“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ความช่างสงสัยของ “ฮูม” ที่ “คานท์” จะช่วยตอบนั้น..ได้ซ่อนอยู่ในคำคมของ “เดวิด ฮูม” นั่นเอง!
“เดวิด ฮูม” ผู้เชื่อในประสบการณ์เช่นเดียวกับ“ฮ็อบส์” และ “ล็อก” ที่เชื่อว่า จิตของมนุษย์ทำด้วยความขัดแย้งที่ประนีประนอมกันได้!
คำพูดดังกล่าวชวนคิดมิใช่น้อย! งั้น.. เรามาตามดู “คำคมฮูม” กันเลย..
“ที่ซึ่งความทะเยอทะยานเข้ามาปกคลุมองค์กรรวมทั้งผู้คนนั้นๆ เมื่อนั้นย่อมเกิดตัณหาแห่งอารมณ์ ที่ดึงดันและยากต่อการเยียวยาเป็นที่สุด”
อืม..จริงดัง “ฮูม” พูดนะ..ความทะเยอทะยานกับอารมณ์ดันทุรัง เป็นสิ่งยากยิ่งต่อการ “แก้ไข” หรือ “เยียวยา” หาก “องค์กร” และ “ผู้คน” เป็นเช่นนั้น..
“ฮูม” บอกต่อว่า “มีอยู่น้อยครั้งมาก ที่เสรีภาพ ไม่ว่าในรูปแบบใด จะสูญสิ้นไปหมดสิ้นในทันทีทันใด”..
อุ๊ย! ร้ายแรงปานนั้นเชียวหรือ “ฮูม”? แต่จะว่าไป..ถึงจะน้อยครั้ง แต่ก็เป็นไปได้มิใช่หรือ?
“ศิลปะอาจสร้างเสื้อผ้าที่หรูหราได้ แต่ธรรมชาติต้องสร้างมนุษย์เสียก่อน”
จริงว่ะ!..ต้องสร้างจิตใจมนุษย์ให้ถูกต้องก่อน จึงจะสร้างเสื้อผ้าหรู หรือความงามทางศิลปะอื่นๆขึ้นมาได้! “ศิลปะอมตะโลก”ทั้งปฏิมากรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม ดนตรีกรรม หัตถกรรมสารพัด ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างทั้งสิ้น!
ดังนั้น..“ความงามเป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ในใจที่กำลังมองดูสิ่งนั้นอยู่” เพราะ “ประเพณีเป็นแนวทางที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์”
อืม..ไม่ผิดแน่นอนที่ “ฮูม” คิดเช่นนั้น เพราะผู้คนในอดีตจรดวันนี้ก็คิดเช่นนั้น แต่ “ฮูม” ได้ฝากเตือนให้ผู้คนคิดมากไปกว่านั้น ในอีกหลากเรื่อง เช่นให้ตรึกตรองว่า..
“ความรักชาติและความนิยมชมชอบอย่างยิ่ง เป็นเส้นทางลัดสู่อำนาจและทรราช ส่วนการประจบสอพลอ เป็นทางลัดสู่การทรยศหักหลัง กองทหารที่เตรียมพร้อม เป็นทางลัดสู่รัฐบาลเผด็จการ และเกียรติยศของพระเจ้า เป็นเส้นทางลัดสู่ผลประโยชน์ในทางโลกสำหรับนักบวช”
จริง-ชัดเลยว่ะ! การอ้างถึง“ ความรักชาติ” ของนักการเมือง ทั้ง “เลือกตั้ง” กับ “รัฐประหาร” ที่แท้เป็นเพียงผลัดกันขึ้นครองอำนาจรัฐ เพื่อจะได้โกงชาติกันเป็นหลัก โดยชาติ-ประชาชนไม่เคยได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเลยว่ะ! “เลือกตั้ง” ไม่เคยบริสุทธิ์ยุติธรรมดังควร? ไม่เคยมี “พรรคของประชาชน” ที่แท้จริง? ไม่เคยมีการ “ปฏิรูปชาติแท้จริง” ในมิติสำคัญๆเลย? “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง ”ยังคงโกงกินเงินชาติดังเดิม? ฯลฯ
โดย“ฮูม” มีความเห็นว่า “สิ่งที่เป็นแนวทางแห่งชีวิตนั้นไม่ใช่เหตุผล..แต่คือประเพณี”!
