xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (22)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

หยก นาฬิกา และชีวิตในวังต้องห้าม

เรื่องของวังต้องห้ามที่ผมเล่าไปนั้น ก็อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่า หากจะเล่าอย่างละเอียดก็คงจะเขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ แล้วแต่ว่าจะเล่าในแง่มุมไหน อย่างเช่นในแง่มุมสถาปัตยกรรมเพียงด้านเดียวก็สามารถสร้างเป็นสารคดีได้ยาวนับชั่วโมงแล้ว

ซึ่งจากที่ผมเคยดูมานั้น เฉพาะด้านนี้ก็ให้ความรู้มากมายแล้วว่า คนจีนในยุคราชวงศ์หมิงมีภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรมในการสร้างวังต้องห้ามอย่างไรบ้าง ไม่เพียงเท่านั้น งานสร้างที่ว่าในบางส่วนยังขานรับกับความเชื่อทางศาสนาอีกด้วย

 เช่น ครั้งหนึ่งในระหว่างบูรณะหลังคาพระที่นั่งองค์หนึ่งนักโบราณคดีพบว่า ใต้หลังคาพระที่นั่งมีผอบซ่อนอยู่ใบหนึ่ง ในผอบมีผ้าไหมที่เขียนข้อความเป็นบทสวดศาสนาพุทธของฝ่ายทิเบตพับอยู่อย่างเรียบร้อย บทสวดนี้คงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาในขณะนั้น นัยว่าจะสามารถให้ความปกป้องคุ้มครองพระที่นั่งองค์นี้ได้ เป็นต้น 

ด้วยเหตุนี้ หากจะเดินดูวังต้องห้ามให้ได้ความรู้จริงๆ แล้วคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ละเลียดศึกษาไปด้วยการให้ไกด์ท้องถิ่นอธิบายให้ฟัง ซึ่งผมมักจะแอบฟังไกด์ท้องถิ่นบรรยายอยู่เสมอแล้วพบว่า เขาอธิบายละเอียดจริงๆ ส่วนข้างนักท่องเที่ยวจีนก็ตั้งใจฟังกันอย่างจริงจัง

ไม่เหมือนนักท้องเที่ยวไทยที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก ไปเที่ยวที่ไหนก็ถ่ายรูปไว้ก่อนให้ได้ชื่อว่ามาถึงสถานที่นั้นแล้ว ส่วนความรู้ที่ควรรู้มีน้อยคนนักที่จะสนใจฟัง ขนาดไกด์บรรยายแบบย่อๆ ไม่เหมือนกับที่บรรยายให้คนจีนฟังที่ละเอียดกว่ามากมายหลายเท่า ก็ยังไม่มีใครอยากฟัง

จนครั้งหนึ่งขณะที่ไกด์บรรยายอยู่นั้น ผมได้ยินนักท่องเที่ยวคนหนึ่งพูดกระซิบกับเพื่อนว่า เดี๋ยวเรารีบไปซื้อของกันเถอะ คนที่พูดนี้เป็นผู้ชายนะครับ ถ้าเป็นผู้หญิงจะขนาดไหน ผมจึงไม่แปลกที่มีการตั้งฉายานักท่องเที่ยวไทยว่า  “นั่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นชอป”  

ถึงกระนั้นผมก็อยากจะบอกทิ้งท้ายเกี่ยวกับวังต้องห้ามเอาไว้สองเรื่อง

เรื่องหนึ่งคือ ด้านหลังของวังก่อนที่จะออกไปด้านนอกของวัง ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดการเยือนวังต้องห้ามนั้น ด้านขวามือจะมีอาคารสองหลังที่ควรเยี่ยมชมอย่างยิ่ง อาคารหลังหนึ่งเป็นที่จัดแสดงเครื่องหยก อีกหลังหนึ่งจัดแสดงนาฬิกาโบราณ

