เมืองไทย 360 องศา
จนถึงตอนนี้เท่าที่เห็นมีคนที่เปิดตัวลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 มีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น คนแรกคือ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค ที่ยังยืนยันว่า จะลงสมัครชิงตำแหน่งดังกล่าวในการประชุมพรรคสมัยวิสามัญ ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้รับการเสนอชื่อจากบางกลุ่มในพรรค แต่ในการประชุมพรรคที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง มีปัญหาภายในเกิดขึ้น จนทำให้องค์ประชุมไม่ครบ จนต้องเลื่อนการประชุม
ส่วนอีกคนที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นรายล่าสุด ก็คือ “มาดามเดียร์” หรือ น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. ได้เข้าสักการะพระแม่ธรณีบีบมวยผม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพรรค ก่อนแถลงข่าวลงสมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
เธอกล่าวว่า วันนี้มีความตั้งใจลงสมัครเพื่อแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 โดยเชื่อมั่นว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตย เรามีเสรีภาพ และที่สำคัญที่สุดไม่มีเจ้าของอย่างแท้จริง
“วันนี้มีความตั้งใจที่จะส่งออกไปยังประชาชน สมาชิกพรรค และประชาชนที่รักในพรรคประชาธิปัตย์ ทุกคน เพื่อเป็นการเริ่มต้นในการเมืองแบบใหม่ ที่ซื่อตรงกับประชาชน ตรงไปตรงมา และจริงใจกับประชาชน วันนี้จึงอยากขอโอกาสในการฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ และฟื้นฟูอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นที่พึ่งและความหวังของประชาชนเพื่อที่จะยืนยันในพลังประชาธิปไตยของพรรค” น.ส.วทันยา กล่าว
น.ส.วทันยา กล่าวว่า ก่อนที่จะมาแถลงข่าว ได้มีโอกาสไปกราบเรียนผู้ใหญ่ และพูดคุยกับสมาชิกพรรคบางส่วน ส่วนจะมี ส.ส. หรือสมาชิกท่านไหนที่จะมาเป็นทีมงานในการพูดคุยวันนี้ ยังไม่ได้มีข้อสรุป อย่างที่บอกจุดเริ่มต้นของตน คือ อยากนำเสนอตัวเองในการรับสมัครหัวหน้าพรรค ที่สำคัญ การที่เราจะฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ได้ เราต้องเลือกคนที่มีความสามารถเป็นที่ตั้ง ส่วนตัวจึงอยากก้าวข้ามระบบอุปถัมภ์ รวมถึงอคติทางเพศ หรือข้อจำกัดของวัย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ไม่เลือกคนจากความสัมพันธ์ และขอให้เลือกบุคคลจากความสามารถของบุคลากร
เมื่อถามว่า มั่นใจในเสียงที่จะได้มากน้อยแค่ไหน น.ส.วทันยา กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า สมาชิกพรรคทุกคนจะเปิดโอกาสพิจารณาให้กับบุคลากรที่เห็นว่ามีความเหมาะสม ฉะนั้น ในการลงสมัคร ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมที่จะน้อมรับการตัดสินของสมาชิกพรรคทุกคน
เมื่อถามถึงทีมงานรวมถึงตัวเลขาธิการ ได้มองหรือไม่ว่า คุณสมบัติควรเป็นคนรุ่นใหม่หรือไม่ อย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า คิดว่าเป็นคนที่มีความเหมาะสม ซึ่งน่าจะเริ่มต้นจากบุคลากรภายในพรรคซึ่งตนพร้อมทำงานกับทุกๆคนทุกฝ่ายในพรรคไม่ได้เลือกในแง่ของตัวบุคคล วันนี้อยากเสนอตัวเองเป็นทางเลือกหลังจากนั้นจะมีการพูดคุยในเรื่องทีมงานเป็นลำดับถัดไป
เมื่อถามถึงกรณีปรากฏชื่อ นายชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรค เป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรค โดยมองว่า ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รวมถึงมีฐานเสียงเป็นคนภาคใต้ ตรงนี้มองอย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้เกียรติกับนายชัยชนะ ว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร และต้องให้เกียรติกับนายชัยชนะ ที่จะตอบคำถามนี้ ส่วนตัวได้พูดคุยกับนายชัยชนะว่า ตนตัดสินใจที่จะลงสู้
