xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คำสารภาพจาก “ตั๋วแม้ว” “ธนาธร” รับพบ “ทักษิณ” มิน่า!“ค่ายส้ม”ไม่แตะ“ชั้น14” “คมนาคม”เขตปลอดฝ่ายค้าน?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เส้นทางไม่สดใสอย่างที่คิด “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่ผงาดคว้าแชมป์เลือกตั้ง 2566 ได้ สส.มากที่สุด แต่หลังจากจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ แล้วต้องมาตกพุ่มทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็มีประเด็นให้ “เสียรังวัด” อย่างต่อเนื่อง และเข้าโหมด “ขาลง” อย่างที่เห็น ไม่ว่าจะกรณีพฤติกรรมล่วงละเมิด และคุกคามทางเพศ ที่เกิดขึ้นภายในพรรคก้าวไกล ที่แม้จะตัดหางลงมติขับ 2 สส.ออกจากสมาชิกพรรคแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถสลัดภาพลักษณ์ที่ถูกแขวะแรงว่า “ก้าวกาม” ไปได้

แล้วยังมาสะดุดปม “เผือก” ไปมีเอี่ยวกับดรามา แฮชแทก #เลิกบังคับแปรอักษร เป็นเหตุให้ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค ที่เคยป๊อปปูลาร์ ไปไหนมาไหนมีแต่คนห้อมล้อม ต้องมาถูกโห่ใส่ขณะไปร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 30

หรือล่าสุด สดๆ ร้อนๆ “ศาสดาก้าวไกล” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ตัดสินใจเปิดหน้าออกมากอบกู้ภาพลักษณ์ของ “พรรคก้าวไกล” ที่ตกต่ำขั้นสุดจากสารพัดปัญหา ด้วยการออกมาโจมตีโครงการ “หมื่นดิจิทัล” แต่กลับต้องมา “โป๊ะแตก” เพราะเกิดเหตุทำให้จำใจ “สารภาพ” ว่า เดินทางไปพบ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร ที่เกาะฮ่องกง ในช่วงวันคล้ายวันเกิด ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังดีลจัดตั้งรัฐบาลที่ขณะนั้นมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

กลายเป็นคำตอบของข้อครหาที่ว่า “มิน่า! ค่ายส้มถึงไม่แตะชั้น14” ได้เป็นอย่างดี

กลายเป็นคำเฉลยว่า ทำไม “กระทรวงคมนาคม” ถึงได้เป็นเขตปลอดฝ่ายค้าน?

และกลายเป็นบทสรุปของสิ่งที่เรียกว่า “ตั๋วชั้น 14” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ตั๋วแม้ว” ซึ่งมีอิทธิพลต่อ “พรรคก้าวไกล” ชนิดที่ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้

-1-

ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของค่ายส้มเกิดขึ้นโดยตรงกับ “พิธา” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่เวลานี้กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาอย่างหนักและอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อพรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวของกับการขบวนการปลุกกระแสเลิกบังคับการแปรอักษรของการแข่งขันฟุตบอลจตรุมิตร ด้วยตัว “พิธา” เองนั้น เป็นศิษย์เก่า “ชงโคสีม่วง” โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน

ในวันนั้น “พิธา” อุตส่าห์สวมเสื้อสีม่วงไปเชียร์ทีมรุ่นน้องสถาบัน ลงเตะนัดชิงชนะเลิศกับ “ชมพู-ฟ้า” โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่สนามศุภชลาศัย โดยในช่วงพักครึ่งเวลา ปรากฏว่ามีศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ลุกขึ้นมาชี้ไปที่ “พิธา” พร้อมต่อว่าการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับการแปรอักษรฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี พร้อมกับมีเสียงโห่ไล่จากกลุ่มกองเชียร์ในบริเวณนั้นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียน

นอกจากนี้ยังมีศิษย์เก่าจากฝั่ง “ลูกแม่รำเพย” โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่นำเสื้อที่สกรีนข้อความว่า “อย่าเสือก!! เรื่องแปรอักษรของพวกกู” มาชูต่อหน้า “พิธา” อีกด้วย ทำเอา “แด๊ดดี้ทิม” หน้าเจื่อน และออกตัวว่า “ผมไม่เกี่ยว!”

