xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (26)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 ไปซีอันแล้วคิดถึงกรุงเทพฯ 

หลังจากอยู่ทัศนศึกษาที่ปักกิ่งไป 2-3 วันแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางไปยังที่อื่นต่อไป ซึ่งทางเจ้าภาพกำหนดเอาไว้ที่เมืองซีอัน เมืองเอกของมณฑลสั่นซี โดยผู้นำเที่ยวและล่ามฝ่ายจีนยังคงต้องติดไปกับคณะของเราตลอดกำหนดการที่อยู่ในจีน การต้องเดินทางด้วยกันเช่นนี้ทำให้เราคุ้นเคยกับคนทั้งสองมากขึ้น

เช่นเดียวกับที่ปักกิ่ง ที่เมื่อไปถึงสนามบินซีอันแล้วก็จะมีรถฝ่ายเจ้าภาพมารอรับเราไปยังที่พักใจกลางเมือง และรถคันเดียวกันนี้จะอยู่บริการเราตลอดเวลาที่อยู่ซีอันเช่นกัน ตลอดทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองนั้น รถที่นำพาเราไปก็ค่อยๆ เผยให้เห็นความเป็นเมืองเก่าของซีอันมากขึ้น ที่ผมประทับใจไม่น้อยก็คือ บ้านเรือนที่ยังคงสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ

 ที่ผมว่าโบราณนี้ผมไม่รู้หรอกว่าโบราณแค่ไหน บอกได้แต่ว่า ตอนที่เห็นนั้นผมว่าบอกกับตัวเองในฐานะคนชอบดูหนังว่า นี่ถ้าทางฮ่องกงจะสร้างหนังกำลังภายในแล้ว แทบไม่ต้องไปสร้างฉากบ้านแบบจีนโบราณให้เสียเวลา ถ่ายมันที่ซีอันนี่แหละสมจริงและประหยัดที่สุด ตอนที่ผมคิดเช่นนี้ยังไม่ถึงปี 1997 ที่ฮ่องกงจะต้องคืนสู่อ้อมอกของจีน หนังฮ่องกงโดยมากยังคงถ่ายทำที่โรงถ่ายของตน หนังที่ร่วมทุนกับจีนและถ่ายทำที่จีนยังมีน้อย 

บ้านทรงโบราณที่ผมเห็นนั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว สองชั้นเห็นเป็นส่วนน้อย เสน่ห์ของบ้านซึ่งเป็นตึกนี้อยู่ที่หลังคาแบบที่เราเห็นในหนังจีนกำลังภายในหรือหนังย้อนยุค ซึ่งจะสูงจากพื้นไปไม่มากนัก จนทำให้ผมเข้าใจเลยว่า ทำไมจอมยุทธในหนังกำลังภายในจึงกระโดดขึ้นลงจากหลังคาได้สบายๆ

บ้านทรงโบราณนี้ยิ่งทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากขึ้นก็หลังจากเข้าไปยังห้องพักในโรงแรมแล้ว ด้วยว่าพอผมเลิกม่านหน้าตาห้องพักของผมที่อยู่สูงหลายชั้นเพื่อจะชมทิวทัศน์เมืองซีอันแล้ว ผมก็พบว่า ไม่ไกลออกไปจากโรงแรมยังมีบ้านเรือนทรงโบราณอยู่อีกมาก บ้านเหล่านี้รวมกันเป็นกลุ่มบนพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก ภายในจะมีทางตัดผ่านเพื่อเชื่อมต่อบ้านต่างๆ ที่ตั้งเป็นแถวเป็นแนวเข้าด้วยกัน

เรียกได้ว่า ถ้าใครไม่ใช่คนในพื้นที่ได้เข้าไปแล้วก็อาจจะหลงทางเอาง่ายๆ

ภาพบ้านเรือนจีนที่ผมเห็นจึงดูลานตาน่าตื่นใจ มันเหมือนกับผมได้มาอยู่เมืองจีนในยุคโบราณแบบไม่ต้องนั่งเครื่องย้อนเวลา (time machine) กลับไปสู่อดีตเหมือนกับตัวการ์ตูน  โดเรมอน  ของญี่ปุ่นใช้อยู่บ่อยๆ และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พอเห็นแล้วก็ทำให้ผมใจหวิวๆ ขึ้นมาอีก ว่าเหมือนตัวเองได้กลับมายังถิ่นเก่าของตนในชาติปางก่อนดังที่คนโบราณว่าไว้

