ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
กำแพงเมืองจีนเมื่อต้นทศวรรษ 1990
นอกจากวังต้องห้ามแล้ว กำแพงเมืองจีนก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมรู้สึกตื่นเต้นจะได้ไปเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต วันนั้นทางเจ้าภาพนัดคณะของเราแต่เช้า เพราะจะต้องเดินทางออกนอกเมืองปักกิ่งไปไกลหลายสิบกิโลเมตร ตอนนั้นถนนหนทางยังไม่ดีเท่าตอนนี้ เราจึงใช้เวลาเดินทางชั่วโมงเศษๆ ก็ถึง
ผมต้องบอกก่อนว่า ที่ว่าถึงนี้หมายถึงไปถึงจุดที่เรียกว่า ปาต๋าหลิ่ง อันเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวพากันไปเยือนเป็นส่วนมาก เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้ปักกิ่งแล้วก็ยังเป็นจุดที่น่าดูชมอีกด้วย
แต่ถ้าไม่นับปาต๋าหลิ่งแล้วก็ต้องบอกว่า ก่อนที่รถจะพามาถึงจุดนี้นั้น เราได้เห็นกำแพงเมืองจีนในระหว่างทางก่อนแล้ว เรียกได้ว่า ถ้าหาที่จอดรถได้ในบางจุดแล้วดั้นด้นเดินไปอีกสักระยะก็จะไปถึงตีนกำแพงเมืองจีนได้เช่นกัน แต่จะน่าดูหรือไม่นั้นคงยากที่จะคาดเดา เพราะต้องขึ้นไปถึงยอดกำแพงก่อนจึงจะตอบได้ว่าน่าดูชมหรือไม่น่าดูชม
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการมองเห็นกำแพงจากระยะไกลนั้นอาจหลอกตาเราได้ ว่าจุดนั้นจุดนี้น่าดูชม แต่พอไปถึงจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ทั้งนี้ยังไม่นับที่เราจะต้องขึ้นเขาขึ้นกำแพงไปอีกต่างหากที่คงเสียเวลาไม่น้อย ถ้าไปถึงแล้วไม่น่าดูชมก็สูญเปล่า
เพราะฉะนั้นแล้ว การไปเยือนกำแพงเมืองจีนที่ปาต๋าหลิ่งจึงเป็นจุดที่ทางจีนคงเล็งเห็นแล้วว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดจุดหนึ่ง
ดังนั้น คำว่า “จุดที่ดีที่สุด” จึงมีความหมายมาก แต่ความหมายที่ว่านี้แยกได้เป็นสองทาง ทางหนึ่ง หมายถึง จุดที่ทำให้เราได้เห็นกำแพงในสภาพที่สมบูรณ์และมีมุมมองที่ดี อีกทางหนึ่ง หมายถึง ยังมีจุดอื่นๆ ที่ดีพอๆ กับจุดนี้หรืออาจดีมากกว่าจุดนี้ แต่ที่เลือกจุดนี้เพราะเป็นจุดที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากตัวเมืองปักกิ่ง
สรุปคือ กำแพงเมืองจีนยังมีจุดที่น่าดูชมอยู่หลายจุด ซึ่งกระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ ของจีนในหลายมณฑล ขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มจากถิ่นไหน คนที่คิดจะไปกำแพงเมืองจีนให้ครบทุกจุดที่น่าดูชมนั้น นอกจากแฟนพันธุ์แท้แล้วผมก็มองไม่ออกว่าจะไปทำไม เพราะต้องใช้เวลาใช้ทั้งเงินไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่นี้ก็มาถึงคำว่า “จุดที่ดีที่สุด” ที่ผมทำเครื่องหมายอัญประกาศหรือที่มักเรียกกันว่า เครื่องหมายคำพูด เอาไว้นั้นหมายถึงอะไร ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าสำคัญมากในการไปเยือนกำแพงเมืองจีน ด้วยถือเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเห็นภาพรวมของกำแพงเมืองจีนได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ คือเห็นแล้วก็ต้องตะลึงตะลานและยอมรับว่านี่คือสุดยอดของกำแพงของโลกใบนี้จริงๆ
ถ้าเช่นนั้นแล้ว “จุดที่ดีที่สุด” นี้คืออะไร?
คืออย่างนี้ครับ ว่าพอถึงจุดที่ว่าซึ่งในที่นี้หมายถึงปาต๋าหลิ่งนั้น สิ่งแรกที่เราเจอก็คือ ประตูของกำแพงที่ตั้งอยู่ ณ จุดนี้ พอพ้นประตูไปแล้วก็จะเห็นทางขึ้นกำแพง และแน่นอนว่า ต้องเห็นนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่กันไปมาด้วย
ซึ่งตอนที่ผมไปนั้นยังมีไม่มากเท่าทุกวันนี้ การไปของเราในตอนนั้นจึงถือว่าโชคดีมากตรงที่ไม่ต้องเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวในขณะขึ้นกำแพง ที่จะทำให้ไม่สามารถละเลียดชมกำแพงได้อย่างหนำใจจนเต็มความรู้สึก
พอถึงตอนที่จะขึ้นกำแพงนั้น ผมมองขึ้นไปก็เห็นว่า จุดสูงสุดที่สายตามองเห็นจากจุดที่ยืนอยู่นั้น ไม่น่าจะสูงไปกว่าตึกห้าชั้น ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าสบายมาก พูดภาษาวัยรุ่นก็คือ ชิลๆ พอทุกคนพร้อมพวกเราก็เกาะกลุ่มกันขึ้นไป ภาพที่เห็นตั้งแต่บันไดกำแพงขั้นแรกและขั้นถัดๆ ไปก็คือ หินขนาดใหญ่ที่ถูกวางเรียกเป็นขั้นบันไดอย่างแข็งแรงแทนก้อนอิฐ
หินแต่ละก้อนมีขนาดไม่เท่ากัน แต่ทุกก้อนก็ใหญ่กว่าอิฐที่เรานำมาสร้างบ้านอย่างที่เราเห็นในบ้านเราหลายเท่า และทุกก้อนล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จะมีที่แตกต่างไปจากบันไดทั่วไปก็เห็นจะมีอยู่แต่เพียงประการเดียวคือ ขนาดบันไดไม่ได้เท่ากันทุกขั้น
บางขั้นมีพื้นบันไดที่กว้างพอที่จะเหยียบได้เต็มเท้า แต่บางขั้นเหยียบได้แค่ครึ่งเท้า บางช่วงก็มีขั้นบันไดที่เสมอหรือเท่ากัน พอถัดไปอีกช่วงหนึ่งก็กลับไม่เสมอกัน ที่สลับกันไปมาโดยตลอดก็คือ ขนาดของขั้นบันไดที่สูงกว่าปกติกับที่สูงแบบปกติ ที่ว่าสูงกว่าปกติคือมากกว่าหนึ่งฟุต แถมบางขั้นยังกว้างไม่มากพอที่จะเหยียบได้เต็มเท้าอีกด้วย
นั่นก็หมายความว่า เวลาก้าวขึ้นไปแต่ละขั้นเราไม่เพียงจะต้องยกเท้าสูงกว่าปกติเท่านั้น หากแต่ยังเท่ากับว่าเราจะต้องยกน้ำหนักตัวเราขึ้นไปด้วย ถึงตรงนี้ใครที่มีน้ำหนักมากก็ต้องตระหนักเอาไว้ทุกขณะที่ก้าวขึ้นไปด้วยว่า ท่านกำลังยกน้ำหนักตัวของท่านขึ้นไปด้วยกำลังขาทั้งสองข้าง และเมื่อต้องก้าวสูงๆ ไปตามความสูงของขั้นไดนั้น ขาก็จะเกร็งไปด้วย ใครที่มีปัญหาข้อเข่าจึงไม่ควรขึ้น
ตรงที่ขาเกร็งนี่แหละครับที่บอกได้เลยว่า แข้งขาจะสั่น โดยเฉพาะตรงน่องจะสั่นเป็นพิเศษ ยิ่งสั่นมากก็ยิ่งปวดมาก จากเหตุนี้ ตอนที่ผมเดินขึ้นไปถึงช่วงที่ขั้นบันไดเสมอกันและไม่ชันมากก็จะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่พอถึงช่วงที่ชันและแคบก็จะรู้สึกปวดแข้งขา และจะเป็นเช่นนี้สลับกันไปมาตลอดเวลาที่ขึ้นไป
บอกตรงๆ ว่า แม้ตอนนั้นอายุของผมจะสามสิบเศษๆ ก็ตาม แต่กว่าจะขึ้นไปถึงยอดที่เป็นจุดชมวิวก็ถึงกับหน้ามืด เพราะทุกขณะที่ขึ้นนั้นจะหายใจแรงมาก ยิ่งหายใจแรงก็ยิ่งรู้สึกร้าวไปถึงทรวง ด้วยทั้งลมที่พัดแรงทั้งอากาศที่หนาวเย็นต่างถูกสูดเข้าไปเต็มปอด แถมยังสูดแรงๆ ตามการหายใจที่แรงอีกด้วย สูดเข้าไปแต่ละทีก็ทำเอาสะท้านทรวงยะเยือกที
ที่สำคัญ พอขึ้นไปจริงๆ แล้วจึงพบว่า ตอนที่อยู่ข้างล่างแล้วมองกำแพงขึ้นไปแล้วเห็นว่าไม่น่าสูงเกินตึกห้าชั้นนั้น เอาเข้าจริงแล้วสูงกว่านั้นมาก มากจนนับไม่ถูกว่ากี่ชั้น ที่เห็นชั้นล่างนั้นจึงหลอกตา
แต่พอขึ้นไปยอดที่เป็นจุดชมวิวแล้ว ความเหนื่อยก็แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะภาพที่เห็นทำเอาผมตะลึงตะลานจนต้องบอกกับตัวเองว่า สมแล้วที่กำแพงเมืองจีนจะเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ภาพที่เห็นคือ กำแพงที่เลื้อยยาวขึ้นลงไปตามยอดเขาแต่ละลูก ส่วนภูเขาจะมีกี่ลูกนั้นไม่อาจนับได้ บอกได้เพียงว่า กำแพงที่เลื้อยเหมือนมังกรเลื้อยนี้ เลื้อยไปจนสุดลูกหูลูกตาจนไม่รู้ว่าไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เป็นภาพที่ทำให้ผมต้องสยบยอมให้กับฝีมือมนุษย์ จะให้กราบงามๆ ก็ยอม
ภาพที่เห็นในวันนั้นทำให้ผมตราตรึงใจมาจนทุกวันนี้ แต่ที่ทำให้ผมหน้าแตกอีกครั้งก็คือ ในอีกหลายปีต่อมาผมได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนกับกัลยาณมิตรอีก ผมจะบรรยายภาพที่ผมเห็นมาเพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจที่จะได้เห็นอย่างผมบ้าง
แต่พอขึ้นไปถึงจุดที่ผมว่า มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมบรรยาย ด้วยฟ้าหลัวจนทำให้เห็นกำแพงได้แค่ระยะใกล้ๆ เท่านั้น ไกลกว่านั้นมองไม่เห็นแม้แต่ภูเขา และที่ฟ้าหลัวนี้มาจากควันจากโรงงานจำนวนมากที่ตั้งอยู่รอบนอกปักกิ่ง
ควันเหล่านี้ถูกพ่นออกมาจากปล่องโรงงานในอัตราที่เพิ่มขึ้น เพราะหลังจากที่ผมได้เห็นกำแพงเมืองจีนเมื่อต้นทศวรรษ 1990 แล้ว เศรษฐกิจของจีนก็ดีวันดีคืน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ หากไม่เพิ่มกำลังการผลิตก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ จากนั้นต่างก็แข่งขันกันพ่นควันพิษออกมาปกคลุมฟ้าจนฟ้าหลัว และทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีจนมองไม่เห็นกำแพงเมืองจีนอย่างที่ควรจะเป็นในยามฟ้าใสไปในที่สุด