หลังจบการแข่งขันก็มีบทสัมภาษณ์ของ “พิธา” เกี่ยวกับจุดยืนเกี่ยวกับการแปรอักษรที่ถือเป็นหนึ่งประเพณีในฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคีว่า “เรื่องการแปรอักษร ตัวเองขึ้นมา 2 ครั้ง มีครั้งที่สนุก และบางครั้งที่ไม่ได้เห็นเวลายิงประตูบ้างอะไรบ้าง คิดว่าน่าจะร่วมกันหาทางออก ฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของจตุรมิตร”

เป็นคำตอบที่ไม่ซ้าย-ไม่ขวา ไม่ฟันธงว่าสนับสนุน หรือคัดค้านอย่างไร ราวกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของ “เสี่ยทิม” ที่ก่อนหน้านี้มี สส.ก้าวไกล เคยออกมาเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการบังคับให้นักเรียนขึ้นแสตนด์แปรอักษร

ซ้ำร้ายยังมีกระแส “จับโป๊ะ” คำกล่าวอ้างของ “พิธา” ที่ระบุว่า ตัวเองมีส่วนร่วมในการขึ้นแสตนด์แปรอักษรฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคีถึง 2 ครั้งอีกด้วย เพราะเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ว่า สมัยเด็กเกเรจนถูกส่งไปเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ
โดยมีการขุดเทปสัมภาษณ์ “พิธา” ในรายการเจาะใจ ที่เมื่อพิธีกรถามถึงการไปเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ นายพิธากล่าวเองว่า “ตอนไป 3 เดือนแรกร้องไห้ทุกคืน ยังเด็กอยู่ 11 ขวบ”

หากคำนวณตามรอบของฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคียุคหลังที่จัดขึ้น 2 ปีครั้ง เท่ากับว่า “พ่อหนุ่มทิม” ต้องขึ้นแสตนด์แปรอักษรครั้งแรกตอนอายุ 9 ขวบ และอีกครั้งตอนอายุ 11 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ยังไม่ได้อยู่ระดับมัธยมศึกษา แต่ก็มีคนแก้ตัวแทนว่า หลายครั้งที่นักเรียนมัธยมฯ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนไม่พอขึ้นสแตนด์ จนต้องไปดึงเอาเด็กประถมฯ มาช่วยแปรอักษรด้วย

อย่างไรก็ดีหลังเกิดรายการ “จับโป๊ะ” ขึ้น ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติในเว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี มี “มือดี” ไปแก้ไขประวัติ “พิธา” ในส่วนของประวัติการศึกษา โดยแก้ไขช่วงไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ จากของเดิมอายุ 11 ขวบ เป็นอายุ 16 ปี และมีการแก้ไปแก้มาหลายครั้งเป็นรายชั่วโมงเลยทีเดียว

และในขณะที่ “พิธา” ไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือตอบโต้ใดๆ ก็มี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Orio Piriyawat ออกมาโพสต์ภาพ พร้อมข้อความ โดยระบุว่า ตัวเองเป็นหัวหน้าห้องของ “พิธา” ในสมัยเรียนชั้นมัธยมต้นโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน พร้อมยืนยันว่า อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ขึ้นแปรอักษรจริง

“ในฐานะอดีตหัวหน้าห้อง ม.2 ห้อง 25 กับ ม.3 ห้อง 35 ผม โอ (เพื่อนเรียก เตี้ย) กท.22718 ทิม พิธา เรียนอยู่กับผม ขึ้นแปรอักษรร่วมกัน เป็น BCC145 ตลอดกาล ผมเช็กชื่อนับจำนวนนักเรียนทุกเช้า ประเด็นเรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกทับซ้อน โกหก ขออธิบายตรงนี้ เขาไปเรียนจริง แต่เป็นแบบไปเรียนซัมเมอร์ เข้าแคมป์ ตามประสา ปิดเทอม จนพร้อมก็ไปเรียนต่อต่างประเทศเต็มรูปแบบ ดังนั้น แยกแยะนะครับ จบดราม่านะครับ #bcc145”