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า ภาพบ้านเรือนทรงโบราณที่ผมเห็นนี้ต่อมาจะถูกรื้อทิ้งโดยรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อสร้างตึกสูงใหญ่แทนที่ ความคิดของจีนเกี่ยวกับเรื่องนี้จะว่าเป็นเฉพาะยุคสมัยได้หรือไม่ผมเองก็ตอบไม่ได้ถนัด เพราะมันมีปัญหาซ้อนทับกันอยู่ 2-3 ชั้น

 ชั้นแรก ชนชั้นนำจีนในช่วงทศวรรษ 1990 ยังคงมีหลักคิดในการพัฒนาบ้านเมืองแบบเดิมๆ นั่นคือ อะไรที่ดูไม่ทันสมัยก็ให้รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ให้เป็นตึกที่ดูโออ่าสูงใหญ่ ซึ่งถ้าเอาซีอันเป็นตัวตั้งแล้วเราก็จะพบว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคิดอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะยิ่งเป็นเมืองเก่ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งอนุรักษ์เอาไว้ให้ดี อย่างน้อยก็เพื่อการศึกษาและการท่องเที่ยว เหมือนกับที่ญี่ปุ่นทำกับเมืองเกียวโตของตน

ในชั้นนี้หากเทียบกับไทยแล้วก็ทำให้ผมคิดถึงตอนกรุงเทพฯ ในยุคพัฒนาที่มีการถมคูคลองสายต่างๆ เพื่อสร้างถนน ซึ่งถ้าคิดดูโดยผิวเผินแล้วจะเข้าใจได้ว่า ยุคพัฒนาเมื่อทศวรรษ 1960 ถึงทศวรรษ 1970 นั้น คนไทยไม่ได้เดินทางโดยทางน้ำแล้วหรือไม่ก็เดินทางทางน้ำน้อยลง มีคูคลองไปก็เท่านั้น ถมมันแล้วสร้างถนนแทนดีกว่าจะได้ทันสมัยกะเขาเสียที

แล้วเดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ เป็นอย่างไรก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ฝนตกทีน้ำก็ท่วมขังที น้ำท่วมขังทีคนก็ก่นด่าผู้ว่า กทม.ที ส่วนผู้ว่าฯ กทม. แต่ละคนก็จะหาวิธีแก้ปัญหาแตกต่างกันไป เช่น ผู้ว่าฯ คนหนึ่งชอบก้มถกแขนเสื้อคุกเข่าลงกับพื้นทั้งที่น้ำท่วมแล้วก็มือล้วงท่อที่ตันจากน้ำท่วมขัง

 หรืออย่างผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน (2023) ที่แนะนำคนกรุงเทพฯ ว่าให้รีบกลับบ้านไปวิดน้ำที่ท่วมบ้านตัวเองทิ้งเอาเอง จากนั้นก็ไปกระโดดโลดเต้นในงานอีเวนท์ต่างๆ ด้วยความร่าเริง ผมเห็นทีไรก็ให้รู้สึกสะใจกับคะแนนกว่าล้านเสียงที่เลือกคนนี้ให้เป็นผู้ว่าฯ เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ผมควรเล่าด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนคนหนึ่งได้ส่งคลิปวิดีโอมาให้ผม คลิปนี้เป็นภาพยนตร์เก่าที่ถ่ายตอนน้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่เมื่อปี 1942 (2485) ในภาพจะเห็นคนกรุงเทพฯ ทั้งหญิงและชายพายเรือแถวพระบรมรูปทรงม้าและที่ต่างๆ

ภาพนี้ทำให้รู้ว่า เวลานั้นคนไทยกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมน้ำไปเป็นสังคมบกแทนแล้วอย่างช้าๆ ภาพที่คนหนุ่มสาวแจวเรือนั้นน่าประทับใจก็ตรงที่ต่างก็ยังแจวเรือได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนคนที่อยู่กับสังคมน้ำมาตั้งแต่เกิดที่ทุกคนจะแจวเรือได้เป็นปกติ

