xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (11): แม็กซ์ เวเบอร์ – ฐานอำนาจ พลวัต ความชอบธรรม และกรงเหล็กของการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber)
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 เยอรมนีเป็นดินแดนที่ไม่เคยขาดแคลนนักคิดและนักปรัชญา แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาและนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงเป็นชาวเยอรมันอีกคนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่า เป็นหนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสาขาสังคมวิทยา แนวคิดเรื่องอำนาจของเขาได้กำหนดแนวทางการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางอำนาจภายในสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยอำนาจเป็นส่วนสำคัญของชีวิตทางสังคม และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโครงสร้างและพลวัตของระบบสังคม

ในงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง  “เศรษฐกิจและสังคม” (Economy and Society) กล่าวถึงอำนาจว่าเป็นความสามารถในการชักจูงผู้อื่นให้ปฏิบัติตามที่ตนต้องการ และเป็นความสามารถในทำให้บรรลุเป้าหมายของตน เวเบอร์มองว่า อำนาจเป็นรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ทางสังคม และมีรากฐานมาจากความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มในการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น การควบคุมนี้มีได้หลายรูปแบบ อันได้แก่ การใช้กำลัง การบังคับ การกดดัน และการโน้มน้าวใจ สำหรับเวเบอร์ อำนาจไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความชอบธรรมของการควบคุมนั้นด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง อำนาจไม่ได้เป็นเพียงการบังคับผู้อื่นให้ทำบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของการตระหนักถึงและการยอมรับอำนาจนั้นโดยผู้ที่ได้รับอิทธิพลด้วย

 กล่าวได้ว่าอำนาจในมุมมองของเวเบอร์เป็นแนวคิดเชิงสัมพันธ์ หรืออำนาจไม่ใช่คุณสมบัติโดยธรรมชาติของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แต่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ทางสังคม อำนาจยังแสดงออกถึงมิติเชิงอิทธิพล หรือความสามารถในการกำหนดการกระทำและการตัดสินใจของผู้อื่น แม้ว่าผู้นั้นไม่เต็มใจหรือต่อต้านก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่ง อำนาจเป็นพลังที่สามารถพิชิตการต่อต้านได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การต่อต้านอำนาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งตามมาจากการใช้อำนาจ

เวเบอร์ยังจำแนกอำนาจออกเป็น 3 รูปแบบ โดยใช้ “แหล่งที่มาของความชอบธรรม” เป็นเกณฑ์ในการจำแนก อันได้แก่   อำนาจฐานประเพณี (traditional power) อำนาจฐานกฎหมาย (legal power) และอำนาจฐานบารมี (charismatic power) 

อำนาจฐานประเพณีมีรากฐานมาจากขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเชื่อที่ผู้คนในสังคมยอมรับ ซึ่งมีรากฐานจากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสังคมนั้น อำนาจฐานประเพณีมีความเชื่อมโยงกับการตระกูลชนชั้นนำที่สืบทอดอำนาจทางสายโลหิต หรือกลุ่มชนชั้นนำทางศาสนา รวมถึงการมีลักษณะของการเป็นผู้นำบารมีเป็นองค์ประกอบ อำนาจฐานประเพณีจึงมักถูกใช้โดยบุคคลหรือกลุ่มผู้ดำรงตำแหน่งภายในโครงสร้างสังคม เช่น พระมหากษัตริย์ ผู้นำชนเผ่า หรือบุคคลสำคัญทางศาสนา

 ลักษณะสำคัญของอำนาจฐานประเพณี คือ การได้รับความชอบธรรมผ่านประเพณี โดยการยึดมั่นในขนบธรรมเนียมและประเพณีที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งมักจะสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อำนาจฐานประเพณีดำรงอยู่และดำเนินไปในสังคม โดยผู้คนยอมรับและปฏิบัติตามอย่างไม่รู้ตัวผ่านกิจวัตรประจำวันจนกลายเป็นอุปนิสัย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อำนาจฐานประเพณีได้ซึมซับเข้าไปเกาะกุมจิตสำนึกผู้คนในสังคม ทำให้ผู้คนเชื่อและคิดว่าต้องกระทำในลักษณะและขอบเขตที่ประเพณีกำหนดโดยไม่อาจต่อต้านขัดขืน

แม้ว่าผู้นำที่ดำรงตำแหน่งตามฐานประเพณีจะมีความชอบธรรมระดับหนึ่ง แต่ระดับความชอบธรรมจะแปรผันไปตามคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นำด้วย หากผู้นำมีคุณสมบัติหรือความสามารถพิเศษก็จะเสริมสร้างพลังอำนาจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากผู้นำมีคุณสมบัติอ่อนด้อยหรือประพฤติเบี่ยงเบนจากขนบธรรมเนียมประเพณี อำนาจของผู้นำก็จะเสื่อมถอยลงไป