คำชี้แจงพร้อมหลักฐานของ “อดีตหัวหน้าห้อง” ดูจะฟังขึ้น และยืนยันว่า “พ่อหนุ่มทิม” มีส่วนร่วมกับกิจกรรมแปรอักษรจริงๆ แต่การที่สังคมตั้งคำถามกับคำพูดของ “พิธา” ก็ชี้ให้เห็นว่า กระแสความนิยมไม่ได้เหมือนช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก อีกแล้ว

 ทักษิณ ชินวัตร
และก่อนหน้านี้การให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ของ “พิธา” ก็เคยเป็นประเด็นมาแล้วในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีการเปรียบเทียบคำให้สัมภาษณ์รายการเจาะใจเมื่อครั้งอดีต กับการให้สัมภาษณ์กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ก่อนหารเลือกตั้ง พ.ค.2566 ถึงผลกระทบจากการรัฐประหาร 2549 โดยระบุว่า ขณะนั้น ตัวเองอยู่ที่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้นั่งเครื่องบินไทยคู่ฟ้ากลับมาไทย แล้วโดนกักตัวที่กองทัพอากาศจนทำให้ไปงานศพพ่อ 2 คืนแรก ไม่ทัน นอกจากนี้ยังโดนอายัดบัญชีทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ

จนถูกหลายๆ คนที่รู้ข้อเท็จจริงออกมาแย้งว่าสิ่งที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลขณะนั้นพูดไม่น่าจะตรงความจริงเท่าไร และดูเหมือนจงใจ “กุเรื่อง” ขึ้นเพื่อเรียกคะแนนสงสาร และคะแนนเสียงเลือกตั้ง

โดย “เสี่ยตั๊ก” ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็ยอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และผู้นำคณะในเครื่องบินลำที่ “พิธา” โดยสารกลับจากสหรัฐอเมริกามายังประเทศไทยเมื่อปี 2549 เล่าว่า ก่อนเครื่องขึ้นจากนิวยอร์ก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนำ “พิธา” มาฝาก และเมื่อเครื่องมาถึง กทม. ก็ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน รวมทั้ง ไม่ได้มีการระงับธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด

ก่อนที่ “พิธา” จะไปงัดหลักฐานภาพถ่ายมาชี้แจงว่า สิ่งที่ให้สัมภาษณ์ไปนั้นเป็นความจริง ส่วนรายละเอียดที่ไม่ตรงกับคำโต้แย้งผู้อื่นนั้น ก็เพราะแต่ละคนถูกปฏิบัติไม่เหมือนกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงปัญหาเกี่ยวกับ “ความน่าเชื่อถือ” ของ “พิธา” รวมไปถึงพรรคก้าวไกลเองด้วย ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสของพรรคก้าวไกลที่เคย “แลนด์สไลด์” ในพื้นที่ กทม. และในหลายจังหวัด อาจไม่ได้แรงเหมือนเดิมอีกแล้ว

มิเช่นนั้นกระแส #เลิกบังคับแปรอักษร ที่ สส.ก้าวไกล ลงไปผสมโรงก็คงจุดติด แต่นี่ไม่เพียงจุดไม่ติด ยังตีกลับกลายเป็๋นกระแสเชิงลบกับพรรคก้าวไกลด้วย ทั้งที่เป็นประเด็นยเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน รวมทั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวง ที่เป็นทั้งกลุ่มเป้าหมาย และพื้นที่หากินของ “ค่ายสีส้ม” แท้ๆ

เข้าใจได้ว่า น่าจะเป็นผลพวงความเบื่อหน่ายของผู้คนที่พรรคก้าวไกลพยายามยัดเยียดให้ทุกประเด็นเป็นเรื่องทางการเมือง รวมทั้งเรื่องฉาวๆ ภายในพรรค กรณีพฤติกรรมล่วงละเมิด และคุกคามทางเพศ แล้วยังมีการตัดสินแบบสองมาตรฐาน สส.คนหนึ่งถูกขับออกจากพรรค อีกคนหนึ่งถูกพรรคลงโทษเพียงแค่การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ก่อนจะถูกสังคมกดดัน จึงทำให้ต้องลงมติขับ สส.อีกคนพ้นจากพรรคไปเช่นเดียวกัน

