วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคมนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่เสียที หลังการประชุมล่มมา 2 ครั้ง เพราะกลุ่มอำนาจเก่าในพรรค ต้องการผลักดันอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่เมื่อรู้ว่าไม่สามารถต่อกรกับกลุ่มอำนาจใหม่ในพรรคได้จึงแก้เกมด้วยการทำให้การประชุมล่ม เพราะไม่ครบองค์ประชุม
แต่การประชุมในวันเสาร์นี้องค์ประชุมไม่ล่มแน่ เพราะฝ่ายอำนาจใหม่เตรียมองค์ประชุมสำรองไว้แล้ว ฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแหกว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่คือ มาดามเดียร์-วทันยา บุนนาค อย่างแน่นอน
การที่มาดามเดียร์เปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แม้ว่ามีคุณสมบัติไม่ครบสักข้อเพราะเป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี ไม่เคยเป็น สส.เป็นรัฐมนตรีในนามพรรค ไม่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่เคยเป็นกรรมการสาขาพรรคนั้น เพราะได้รับฉันทานุมัติจากฝ่ายที่กุมอำนาจพรรคในเวลานี้อย่างเฉลิมชัย ศรีอ่อนและเดชอิศม์ ขาวทองแล้วว่า จะผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรค โดยจะใช้ทางออกคือใช้เสียง 3 ใน 4 เพื่องดเว้นข้อบังคับพรรค ซึ่ง สส.ของพรรค 25 คนจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 70% ของคะแนนเสียงทั้งหมด
แน่นอนว่า สส.ส่วนใหญ่อยู่ในมือของเฉลิมชัยและเดชอิศม์ ใครจะได้เป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในมือของฝั่งนี้เพราะมี สส.อยู่ในมือถึง 17 เสียง ตอนแรกฝั่งนี้พยายามผลักดันนราพัฒน์ แก้วทอง ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่เมื่อล้มเหลวสองครั้งก็เลยเปลี่ยนใจมาหาตัวเลือกอื่น โดยมี 2 คนที่ฝั่งของเฉลิมชัย เดชอิสม์ เอามาชั่งน้ำหนักกันคือ มาดามเดียร์ และดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกมาดามเดียร์ในที่สุด
การเปิดตัวอย่างมั่นใจของมาดามเดียร์และเดินสายไปพูดคุยกับสมาชิกพรรคก็เพราะได้รับไฟเขียวจากกลุ่มของเฉลิมชัย เดชอิศม์นั่นเอง ส่วนอภิสิทธิ์นั้นถอยไปแล้ว เพราะคงไม่ลงแข่งให้แพ้เสียรังวัด แต่นราพัฒน์คงต้องดูว่าถึงเวลาจะถอนตัวหรือไม่ต้องยอมรับนะครับว่า นราพัฒน์แม้จะเป็น สส.มานาน แต่ถามว่าคนส่วนใหญ่รู้จักนราพัฒน์ ก็คงต้องบอกว่าไม่
ดังนั้นมาดามเดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคหญิงคนแรกของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 9 ตำแหน่งเลขาธิการพรรคนั้นมีบางคนบอกว่าจะเป็นชัยชนะ เดชเดโช แต่ผมเชื่อว่าจะเป็นเดชอิศม์ เพราะเป็นกระเป๋าของพรรคและมีความกว้างขวางทางการเมืองมากกว่าชัยชนะ
แต่ถามว่ามาดามเดียร์และเดชอิศม์ จะนำพาพรรคประชาธิปัตย์ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หรือไม่ บอกตรงๆ ว่ายังมองไม่เห็นอนาคต ไม่ใช่เพราะมาดามเดียร์ เดชอิศม์ไม่มีความสามารถแต่เป็นเพราะไม่ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคก็ไม่สามารถพาพรรคประชาธิปัตย์ฟื้นคืนชีพในเจเนอเรชันนี้ได้ แค่ทำให้ไม่แย่ลงกว่าเดิมก็น่าจะยากแล้ว เพราะต้องยอมรับว่าวันเวลาของพรรคประชาธิปัตย์นั้นหมดลงแล้ว
มาดามเดียร์นั้นอย่าว่าแต่จะนำพรรคเลย ถ้าลงสมัคร สส.เขตใดเขตหนึ่งใน กทม.ก็ไม่รู้จะสอบผ่านไหม เพราะแม้จะเคยเรียกตัวเองว่ากลุ่มดาวฤกษ์ในสมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐ แต่เป็นเพียงวิสามานยนาม ไม่ได้มีแสงในตัวเองแต่อย่างใด ข้อดีอย่างเดียวที่มีอยู่ก็คือเป็นภรรยาของฉาย บุนนาค ที่เป็นเจ้าของเครือเนชั่นในปัจจุบันที่มีสื่ออยู่ในเครือมากมายเท่านั้นเอง ยังไม่เห็นด้วยซ้ำว่า มาดามเดียร์จะมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นอะไรบ้าง
ถ้า 3 บก.ในเครือเนชั่นที่ชอบออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองกล้าพูดถึงภรรยาของเจ้าของจริงๆ แบบไม่เกรงอกเกรงใจกันเหมือนพูดถึงเรื่องอื่นๆ ก็เชื่อว่าจะมองอย่างเดียวกัน