อาคารที่จัดแสดงเครื่องหยกนั้น นอกจากจะมีหยกลักษณะต่างๆ ที่พิสดารแล้ว ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ หยกขนาดใหญ่ยักษ์จนผมเรียกไม่ถูกว่าควรใช้ลักษณะนามว่าเป็นชิ้นหรือเป็นก้อนดี ถ้าให้ดีควรจะเรียกเป็นองค์ เพราะเป็นสมบัติของจักรพรรดิ หยกที่ว่านี้สูงหลายเมตรและใหญ่ขนาดราวสองคนโอบ

 หยกถูกสลักเป็นรูปภูเขาสูง และในส่วนต่างๆ ของภูเขาจะสลักเป็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนผ่านกิริยาที่แตกต่างกันไป และในเมื่อสลักเป็นภูเขาแล้วก็ย่อมสลักต้นไม้ใบหญ้าและสิงสาราสัตว์เอาไว้ด้วย สรุปแล้ว ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ถูกสลักได้อย่างลงตัวและมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน 

ส่วนอาคารอีกหลังที่จัดแสดงนาฬิกาโบราณนั้น มีตั้งแต่นาฬิกาหลังใหญ่โตในรูปทรงของอาคารแบบตะวันตก จนถึงนาฬิกาตั้งพื้นและตั้งโต๊ะที่ล้วนแล้วแต่วิจิตรพิสดารทั้งสิ้น แต่ที่ผมทึ่งมากๆ นั้นมีอยู่เรือนหนึ่งที่เป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ นาฬิกาเรือนนี้ถูกรังสรรค์ให้เป็นชายผิวดำอยู่ในชุดทักซิโดยืนอยู่ข้างรถม้า โดยที่มือข้างหนึ่งถือไปป์ขนาดยาวเอาไว้ด้วย

 ไกด์บรรยายว่า หากเราจุดไฟไปที่ปลายไปป์ที่เป็นบุหรี่เสียบอยู่ ไฟก็จะแดงวาบเหมือนบุหรี่ติดไฟจริงๆ จากนั้นนาฬิกาก็จะเดินติ๊กต็อกๆๆๆ ทันที ตอนที่ฟังนั้นบอกตรงๆ ว่า ผมอยากจะจุดไฟให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริงๆ แต่ก็คงต้องติดคุกหัวโตแน่ 


แต่ก็ด้วยเจ้านาฬิกาเรือนนี้แหละที่ทำเอาผมเกือบเสียผู้เสียคนไป ด้วยในชั้นหลังต่อมาที่ผมมีอันต้องเป็นผู้บรรยายบ้าง ผมได้คุยให้คณะที่ไปด้วยถึงเรื่องของนาฬิกาเรือนนี้เพื่อจูงใจให้อยากดู ก่อนที่จะเข้าไปดูจริง แต่พอเข้าไปแล้วปรากฏว่า นาฬิกาเรือนนี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว

ทุกครั้งที่ไปผมมักถามไกด์จีนว่า นาฬิกาเรือนนี้หายไปไหน ทุกคนตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน จนทำเอาผมหน้าชา และเป็นเรื่องที่ค้างคาใจผมมาจนทุกวันนี้ เพราะหลังจากนั้นผมไปอีกก็ไม่เจอนาฬิกาเรือนนี้อีกเลย

จนอยากร้องดังๆ ว่า นาฬิกาหายไปไหน (โว้ย)....!!!???