ที่สำคัญน่าจะเป็นความน่าเชื่อถือของ ”ระดับนำ“ ที่หลายๆ ครั้ง ถูก “จับโป๊ะ” หรือ ”จับโกหก” เช่นกรณี “แด๊ดดี้ทิม” กับดรามาแปรอักษร

-2-
ความวัวเรื่อง “อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนที่สอง” ยังไม่ทันหาย ความควายก็เกิดขึ้นต่อเนื่องกับ “อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนแรก” ที่เวลานี้ดำรงสถานะเป็น “ศาสดาก้าวไกล” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และรั้งตำแหน่งประธานคณะก้าวหน้า เมื่อเพิ่งออกมา “สารภาพ” ว่า เดินทางไปพบ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร ที่เกาะฮ่องกง ในช่วงวันคล้ายวันเกิด ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังดีลจัดตั้งรัฐบาลที่ขณะนั้นมี พรรคก้าวไกล เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

โดย “เสี่ยเอก-ธนาธร” ได้รับเชิญไปให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่มี สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อถล่มนโยบาย “หมื่นดิจิทัล” เติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของรัฐบาล โดยหมายมั่นปั้นมือว่าจะ “ฟาด” โครงการนี้ให้ถล่มจมดินเพื่อปั่นสถานการณ์ให้ “พรรคส้ม” ที่เพลี่ยงพล้ำจากสารพัดปัญหามาอย่างต่อเนื่องกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่การณ์กลับกบายเป็นว่า ถูกกลบประเด็นเมื่อ “สรยุทธ” ถามถึงกระแสข่าวว่าเดินทางไปพบ “ทักษิณ” ที่ทำให้ “ธนาธร” ถึงกับอ้ำอึ้ง แล้วแสร้งถามกลับว่า อะไรนะครับ

ก่อนจะยอมรับว่า” ก็ต้องบอกว่า ก็เป็นปกติที่เราพบปะพูดคุยกับนักการเมือง (ถามว่า ไม่ได้ไปต่อรองอะไรเลยหรือ ตอนนั้นจะตั้งรัฐบาลร่วมกัน) ผมจะไปต่อรองอะไร ผมไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ผมไปต่อรองก็ถูกยุบพรรคสิ ผมจะไปต่อรองอะไร”

ทั้งนี้ ย้อนหลังกลับไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิด “นายใหญ่เพื่อไทย” ที่เกาะฮ่องกง โดยมีนักการเมืองทั้งพรรคเพื่อไทย และอีกหลายพรรคเดินทางไปร่วมงาน ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หนึ่งในนั้นมี “ธนาธร” ที่บินไปพบเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย รวมถึงมี “ซูเปอร์ดีล” ระหว่างกันด้วย

ครั้งหนึ่ง “ธนาธร” เคยถูกแฉถึงไฟล์ทเดินทางว่า ไปเกาะฮ่องกงในวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 และเดินทางกลับวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ก่อนจะมาปรากฎตัวที่ พรรคก้าวไกล ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด “ทักษิณ” ราวกับต้องการให้เห็นว่า ไม่ได้เดินทางไปแต่อย่างใด และเมื่อถูกถามเรื่องนี้ “ธนาธร” ก็เพียงยิ้มตอบ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ

แต่เป็น “สาวช่อ” พรรณิการ์ วาณิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ที่ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ธนาธร” ไม่ได้เดินทางไปเกาะฮ่องกงเพื่อพบนายทักษิณ ตามที่มีกระแสข่าว

“กระแสที่บอกว่านายธนาธรเดินทางไปพบนายทักษิณนั้น รู้สึกว่าตอนนี้มีการปั่นข่าวกันเยอะ ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ซึ่งขณะนี้นายธนาธรอยู่เมืองไทย และอยู่ใน กทม.” พรรณิการ์ว่าไว้ในตอนนั้น