กลับมาที่ซีอันอีกครั้ง....ว่าที่ผมว่าไปว่าจีนในเวลานั้น (ทศวรรษ 1990) ยังใช้หลักคิดการพัฒนาบ้านเมืองแบบเก่าอยู่นั้น จีนก็ได้กวาดล้างเอาความไม่ทันสมัยทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะบ้านทรงโบราณอย่างที่ผมกำลังเล่าอยู่นี้ แต่ก็ดังที่ผมได้บอกไปแล้วว่านี่เป็นเพียงแค่การคิดในชั้นแรกเท่านั้น

 ชั้นถัดมา คือการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างข้าราชการท้องถิ่นกับนักธุรกิจเอกชนไล่ที่ชาวจีนที่อยู่บ้านทรงโบราณ เพื่อจะสร้างตึกที่โอ่อ่าทันสมัยในนามของการปฏิรูป กล่าวอีกอย่างคือ ต่างก็อ้างว่าเพื่อความเจริญของบ้านเมือง ดังนั้น ทุกคนต้องยอมเสียสละเพื่อชาติ ว่างั้นเถอะ

ก็เหมือนกับที่รัฐไทยให้ชาวบ้านเสียสละการหาปลาของตน ด้วยการยอมรับการสร้างเขื่อนปากมูลนั่นแหละ

 ชั้นที่สาม ชั้นนี้คือการวางผังเมืองในยุคปฏิรูป ที่อาคารเก่าหรือบ้านทรงโบราณในหลายเมืองในเวลานั้นต่างก็ถูกทุบทิ้งเพื่อขยายถนน ผลคือ เมืองเหล่านี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จริงๆ โดยเฉพาะถนนที่กว้างขวางมากกว่าเดิม เพื่อแก้ปัญหาจราจรจากการเติบใหญ่ของเมืองและประชากร ในชั้นที่สามนี้จะเห็นได้ว่า จีนยอมกัดฟันหรือกลืนเลือดตัวเองด้วยการยอมทุบบ้านทรงโบราณทิ้งไป

 นี่ถ้าอยู่ในไทยตอนนี้คงถูกด่าไปแล้วว่า ไม่รู้จักใช้ซอฟท์เพาเวอร์ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นไทยนะเหรอ คอยดูนะ...แม่จะให้บ้านทรงโบราณอยู่เป็นหมื่นๆ ปีเพื่อการท่องเที่ยวให้ได้ ก็สงกรานต์แม่ก็จะให้สาดน้ำนานหนึ่งเดือน ทั้งนี้ยังไม่นับหมูกระทะซึ่งเป็นของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือมองโกเลีย แม่ก็ยังสมอ้างว่าเป็นของไทยได้ด้วยซ้ำไป 

หลายปีหลังต่อมาผมคุยเรื่องนี้กับเพื่อนคนจีนว่าผมเสียดายบ้านทรงโบราณที่ถูกทุบทิ้งไป เพื่อนก็สวนกลับว่า ผมไม่อยากให้จีนเจริญบ้างหรือไร ผมฟังแล้วก็ได้แต่งงและเงียบไป ก่อนที่เพื่อนจะพูดขึ้นว่า ที่จีนมีบ้านแบบนี้อยู่อีกมากมายหลายที่ แถมเก่ากว่าและสวยกว่าที่ผมเห็นเสียอีก ซึ่งต่อมาภายหลังที่ผมได้ไปจีนมากครั้งเข้า ผมก็เห็นว่าจริง

อย่างไรก็ตาม ผมจ้องดูบ้านทรงโบราณจากที่ห้องพักในโรงแรมอยู่นาน พอได้เวลาอาหารเย็นก็ลงไปยังห้องอาหารที่อยู่ชั้นล่างของโรงแรม ระหว่างที่รับประทานอาหารอยู่นั้นเราได้ดูการแสดงบนเวทีของโรงแรมด้วย การแสดงชุดแรกๆ คือดนตรีและการร่ายรำแบบจีน แต่พอตอนท้ายกลับผิดคาด เพราะมันคือ การเดินแฟชั่นโชว์ของนางแบบจีนที่ดูเฟี้ยวฟ้าวนำสมัยมาก

 จนผมต้องอุทาน OMG ออกมาพร้อมกับบอกกับตัวเองว่า จีนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ 


กำลังโหลดความคิดเห็น