การใช้กำลัง (force) ความรุนแรง (violence) และอำนาจหน้าที่ (authority) ในมุมมองของเธอ อำนาจเกิดขึ้นเมื่อผู้คนมารวมตัวกันและตกลงร่วมกัน ไม่ใช่จากการกระทำของบุคคลเพียงคนเดียว หรือการบังคับจากเบื้องบนกล่าวได้ว่า แนวคิดของอาเรนต์ขัดแย้งกับมุมมองดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจ ซึ่งมักเข้าใจว่าอำนาจเป็นสิ่งที่บุคคลหรือองค์กรครอบครองและบังคับใช้เหนือผู้อื่น
อำนาจจึงหมายถึงความสามารถในการกระทำรวมหมู่เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ไม่ใช่ทรัพย์สินของแต่ละบุคคล แต่เป็นคุณลักษณะโดยรวมที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนรวมตัวกันและตกลงที่จะกระทำการทางสังคมและการเมืองร่วมกัน หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้อำนาจเชิงการกระทำรวมหมู่สามารถเห็นได้ในขบวนการประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 เป็นการแสดงอำนาจผ่านการดำเนินการร่วมกัน บุคคลเช่นมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ มีบทบาทสำคัญ แต่พลังอำนาจที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวอยู่ที่ผู้คนหลายพันคนที่เดินขบวน ประท้วง และรณรงค์เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน
การเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม การกำหนดวันคุ้มครองโลก หรือการนัดหยุดงานเพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศระดับโลก แสดงให้เห็นถึงอำนาจในฐานะการกระทำร่วมกัน การเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้รับอำนาจผ่านการมีส่วนร่วมและข้อตกลงของคนจำนวนมาก แทนที่จะผ่านการควบคุมหรืออำนาจของบุคคลเพียงไม่กี่คน
สหภาพแรงงานและการนัดหยุดงานก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่อำนาจแสดงออกผ่านการกระทำร่วมกัน เมื่อคนงานรวมตัวกันและนัดหยุดงาน พวกเขาใช้อำนาจไม่ใช่ผ่านการกระทำของแต่ละคน แต่ผ่านการตัดสินใจร่วมกันที่จะหยุดงาน ความมีประสิทธิผลของการนัดหยุดงานขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมและข้อตกลงของคนงานส่วนใหญ่
การเคลื่อนไหวในสังคมออนไลน์ของศตวรรษที่ 21โดยใช้ที่แฮชแท็กและรณรงค์ออนไลน์ระดมผู้คนทั่วโลกเพื่อเสนอและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากก็เป็นรูปธรรมที่สำคัญของอำนาจในฐานะการกระทำร่วมกันของผู้คน เช่น การเคลื่อนไหวของ #MeToo ในปี 2560 เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งได้สร้างความสั่นสะเทือนต่อโลกที่ “ผู้ชายเป็นใหญ่” อย่างไม่เคยมีมาก่อน
เช่นเดียวกันขบวนการประชาชนปฏิวัติทั้งหลายที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส หรือเหตุการณ์ร่วมสมัย เช่น อาหรับสปริง ก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่เกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกันของผู้คน การปฏิวัติเหล่านี้ไม่ได้เป็นผลมาจากเจตจำนงของผู้นำเพียงคนเดียว แต่ได้รับพลังขับเคลื่อนจากการกระทำร่วมกันและความตกลงร่วมกันของมวลชน
แนวคิดเรื่องอำนาจในฐานะการกระทำร่วมกันของอาเรนต์ ตอกย้ำว่าอำนาจที่แท้จริงมีรากฐานมาจากความร่วมมือ ความตกลง และการร่วมกันของคนจำนวนมาก มากกว่าที่จะกำหนดโดยคนเพียงไม่กี่คน มุมมองนี้เปลี่ยนจุดเน้นในการศึกษาเรื่องอำนาจจากบุคคลและลำดับชั้นของอำนาจไปยังชุมชนและเครือข่ายของอำนาจ โดยเน้นถึงความสำคัญของความพยายามร่วมกันในการใช้อำนาจและการสร้างการเปลี่ยนแปลง
สำหรับแนวคิด “ธรรมชาติแห่งอำนาจที่ไม่ใช้ความรุนแรง” อาเรนต์มองว่าอำนาจแตกต่างจากความรุนแรง แม้ว่าความรุนแรงสามารถทำลายอำนาจได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างอำนาจขึ้นมาได้ อำนาจเกี่ยวข้องกับความสามารถในการกระทำร่วมกันและมีลักษณะไม่รุนแรง อำนาจที่ไม่ใช้ความรุนแรงเห็นได้ชัดเจนที่สุดในกระบวนการประชาธิปไตยที่ประชาชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการสังคม ตัวอย่างเช่น รัฐสภาหรือสภาเมืองเป็นซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ได้รับอำนาจจากข้อตกลงร่วมและการมีส่วนร่วมของสมาชิก ไม่ใช่จากการใช้กำลัง ส่วนความรุนแรง แม้ว่าสามารถทำลายอำนาจได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างอำนาจขึ้นมาได้ ความรุนแรงเป็นเครื่องมือของการกำลังบีบบังคับ และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นอ่อนแอหรือกำลังขาดหายไป