เมื่อ “ธนาธร” มาสารภาพในวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อภูมิทัศน์การเมืองขณะนี้ เพราะพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและเดินหน้าทำงานไปแล้ว ส่วนพรรคก้าวไกลก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอยู่ในขณะนี้ แต่ย่อมส่งผลถึง “ความน่าเชื่อถือ” ทั้งตัว “ธนาธร” รวมถึง “ช่อ-พรรณิการ์” ที่กำลังเปิดศึกกับ “หมอเลี้ยบ-นพ.สุรพงษ์สืบวงศ์ลี” ว่าด้วยเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” ด้วย

กรณีของ “พรรณิการ์” อาจอ้างว่า ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของ “ธนาธร” ก็เป็นได้ แต่คงยากที่จะเชื่อ เพราะถือเป็น “ระดับนำ” ของคณะก้าวหน้าคนหนึ่ง

ส่วนตัว “ธนาธร” แม้จะอ้างว่า ไปพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป ไม่ได้ต่อรองทางการเมือง อีกทั้งพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทย แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า การยอมรับว่าไปพบ “ทักษิณ” ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ที่ศรัทธา “ศาสดาเอก” และลามมาต่อที่ความนิยมในพรรคก้าวไกล ไม่มากก็น้อย

“สำหรับผม พรรคเพื่อไทยคือมิตร แม้จะอยู่คนละฝ่าย และประเทศไทยในอนาคต จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองแบบเพื่อไทย และพรรคก้าวหน้า” คือคำที่ “ธนาธร” พูดถึงพรรคเพื่อไทยไว้

เป็นคำพูดที่เชื่อว่าขัดใจ “ด้อมส้ม” ที่เทใจให้ “ธนาธร” และพรรคก้าวไกล จนตั้งแง่กับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ “ตระบัดสัตย์” พลิกขั้วไปร่วมรัฐบาลกับขั้วรัฐบาลเก่า โดยเฉพาะ “พรรค 2 ลุง” ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้ว

เป็นการประจานว่า การทำการเมืองตรงไปตรงมาที่ “ศาสดาเอก” ประกาศไว้ ไม่มีอยู่จริง และเมื่อมาเป็นนักการเมือง ก็ย่อมต้องเล่นการเมืองอย่างที่เพิ่งสารภาพออกมา

 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
แม้จะยืนกรานว่า ไม่เคยต่อรองใดๆ กับ “ทักษิณ” แต่ก็มีร่องรอย “ดีลลับ” อยู่ไม่น้อย เพราะนัดหมายที่เกาะฮ่องกง ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกันในช่วงเลือกตั้ง 2566

ว่ากันว่า การที่ “อาเจ๊ก” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นอา ที่เพิ่งย้ายกลับพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมคณะเจรจาจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล-เพื่อไทย จนมีบทบาทสำคัญ และมีผลทำให้คว้าเก้าอี้เกรดเออย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปครองได้นั้น ก็เป็นรายการ “คุณขอมา” จาก “ตี๋เอก” หลานสุดที่รัก

หรือการที่ตั้ง “ทักษิณ” เดินทางกลับประเทศ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยที่ไม่เคยเข้ารักโทษในเรือนจำแม้แต่คืนเดียว แต่กลับได้ “อภิสิทธิ์” ออกมารักษาตัวเป็น “เทวดา” อยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลากว่า 3 เดือนเต็มแล้ว กลับไม่มี “คนก้าวไกล-คนก้าวหน้า” ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือพยายามใช้กลไกตรวจสอบแต่อย่างใด

ทั้งที่การใช้อภิสิทธิ์ของ “ทักษิณ” ขัดหลักการ “คนเท่ากัน” ที่พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า เรียกร้องมาตลอด ที่สำคัญยังมีผู้ต้องขังที่เป็นแกนนำม็อบ-แกนตามม็อบ ซึ่งพรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า ให้การสนับสนุนตกระกำกำลำบากอยู่ในเรือนจำ เป็นภาพเปรียบเทียบการเลือกปฏิบัติอยู่ด้วย

จนเชื่อได้ว่า “ซูเปอร์ดีลฮ่องกง” น่าจะมีเรื่องการกลับบ้านของ “ทักษิณ” เป็นหนึ่งหัวข้อสนทนาสำคัญ