อีกเรื่องหนึ่งคือ วังต้องห้ามมีห้องหับต่างๆ รวมทั้งสิ้น 9,999 ห้อง ห้องเหล่านี้เป็นที่พำนักของบุคลากรในวังซึ่งก็คือ หญิงชาววังและขันที สาวชาววังถือเป็นสมบัติของจักรพรรดิ ซึ่งห้ามมิให้ผู้ชายเข้ามายุ่งเกี่ยว ส่วนขันทีถือเป็นผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศไปแล้ว ที่จะคิดยุ่งเกี่ยวกับหญิงชาววังก็คงไม่ได้

การที่ต้องมีขันทีก็เพราะว่า งานในวังบางงานต้องใช้แรงของผู้ชายมาทำ ครั้นจะใช้ผู้ชายทั้งแท่งมาทำก็จะสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเกิดจิตปฏิพัทธ์แบบชายหญิงขึ้นได้ โดยเฉพาะกับนางสนมที่มีอยู่นับพันองค์ และถือเป็นสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ

หลายคนอาจสงสัยว่า หากมีเรื่องเช่นนี้จริง หญิง (หรือชาย) เหล่านี้ไม่กลัวอาญาหรือไร เพราะนั่นจะเท่ากับต้องโทษประหารชีวิต เกี่ยวกับเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจฝ่ายหญิงอย่างมาก ด้วยว่าเมื่อเข้าวังมาแล้วต่างก็หวังที่จะได้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิ จะก็ใช่ว่าทุกคนจะสมหวังเสมอไป

 บางคนอยู่จนแก่เฒ่าแม้แต่พระสุรเสียงของจักรพรรดิก็ไม่เคยได้ยิน หญิงชาววังเหล่านี้จึงมีชีวิตที่โดดเดี่ยวและว้าเหว่ ดังนั้น หากมีชายอยู่วังต้องห้ามแล้ว โอกาสที่จะเกิดจิตปฏิพัทธ์กับชายก็ย่อมเกิดได้เสมอ ถึงตอนนั้นอาญาแผ่นดินจะหนักเบาแค่ไหนก็อาจไม่ใช่ปัญหาแล้ว 

ความรักต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่า

ส่วนขันทีก็คล้ายกับหญิงชาววัง นั่นคือ หลังจากที่เข้าวังมาแล้วก็จะถูกตัดขาดกับทางบ้าน ห้ามมิให้ติดต่อกันอีก ขันทีเหล่านี้หากไม่ตายเสียก่อนก็จะอยู่จนแก่เฒ่า ถึงตอนนั้นชีวิตก็เหี่ยวเฉาโดดเดี่ยวไม่ต่างกับหญิงชาววัง จะกลับบ้านเกิดก็ไม่ได้เช่นกัน

แต่ถ้ามีการผลัดแผ่นดินมีจักรพรรดิองค์ใหม่มาแทนที่องค์เก่า หากโชคดีหญิงชาววังที่สูงวัยก็อาจได้รับอิสรภาพ ด้วยจักรพรรดิองค์ใหม่อนุญาตให้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดได้ เพราะในอีกทางหนึ่งจักรพรรดิเองก็ต้องการที่จะผลัดเปลี่ยนหญิงชาววังใหม่ด้วย

ส่วนขันทีนั้นโอกาสน้อยกว่าหญิงชาววัง โดยมากแล้วมักจะอยู่จนแก่เฒ่าและตายไปขณะอยู่ในวัง มีน้อยคนที่จะได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตน และขันทีที่มีโอกาสเช่นนั้นมักจะเป็นขันทีที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตบางคนในบางสมัยเท่านั้น

 ทั้งขันทีและหญิงชาววังแม้จะขึ้นชื่อว่าได้อยู่ในวัง ที่ดูเหมือนว่าจะดี แต่จริงๆ แล้วจะดีก็แต่เพียงเรื่องที่อยู่ที่กินเท่านั้น ส่วนชีวิตจิตใจหรืออารมณ์ความรู้สึกไม่ได้ดีจริง เพราะต่างต้องใช้ชีวิตบั้นปลายที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา ไม่ต่างกับหยกและนาฬิกาที่อยู่นิ่งไม่ไหวติงในอาคารที่ผมกล่าวถึงตอนต้น

เวลาตายก็มีเพียงเพื่อนขันทีและหญิงชาววังด้วยกันเท่านั้นที่อยู่ดูใจ 





กำลังโหลดความคิดเห็น