แต่ถ้าไม่ใช่มาดามเดียร์จะเป็นใครก็มองไม่เห็นเหมือนกันไม่ว่าใครที่จะฟื้นพรรคประชาธิปัตย์กลับมาได้ ต่อให้เป็นอภิสิทธิ์เองก็ไม่เห็นอนาคต เพราะคนเห็นฝีไม้ลายมือกันมาแล้วว่ามีศักยภาพแค่ไหน
พรรคประชาธิปัตย์แม้จะเคยลุ่มๆ ดอนๆ สลับกันระหว่างตกต่ำกับกลับมารุ่งโรจน์มาแล้วหลายครั้ง แต่การตกต่ำในครั้งนี้แล้วจะกลับมารุ่งโรจน์ได้แบบในอดีตนั้นไม่ง่ายแล้ว เดิมพรรคประชาธิปัตย์มีผู้สนับสนุนที่เหนียวแน่นในฝั่งอนุรักษนิยม คนมีการศึกษา ชนชั้นกลางในเมือง และคนวัยทำงาน มีฐานเสียงเหนียวแน่นในภาคใต้ แต่วันนี้คนชั้นกลางในเมือง คนวัยทำงาน เปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคก้าวไกล และฐานเสียงในภาคใต้แบบที่ภักดีต่อพรรคก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว
พูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า ยุคทองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว อย่างน้อยก็ในยุคของคนรุ่นเรา เสียงของคน กทม.ยากจะกลับมาได้ เสียงของคนใต้เปลี่ยนไป คนภาคตะวันออกที่เคยมีฐานเสียงดีวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ในภาคกลางก็ไม่เคยได้ สส.เป็นกอบเป็นกำมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ต้องพูดถึงภาคเหนือและภาคอีสานที่ซื้อใจประชาชนไม่ได้เลย
ถ้าจะบอกว่าในอดีตคนกรุงเคยทิ้งพรรคประชาธิปัตย์หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์อีก เชื่อว่าความทรงจำแบบนั้นยากจะกลับมาอีก เพราะฐานเสียงของคนกรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนไป มองไม่เห็นเลยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสร้างศรัทธากลับมายึดหัวใจของคนกรุงเทพฯ ได้อย่างไร
พรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ จะขายความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ เป็นสถาบันทางการเมืองก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะคนส่วนใหญ่มองการเมืองของคนรุ่นเก่าในแง่ลบ พวกเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่ไม่ได้มีมูลค่าหรือแต้มต่ออะไรสำหรับการเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่หรือเป็นสถาบันทางการเมือง เพราะยิ่งจะถูกมองว่าเป็นสิ่งตกยุคพ้นสมัยไปแล้ว
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เหลืออย่างเดียวคือรอคอยอนาคตข้างหน้า ให้คนที่มีความทรงจำกับพรรคประชาธิปัตย์แบบเดิมๆ ล้มหายตายจากไปให้หมด แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องสร้างภาพจำใหม่กับคนที่เกิดขึ้นมาใหม่ให้ได้ สร้างคนที่จะเป็นไอดอลของคนรุ่นต่อไปให้เกิดขึ้นมาให้ได้หากพรรคยังอยู่ ซึ่งถามว่ายากไหมก็ต้องบอกว่ายากมาก แม้ในอนาคตอาจจะมีคนที่โดดเด่นขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ แต่ไม่ได้เห็นในช่วงชีวิตของคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งในยุคนี้แน่
ถ้าถามว่าจะโทษใครก็คงต้องถามคนรุ่นเก่าในพรรคว่าทำไมปล่อยให้พรรคเดินมาถึงวันนี้ แล้วไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ศรัทธาต่ออุดมการณ์ของพรรคได้ แล้วมองดูว่าแท้จริงแล้วอะไรคือสนิมที่เกาะกุมให้พรรคประชาธิปัตย์ผุกร่อนจนมีวันนี้ และเป็นไปได้ว่าหลังมีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่นำโดยมาดามเดียร์ก็อาจจะมีคนเก่าๆหลายคนลาจากไป
พรรคประชาธิปัตย์อาจจะสามารถรักษาความเป็นพรรคไว้ได้ต่อไป แต่ก็อาจเป็นเพียงพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจและเป็นสีสันทางการเมืองเพียงแต่คนในพรรคอาจจะมีความฝันและความหวังว่าจะฟื้นคืนชีพกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่สามารถล้มหายตายจากไปได้ เพราะตามสัจธรรมแล้วไม่มีอะไรที่สามารถยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไปบนโลกใบนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan