ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
การชุมนุมของผู้ชุมนุมบางส่วนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เดินทางไปชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 นัั้น นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่จะนำไปสู่การพิพากษาของศาลอาญาในเร็ววันนี้
โดยจำเลยในคดีมีจำนวน 96 คน โดยในช่วงแรกนั้นคดีดำเนินไปอย่างล่าช้าเนื่องจากเป็นข้อหาที่มีบทลงโทษหนัก ทำให้จำเลยต้องมาให้ครบทุกคนในการสืบพยานทุกปาก ส่งผลทำให้คดีต่อล่าช้ายืดเยื้อยาวนาน เพราะการเจ็บป่วยบ้างที่ไม่ตรงกันของจำเลย จึงยากที่จะทำให้ครบจำนวนพร้อมกันถึง 96 คน จนในเวลาต่อมามีการแก้ไขระเบียบในกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ตลอดจนมีการแบ่งชุดจำเลยออกเป็น 2 ส่วน เพื่อทำให้สะดวกในการดำเนินคดีให้เป็นไปโดยสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
การแยกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกเป็น 2 ชุด จำเลยชุด 1 และชุด 2 โดย
ชุดที่หนึ่งประกอบไปด้วยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ประสานงาน
ส่วนชุดที่สอง ส่วนใหญ่จะเป็นพิธีกร สื่อมวลชน ผู้ปราศรัย ศิลปิน รวมถึงผู้ชุมนุมด้วย
ไม่ว่าผลลัพธ์แห่งคดีจะเป็นอย่างไร ประชาชนและสังคมไทยก็ควรจะได้ทราบด้วยว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับเป็นฝ่ายคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมทุกประเภทในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งๆ ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รับประโยชน์จากกฎหมายเหล่านี้ด้วย
การที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปฏิเสธกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ก็เพื่อให้สังคมไทยสามารถธำรงหลักนิติรัฐ และนิติธรรมเอาไว้ได้ โดยเฉพาะการยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนที่จะได้รับ เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตรและพวกมารับโทษตามกฎหมายอย่างที่ควรจะต้องเป็น
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 ได้ส่งผลทำให้ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 309 และมาตรา 237 ได้เป็นผลสำเร็จ ส่งผลทำให้คดีทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลพรรคไทยรักไทยดำเนินต่อไปได้จนถึงการพิพากษานำผู้กระทำความผิดมาลงโทษในศาลฎีกามากถึง 12 คดี และสามารถทำให้การซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้งนำไปสู่การพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคพลังประชาชนเป็นผลสำเร็จ
แต่ที่ยังไม่สำเร็จก็ยังเป็นบาดแผลในใจต่อผู้ชุมนุมและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
เพราะจนถึงวันนี้คนที่ทำร้ายผู้ชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้มีใครถูกลงโทษทางอาญาแม้แต่คนเดียว เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่ยื่นอุทธรณ์ตามครรลองที่ควรจะเป็น
รวมถึงคดีที่อัยการสูงสุด (นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์) สั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงิน10 ล้านบาทธนาคารกรุงไทยของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลคดีอาญาทุจริตและพฤติมิชอบกลางยกฟ้อง
เช่นเดียวกันกับนักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำจริงๆ ได้ครบ 24 ชั่วโมง
แต่การชุมนุมนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลลัพธ์ที่ตามมาด้วยคดีทั้งทางแพ่งและอาญาจำนวนมาก แม้จะมีแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนหนึ่งจะได้ถูกพิพากษาในการจำคุกไปแล้วในการชุมนุมที่ผ่านมา และรวมถึงคดีที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องถูกอายัดทรัพย์ในคดีความแพ่งไปแล้วในการชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่ถึงกระนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมและเคารพต่อคำตัดสินของศาลมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
และเป็นข้อพิสูจน์ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะในชั้นศาลนั้น ไม่ใช่เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นม็อบมีเส้น
อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีความอาญาต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจำเลยทั้ง 96 คน เพราะนอกจากจะต้องติดเงื่อนไขในการประกันตัว ทำให้ไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวชุมนุมจนเป็นเหตุทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องยุติบทบาทไปแล้ว ยังไม่สะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศมาหลายปีด้วย
โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิด ย่อมเสื่อมเสียชื่อเสียง ตลอดระยะเวลาที่คดีทั้งหลายยังไม่ได้รับการพิสูจน์ความจริง
คดีการชุมนุมทั้งหลายได้ดำเนินไปจนกระทั่งจำเลยชุดที่ 1 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สืบทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจนครบแล้ว และศาลอาญา(รัชดาภิเษก) ได้นัดอ่านคำพิพากษาจำเลยในชุดที่ 1 ในวันที่ 18 ธันวาคม 2566 นี้
ส่วนในชุดที่ 2 จะมีการนัดการให้การ “จำเลยปากสุดท้ายในคดีนี้” เป็นจำเลยที่ 18 ชื่อ “นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ในวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2566 นี้ โดยศาลอาญาจะนัดหมายจำเลยทั้งหมดในวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เพื่อกำหนดวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอาญาในคดีชุดที่ 2 นี้
สำหรับในคดีชุดที่ 2 นี้ ต้องขอขอบคุณทีมทนายทั้งหมด ที่อนุญาตยอมให้ผมได้มีโอกาสซักค้านพยานโจทก์ด้วยตัวเองเป็นเวลา 2 วันแล้ว และยังเปิดโอกาสวางตัวให้ผมเป็นจำเลยปากสุดท้ายที่จะขึ้นเบิกความในคดีประวัติศาสตร์นี้
โดยผมได้รวบรวมพยานหลักฐานมาไม่ต่ำกว่า 100 ชิ้น ในการซักค้านพยานโจทก์ด้วยตัวเองที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นจำเลยปากสุดท้าย จึงจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการนำเสนอต่อศาลอาญาอย่างเป็นระบบถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ผมและทีมทนายได้เตรียมการและรวบรวมหลักฐานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
และเชื่อว่าการนำเสนอต่อศาลอาญาของผมในครั้งนี้ จะมีส่วนในการทำให้ศาลอาญาได้เห็นความจริงอย่างรอบด้าน ทุกมิติ เพื่อให้ศาลอาญาได้พิจารณคดีความและตัดสินด้วยความยุติธรรมในที่สุด
และเมื่อผมได้นำเสนอต่อศาลอาญาอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรก็จะน้อมรับและดำเนินการต่อตามครรลองในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลต่อไป ซึ่งเป็นวิถีทางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เชื่อมั่นในหลักนิติรัฐและนิติธรรมมาโดยตลอด
จึงขอเชิญชวนจำเลยทุกคน ผู้ที่เคยชุมนุม สื่อสารมวชน และประชาชนที่สนใจในคดีประวัติศาสตร์นี้ ได้เข้าร่วมรับฟังคำให้การของผมในวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน2566 นี้ เวลา 9.00 น. จนเสร็จ ซึ่งคาดว่าคำให้การอาจจะใช้เวลาทั้งวัน หรืออาจจะต่อเนื่องถึง 2 วัน ณ ศาลอาญา (รัชดาภิเษก) ชั้น 9 ห้อง 910
ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
จำเลยปากสุดท้าย คดีการชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