สำหรับอำนาจอีกรูปแบบหนึ่งคือ อำนาจฐานกฎหมาย-เหตุผล ซึ่งเป็นอำนาจที่มีพื้นฐานอยู่บนระเบียบกฎเกณฑ์ สถาบัน และกรอบกฎหมายที่เป็นทางการ อำนาจนี้ได้รับความชอบธรรมจากระบบกฎหมายและข้อบังคับที่ประมวลไว้แล้ว ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับรัฐบาลและองค์กรสมัยใหม่ อำนาจทางกฎหมาย-เหตุผลถูกใช้ผ่านการดำรงตำแหน่ง ที่มีการกำหนดอย่างเป็นระบบภายในสถาบันที่ดำรงอยู่ เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือผู้นำองค์กรสมัยใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน

 ลักษณะสำคัญของอำนาจฐานกฎหมาย-เหตุผล คือ การได้รับความชอบธรรม โดยการกระทำตามกฎหมาย ระเบียบ กฎเกณฑ์ ขั้นตอน และกรอบการปฏิบัติที่กฎหมายกำหนดไว้ อำนาจฐานกฎหมาย-เหตุผลเป็นอำนาจที่ไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และบังคับใช้อย่างเป็นกลางกับบุคคลทุกคนภายในระบบ ดำเนินไปภายใต้โครงสร้างระบบราชการและองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีการกำหนดขอบเขต บทบาท และความรับผิดชอบอย่างชัดเจนในตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้อำนาจ

สำหรับรูปแบบอำนาจประเภทสุดท้ายคือ อำนาจฐานบารมี ซึ่งมีแหล่งที่มาจากคุณสมบัติและความสามารถพิเศษส่วนบุคคลที่โดดเด่นของแต่ละบุคคล มักเกี่ยวข้องกับผู้นำการปฏิวัติ บุคคลสำคัญทางศาสนา หรือบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเกิดความจงรักภักดีอย่างแรงกล้าและการเสียสละอุทิศตนแก่ตนเอง อำนาจบารมีอาศัยความสามารถของผู้นำในการดึงดูดใจ สร้างแรงบันดาลใจ และโน้มน้าวผู้อื่น บ่อยครั้งใช้ด้วยการสร้างแรงดึงดูดเชิงจิตวิญญาณ การนำเสนอวิสัยทัศน์ที่สร้างความหวัง หรือการเชื่อมโยงทางอารมณ์กับสาวกอย่างลึกซึ้ง

 ลักษณะสำคัญของอำนาจบารมีคือ การได้รับความชอบธรรมผ่านความสามารถพิเศษของผู้นำ ซึ่งมักเชื่อมโยงกับอำนาจเหนือธรรมชาติหรือความเชื่อทางศาสนา ความสามารถพิเศษของผู้นำจะทำให้ พวกเขาแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นแรงดึงดูดผู้คนจำนวนหนึ่งให้เข้ามาเป็นสาวกที่เปี่ยมด้วยศรัทธา ในแง่นี้อำนาจฐานบารมีจึงเป็นอำนาจที่มีความสัมพันธ์กับมิติทางอารมณ์ความรู้สึกและความเชื่ออย่างเข้มข้น ผู้นำบารมีเชื่อมโยงทางอารมณ์และโน้มน้าวใจบรรดาเหล่าสาวก ด้วยการพูด การใช้สัญลักษณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์ส่วนบุคคล

เวเบอร์ยังตระหนักถึงธรรมชาติของอำนาจที่มีพลวัตและลื่นไหล โดยเน้นย้ำถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับพลังทางสังคมอื่น ๆ แก่นแท้ของความเข้าใจของเวเบอร์คือ แนวคิดที่ว่าอำนาจเป็นแนวคิดเชิงสัมพันธ์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ใช่คุณสมบัติโดยธรรมชาติของบุคคลหรือกลุ่ม แต่เป็นพลังแบบพลวัตที่แสดงออกในความสามารถในการมีอิทธิพลต่อการกระทำและการตัดสินใจของผู้อื่น มุมมองเชิงสัมพันธ์นี้เน้นย้ำถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่ม และโครงสร้างทางสังคมในการกำหนดพลวัตของอำนาจ

ในมุมมองของเวเบอร์ อำนาจอาจถูกใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์และตอบสนองค่านิยมส่วนบุคคลและกลุ่ม ซึ่งมุ่งมั่นที่จะมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางการเมือง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือสถานะทางสังคม การแสวงหาผลประโยชน์และความต้องการในการบรรลุเป้าหมายตามค่านิยมของแต่ละกลุ่มนี้ผลักดันให้เกิดการเจรจาต่อรองและการแย่งชิงอำนาจอย่างต่อเนื่อง

เวเบอร์เน้นย้ำว่าอำนาจไม่ได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่ถูกหล่อหลอมและผนึกอยู่ในโครงสร้างทางสังคม กล่าวคือ สถาบัน องค์กร และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมสร้างกรอบแนวทางปฏิบัติในการกระจายและการใช้อำนาจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม โครงสร้างสังคมสามารถเสริมพลังหรือท้าทายพลวัตของอำนาจที่มีอยู่ได้ ซึ่งส่งผลต่อโอกาสและข้อจำกัดที่บุคคลและกลุ่มต้องเผชิญ

เวเบอร์ยังแยกแยะความแตกต่างระหว่างอำนาจ (power) และอำนาจหน้าที่ (authority) โดยตระหนักว่าอำนาจอาจเป็นได้ทั้งชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม อำนาจที่ชอบธรรมเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหน้าที่ ซึ่งได้รับการยอมรับและกำหนดไว้ภายในสังคม โดยให้สิทธิแก่พวกเขาในการใช้อำนาจหน้าที่ ในทางกลับกัน อำนาจที่ไม่ชอบธรรมถูกมองว่าไม่ยุติธรรมหรือกดขี่ และมักนำไปสู่การต่อต้านหรือความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม พลวัตของอำนาจสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งและความร่วมมือก็ได้ บุคคลและกลุ่มอาจขัดแย้งกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์และการบรรุลุเป้าหมายตามค่านิยม นำไปสู่การต่อสู้เพื่ออำนาจและการครอบงำ แต่กระนั้น อำนาจยังสามารถส่งเสริมความร่วมมือได้ เนื่องจากบุคคลและกลุ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันหรือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่องอำนาจของเวเบอร์ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดเรื่อง “กรงเหล็กแห่งการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง” (iron cage of rationalization) เวอเบอร์ อธิบายว่า สังคมยุคใหม่มีลักษณะเฉพาะด้วยการเน้นที่เหตุผล ประสิทธิภาพ และการควบคุมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การแพร่ขยายของโครงสร้างระบบราชการและการกัดเซาะเสรีภาพส่วนบุคคล ในบริบทนี้ อำนาจมักถูกใช้ผ่านกลไกที่ไม่มีตัวตนและเป็นกลไกของระบบราชการ และปัจเจกบุคคลมักตกอยู่ภายใต้  “รูปแบบของความเฉยเมย” ( a form of disenchantment ) ซึ่งชีวิตของพวกเขาถูกควบคุมมากขึ้นโดยบรรทัดฐานและขั้นตอนทางกฎหมายที่มีเหตุผล แนวคิดเรื่องอำนาจในแง่มุมนี้ของเวเบอร์เน้นย้ำถึงแนวทางที่อำนาจดำเนินการภายใต้บริบทของสังคมยุคใหม่ และให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความท้าทายและความขัดแย้งของอำนาจในระบบสังคมร่วมสมัยด้วย

กล่าวได้ว่า แนวคิดอำนาจของเวเบอร์มีอิทธิพลต่อการศึกษาทางสังคมและการเมืองในปัจจุบันหลายแง่มุม อันได้แก่ การเปรียบเทียบรูปแบบต่าง ๆ ขององค์กรทางการเมืองและการปกครอง เช่น ระบอบกษัตริย์ ประชาธิปไตย เผด็จการ และระบบราชการ การตรวจสอบบทบาทและผลกระทบของศาสนา วัฒนธรรม และอุดมการณ์ที่มีต่อการเมืองและสังคม นอกจากนี้แนวคิด  “กรงเหล็กแห่งการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง” ทำให้เราเกิดความเข้าใจว่า ระบบราชการและเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถจำกัดเสรีภาพและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้อย่างไร

ปรากฏการณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบันคือ ผู้นำการเมืองแบบประชานิยมเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ในการนี้ แนวคิดอำนาจฐานบารมีของเวเบอร์จะช่วยให้เราเข้าใจพลวัตและความท้าทายของความเป็นผู้นำและผู้ตามในการเมืองมากขึ้น ทำให้อธิบายได้ว่าผู้นำบารมีสามารถระดมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ติดตามได้อย่างไร และใช้วิธีการอย่างไรในการรับมือกับปัญหาการสืบทอดอำนาจและรักษาความชอบธรรมของระบบการเมือง

 โดยรวมแล้ว แนวคิดเรื่องอำนาจของ แม็กซ์ เวเบอร์ มีนัยสำคัญต่อความเข้าใจในสังคม ด้วยการเน้นย้ำถึงธรรมชาติที่มีหลายแง่มุมของความสัมพันธ์ทางอำนาจ บทบาทของความชอบธรรมและอำนาจหน้าที่ในการใช้อำนาจ และให้มุมมองในการวิเคราะห์พลวัตของอำนาจภายในระบบสังคม รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองของระบบราชการที่มีต่อเสรีภาพและความเป็นอิสระส่วนบุคคลในสังคมด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น