น่าสนใจไปอีกว่า การพบกันของ “ทักษิณ-ธนาธร” ที่เวลานี้สังคมให้คำจำกัดความว่าคือ “ตั๋วแม้ว” อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ประสิทธิภาพการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลของพรรคก้าวไกลลดลงหรือไม่

อย่างประเด็นร้อนเรื่อง “ตั๋วเพื่อไทย” ที่ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน ไปหลุดปากพูดในทำนอง “สส.ฝากตำแหน่งผู้กำกับใหม่” กลางที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า

“ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าคงมีผู้ผิดหวังมากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง แต่ก็เป็นผู้กำกับใหม่ซึ่งเราจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กันให้เข้าใจถึงถ่องแท้ และต้องกำจัดปัญหานี้ออกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ”

กลายเป็นประเด็นทันทีว่า สิ่งที่ “เศรษฐา” พูดนั้น สามารถทำได้หรือไม่ และถูกขนานนามว่า “ตั๋วเพื่อไทย”

ซึ่ง 2 ตัวตึงพรรคก้าวไกล วิโรจน์ ลักขณาอดิศร-รังสิมันต์ โรม ก็ออกมาตระครุบทันที โดยมองว่าคำพูดของนายกฯ เป็นการสารภาพว่า มีการใช้เส้นสายในการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ที่ต้องจับตาดูว่า พรรคก้าวไกล จะตามเรื่อง “ตั๋วเพื่อไทย” ไปสุดทางหรือไม่ หรือจะสะดุด “ซูเปอร์ดีลฮ่องกง” จนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเหมือนกรณี ”เทวดาชั้น 14”
เพราะเอาเข้าจริง ทุกคนต่างรู้กันว่า “ตั๋วเพื่อไทย” นั้นไม่ใช่ “ตั๋วเศรษฐา” ที่ไม่ประสีประสาการเมือง กระทั่งหลุดปากออกมาจนเป็นเรื่อง

แต่ “ตั๋วเพื่อไทย” ก็คือ “ตั๋วชั้น 14” หรือพูดให้ตรงก็คือ “ตั๋วแม้ว” ไม่ต่างจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงข้าราชการระดับสูง และคณะกรรมการบริหาร หรือบอร์ดหน่วยงานต่างๆ ที่ว่ากันว่า ผ่านการกดปุ่มจาก “ชั้น 14” ทั้งสิ้น

พอเรื่องพลิกไปเป็น “ตั๋วชั้น 14” หรือ “ตั๋วแม้ว” ก็อาจติดเงื่อนไข “ซูเปอร์ดีลฮ่องกง” จนทำให้ “ตัวตึงก้าวไกล” ต้องยอม “ล้มมวย” ไม่ตามต่อก็เป็นได้...ใช่หรือไม่?

เช่นเดียวกันการตรวจสอบ “กระทรวงคมนาคม” แหล่งขุมทรัพย์การเมืองที่มีคนนามสกุลเดียวกับ “ศาสดาเอก” นั่งเป็นเจ้ากระทรวงอยู่ จะไม่ได้มีแต่ “ดิวตี้ฟรี-เขตปลอดภาษี” แต่อาจจะกลายเป็น “เขตปลอดฝ่ายค้าน” ไม่ได้เห็นอยู่ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เคยเป็น “ขาประจำ” เลยก็เป็นได้เช่นกัน...ใช่หรือไม่

อย่างน้อยๆ คำสารภาพของ “ธนาธร” ก็เป็นบทเฉลยกับท่าทีเงียบผิดปกติกับประเด็น “เทวดาชั้น 14” ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องจับตาใกล้ชิดว่า “ซูเปอร์ดีลฮ่องกง” จะทำให้งานตรวจสอบของ “ค่ายสีส้ม” ง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างที่คิดไว้หรือไม่

เมื่อ “ศาสดาค่ายส้ม” ทิ้งแนวทางการเมืองตรงไปตรงมา หันมา “เล่นการเมือง” แบบนี้ ก็น่ากลัวจะยิ่งซ้ำวิกฤต “ขาลง” ของพรรคก้าวไกลให้หนักขึ้นไปอีก 


กำลังโหลดความคิดเห็น