ตัวอย่างการเคลื่อนไหวไม่ใช้ความรุนแรงและประสบความสำเร็จในการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม เช่น การรณรงค์เพื่อเอกราชของอินเดียของมหาตมะ คานธี ซึ่งหลีกเลี่ยงความรุนแรง และได้รับความเข้มแข็งจากเจตจำนงร่วมกันและการสนับสนุนจากคนอินเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจในรูปแบบที่ไม่ใช้ความรุนแรงการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช้ความรุนแรงมักให้อำนาจแก่ผู้เข้าร่วม โดยสร้างพลังอำนาจผ่านความสามัคคีและการมีจุดประสงค์ร่วมกัน การเสริมสร้างอำนาจแบบนี้แตกต่างโดยพื้นฐานจากความกลัวและการยอมจำนนที่เกิดจากความรุนแรง ดังเช่น ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นตัวอย่างสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของขบวนการที่มาจากการกระทำร่วมกันและความสามัคคีของผู้เข้าร่วม ไม่ใช่จากการใช้กำลัง
รูปแบบอำนาจที่ไม่ใช้ความรุนแรงมีแนวโน้มที่จะยั่งยืน และถูกต้องชอบธรรมมากกว่าในสายตาของสาธารณชน นี่เป็นเพราะสร้างขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันและความเคารพซึ่งกันและกันมากกว่าความกลัวและการปราบปราม อย่างเช่น การปฏิวัติกำมะหยี่ในเชโกสโลวะเกีย (1989) เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างสันติ การเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการปกครองของคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวะเกีย มีลักษณะพิเศษคือการประท้วงขนาดใหญ่ที่ไม่ใช้ความรุนแรง และเน้นการประท้วงอย่างสันติ
อำนาจยังแสดงบทบาทของการเจรจาและการโน้มน้าวใจ ในมุมมองของ Arendt อำนาจมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความสามารถในการโน้มน้าวและบรรลุฉันทมติผ่านการเสวนา ซึ่งตรงข้ามกับการกำหนดเจตจำนงของตนโดยใช้กำลังบีบบังคับ อย่างเช่น กระบวนการแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ในปี 1998 อาศัยการเจรจาและการต่อรอง พลังของกระบวนการนี้คือความสามารถในการรวบรวมฝ่ายที่ขัดแย้งกันและบรรลุการแก้ปัญหาอย่างสันติผ่านฉันทมติ
แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจที่สำคัญอีกประการของอาเรนต์คือ การเชื่อมต่อกับพื้นที่สาธารณะและการพูด" (Connection to Public Space and Speech) อาเรนต์ให้ความสำคัญต่อปริมณฑลสาธารณะและการพูดในการสร้างและรักษาอำนาจ เธอเชื่อว่าอำนาจเกิดขึ้นเมื่อผู้คนรวมตัวกัน อภิปราย และไตร่ตรอง กล่าวอีกนัยหนึ่งอำนาจถูกสร้างขึ้นและถูกใช้ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งบุคคลต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อสนทนาและกระทำการร่วมกัน แนวคิดการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่สาธารณะและการพูดจึงเป็นประเด็นสำคัญของทฤษฎีการเมืองของอาเรนต์ ที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจเกิดขึ้นจากการชื่อมโยงระหว่างวาทกรรมและพื้นที่สาธารณะ
ปริมณฑลสาธารณะเป็นพื้นที่สำหรับการผลิตอำนาจ เพราะบุคคลมารวมตัวกันเพื่อหารือและตัดสินใจร่วมกัน และนั่นคือแหล่งกำเนิดของอำนาจ พื้นที่สาธารณะเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปราย และการสร้างฉันทามติ ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างอำนาจ เช่น การประชุมของสภาเมือง สมาชิกในชุมชนจะมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นปัญหาในท้องถิ่น แสดงความคิดเห็น และตัดสินใจ อำนาจโดยรวมในการประชุมเหล่านี้ได้มาจากการสนทนาอย่างเปิดเผยและการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมประชุมนั่นเอง
อาเรนต์มองว่า “การพูด” มีบทบาทมากกว่าการสื่อสารธรรมดา โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวใจ การเจรจาต่อรอง และการสร้างฉันทามติ บุคคลสามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่น กำหนดความคิดเห็น และสร้างเจตจำนงร่วมกันผ่านการพูดได้ อย่างเช่น คำปราศรัยของผู้นำที่มีอิทธิพลเช่นมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการพูดในที่สาธารณะ สุนทรพจน์ “ฉันมีความฝัน” ของเขาไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ด้านสิทธิพลเมืองเท่านั้น แต่ยังรวบรวมผู้คนเข้าด้วยกัน สร้างพลังร่วมกันเพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