น.ส.วทันยา กล่าวว่า ย้ำว่า การตัดสินใจครั้งนี้ตัดสินใจด้วยตนเองไม่ได้เกี่ยวกับการเจรจาใดๆ ถามย้ำว่า ได้กราบเรียนกับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค หรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่าได้กราบเรียนผู้ใหญ่ทุกคนรวมถึงนายเฉลิมชัย ถึงความตั้งใจลงชิงหัวหน้าพรรค ไม่ว่านายเฉลิมชัย จะตัดสินใจอย่างไรตนก็พร้อมที่จะยอมรับ
ส่วนตัวเลขาธิการขอรอดูความเหมาะสมอีกครั้งวันนี้ ไม่อยากเอาตัวบุคคลเป็นตัวกำหนด ที่ผ่านมา การเลือกหัวหน้าพรรคปรากฏภาพความขัดแย้ง ที่พบว่า พอได้ตัวหัวหน้าพรรค หรือได้ทีมที่ชนะ ทีมที่แพ้ ไม่มีที่ยืนในการทำงาน ฉะนั้น ความสำเร็จในการฟื้นฟูพรรค จะต้องเกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อฟื้นฟูอุดมการณ์ให้แข็งแรงขึ้น
นั่นเป็นการแถลงของ น.ส.วทันยา บุนนาค ระหว่างการเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ คนที่ 9 ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้เธอได้แสดงท่าที และวิสัยทัศน์ในเบื้องต้น โดยอาจให้เนื้อที่มากหน่อย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดตัว
ขณะที่ตามรายงานข่าวยังมีอีกคนหนึ่ง ที่แม้ว่ายังไม่ได้เปิดตัวชิงเก้าอี้ ก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเคยเป็นอดีตหัวหน้าพรรค และที่ผ่านมา เคยมีความเคลื่อนไหวที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง จนถูกจับตามองว่า การที่องค์ประชุมล่ม จนต้องมีการเลื่อนการประชุมออกมาถึงสองครั้ง ส่วนสำคัญล้วนมาจากความขัดแย้งภายในพรรค ที่มีการสกัดกั้นไม่ให้อีกฝ่ายได้เป็นหัวหน้าพรรค
ขณะเดียวกัน ที่ต้องจับตากัน ก็คือ กลุ่มของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค และเลขาธิพรรค ที่ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ สามารถรวบรวมเสียงของ ส.ส.และตัวแทนสาขาพรรคที่เป็น “โหวตเตอร์” เอาไว้ค่อนข้างมาก ว่า จะสนับสนุนใครขึ้นมา รวมไปถึง นายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ ที่ยังกุมเสียง ส.ส.เอาไว้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมี “กลุ่มผู้อาวุโส” ในพรรค ไม่ว่าจะเป็น นายชวน หลีกภัย และ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นต้น พวกเขายังถือว่ามีอิทธิพลสูงในพรรค และยังกำหนดทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด
แน่นอนว่า บรรยากาศภายในพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ ยังถือว่ามีความคุกรุ่น มีการ “แบ่งฝ่าย” กันอย่างชัดเจน และที่สำคัญ ยังเป็นยุคที่ถือว่าพรรคมีความ “ตกต่ำ” มากที่สุดยุคหนึ่ง ที่ผ่านมา มีระดับแกนนำหลายคนทยอยลาออกจากพรรคเป็นจำนวนมาก และผลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เหลือจำนวน ส.ส.แค่ 25 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่เคยเป็นฐานที่มั่นหลักมาตลอด คราวนี้ก็ถือว่าถดถอยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ที่เคยได้จำนวน 22 คน แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด เหลือเพียง 17 คน เท่านั้น จนทำให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ต้องลาออกทันที เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเป็นสาเหตุนำมาสู่การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากรายชื่อ และหน้าตาของบุคคลที่คาดว่าจะแข่งขันชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ เท่าที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และไม่เปิดตัว และสำแดงตัวเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ผู้กำหนดทิศทางในพรรค ยังถือว่า “ไม่ปัง” ยังถือว่า “ไม่เข้าตา” สำหรับคนภายนอก ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ คงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกพักใหญ่ กว่าจะกลับมาได้ ต้องใช้ความกล้าหาญพอสมควรในการถ่ายเลือดครั้งใหญ่ !!