ยิ่งกว่านั้นพื้นที่สาธารณะยังอำนวยความสะดวกในการกระทำร่วมกัน โดยจัดให้มีเวทีสำหรับบุคคลในการรวบรวมเสียงของพวกเขา ความสามัคคีนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้อำนาจตามความหมายของอาเรนต์ การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอข้อเรียกร้องร่วมกัน จึงสามารถใช้อำนาจผ่านการกระทำและการพูดอย่างเป็นเอกภาพ ที่สำคัญ พื้นที่สาธารณะไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับการใช้อำนาจที่มีอยู่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นจุดที่พลวัตของอำนาจใหม่ ๆ เกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม อำนาจจากการตกลงร่วมของประชาชนอาจถูกคุกคามได้จากภัยเผด็จการ ในหนังสือเรื่อง “การกำเนิดลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ” (The Origins of Totalitarianism) ในปี 1951 อาเรนต์ เขียนถึงวิธีที่ระบอบเผด็จการพยายามขจัดอำนาจในฐานะข้อตกลงและการกระทำร่วมกันของประชาชน เพื่อสร้างการครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จขึ้นมา อาเรนต์ระบุอย่างชัดเจนว่า โดยธรรมชาติแล้วระบอบเผด็จการพยายามที่จะทำลายล้างอำนาจที่แท้จริงที่มาจากการกระทำร่วมกันของประชาชน และแทนที่ด้วยรูปแบบการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ที่มีพื้นฐานอยู่บนความกลัว การบีบบังคับ และการครอบงำ
ระบอบเผด็จการต้องพึ่งพาอุดมการณ์และการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากเพื่อควบคุมความคิดและขจัดพื้นที่สาธารณะสำหรับการอภิปรายและถกเถียง พื้นที่สาธารณะซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างอำนาจผ่านการกระทำร่วมกันได้ถูกกำจัดให้สิ้นซาก ทิ้งให้ปัจเจกบุคคลโดดเดี่ยวและไร้อำนาจ ดังสหภาพโซเวียตภายใต้การปกครองของ โจเซฟ สตาลินที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อและการเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการเล่าเรื่องและระงับการอภิปรายหรือแสดงความเห็นในที่สาธารณะทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในระบบเผด็จการ ความหวาดกลัวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายความสัมพันธ์และความภักดีของมนุษย์ และยังทำลายความสามารถในการกระทำร่วมกันอีกด้วย อาเรนต์ชี้ให้เห็นว่า ความหวาดกลัวเป็นทั้งเครื่องมือและผลลัพธ์ของระบอบเผด็จการที่ใช้เพื่อรักษาการควบคุมสังคมอย่างสมบูรณ์ เผด็จการใช้ความหวาดกลัวอย่างกว้างขวางในการบังคับใช้อุดมการณ์และปราบปรามการต่อต้านทุกรูปแบบ เพื่อทำลายล้างสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ด้วยการควบคุมทุกแง่มุมของชีวิตและความคิด อันเป็นการทำลายขีดความสามารถของบุคคลในการกระทำอย่างอิสระซึ่งเป็นพื้นฐานอำนาจร่วมของประชาชน
ยิ่งกว่านั้น ระบอบเผด็จการมักจะบงการและบิดเบือนความจริงเพื่อควบคุมสังคม การผลิตสร้างความจริงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดอำนาจของประชาชน เพราะเป็นการบ่อนทำลายความสามารถของแต่ละบุคคลในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและกระทำร่วมกัน ดังเช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาในปี 1994 ที่เกี่ยวข้องกับการบงการความจริงและสร้างความตึงเครียดทางชาติพันธุ์โดยผู้นำทางการเมือง ซึ่งใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อลดทอนความเป็นมนุษย์ของประชากรชาวทุตซี และสร้างความชอบธรรมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
กล่าวโดยสรุป แนวคิดเรื่องอำนาจของอาเรนต์ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างอำนาจที่ได้รับผ่านทางข้อตกลงและการกระทำร่วมกัน กับอำนาจที่กระทำผ่านกำลังและความรุนแรง ทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจพลวัตของการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการสร้างอำนาจที่ชอบธรรมผ่านการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่สาธารณะกับการพูด การอภิปราย ซึ่งตอกย้ำหลักการประชาธิปไตยที่ว่าอำนาจมีรากฐานมาจากการมีส่วนร่วมและความตกลงของประชาชนในเวทีสาธารณะ และยังสร้างความเข้าใจเกี่ยวกลยุทธ์ของระบอบเผด็จการในการกำจัดอำนาจที่แท้จริงของประชาชน ความเปราะบางของโครงสร้างประชาธิปไตย และความสำคัญของการปกป้องปริมณฑลสาธารณะและเสรีภาพส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการขยายตัวของเผด็จการ