เฮ้อ..ไหงเป็นเช่นนั้นวะ? แต่ก็เป็นไปได้นะ ที่แนวทางชีวิตไม่ใช่เหตุผล? แล้วอะไรเป็น “เหตุผล”? อะไรเป็น “ประเพณี” ล่ะ..?
“นิสัยอาจเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่ความเชื่อและการคาดหวัง แต่ไม่ใช่นำไปสู่ความรู้ หรือแม้แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย”
เฮ้อ..ตรงนี้ยิ่งงงใหญ่! “นิสัย” นำสู่ความเชื่อกับการคาดหวัง? แต่ไม่นำสู่ความรู้ความเข้าใจตามกฎหมาย? อะไรกันเนี่ย!.. นักปรัชญา “ฮูม” ทำให้งงใหญ่แล้ว?!
“คำถามเชิงเทวนิยมหรือเชิงเมตาฟิสิกส์เช่น ‘มันมีเหตุผลที่จับต้องไม่ได้ใดหรือไม่ ที่เกี่ยวข้องกับปริมาณหรือตัวเลข?’ คำตอบคือ ไม่ หรือคำถามเช่น ‘มีเหตุผลที่จับต้องได้ใดหรือไม่ เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงและการดำรงอยู่?’ คำตอบก็คือ ไม่ อีกเช่นกัน ฉะนั้น จงเผามันทิ้งเสีย เพราะไม่มีสิ่งใดให้เห็นเลย นอกจากความสงสัยที่หลอกล่อและภาพลวงตา”
อืม..ข้อความยาวยืดท่อนนี้ของ “ฮูม” ชวนให้คิดถึง “ตู่แอนด์ทักฯ” ที่แอบ “ชักใย” อยู่หลังบทบาท “นายกฯ นิด” กับ “หัวหน้าพรรคอิ๊ง” ซึ่งต้องส่งผลเอื้อกันโดยปริยาย จาก “ผลงาน” ของ “นายกฯ นิด” ซึ่งต้อง “ดี” หรือ “ดีมาก” ให้ได้ เพื่อหนุนส่งลดอุปสรรคให้ “หัวหน้าพรรคอิ๊ง” ลูกคนเล็กของ “อ้อแอนด์ทักฯ” ได้ขึ้นเป็น “นายกฯ หญิงคนที่สอง ”ของชาติไทยไงล่ะ!
“ฮูม” ยังมองไกลต่อจากอดีตถึงยุคนี้ว่า “เป้าหมายที่สำคัญของอุตสาหกรรมของมนุษยชาติทั้งมวล คือการได้มาซึ่งความสุข และเพื่อเหตุนี้ ผู้ออกกฎหมายและผู้รักชาติอย่างยิ่งยวด จึงได้สร้างงานศิลปะ วิทยาศาสตร์ กฎหมายและรูปแบบต่างๆ ทางสังคม”
ใช่เลย! มิใช่เพียงสร้างรูปแบบต่างๆให้กับสังคมเท่านั้น แต่ต้องทำมันให้ดีและดีมากด้วย เพราะเป็นทั้ง “ฮาร์ดพาวเวอร์” หรือ“พลังกระด้าง” กับ“ซอฟท์พาวเวอร์”หรือ “พลังละมุน” เลยนะ!
“ฮูม” ยังบอกความลับอีกว่า “คนฉลาดย่อมแบ่งปันความเชื่อของเขาให้แก่หลักฐาน”
แหม..ก็ “ฮูม” ต้องการทำให้มนุษย์ในสังคม “รู้รอบด้าน” และ“ฉลาดเทียมกัน” เพื่อคนชั่วจะโกหกหลอกลวงคนดีได้ยากขึ้นหรือไม่ได้เลย.. ดีเลิศใช่ไหมล่ะ? เพราะ “ฮูม” รู้ว่า “จิตของมนุษย์นั้นทำด้วยความขัดแย้งที่ประนีประนอมกัน” ใช่เลย! “หลายเรื่อง” ต้องพัฒนาแบบประนีประนอมกัน มิใช่พัฒนาด้วยการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า”! ระวังนะ..อย่าหุนหันเอาแต่ “ใจตัว” กับพวก เดี๋ยว “เข่าจะหักสะบั้น” พากันเดินขาเป๋!..
“ศีลธรรมนั้นถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อประโยชน์แห่งสาธารณะเป็นหลัก และเมื่อใดที่เกิดข้อโต้แย้งทั้งในทางปรัชญา หรือจากชีวิตประจำวันเกี่ยวกับหน้าที่(ของศีลธรรม) ข้อโต้แย้งเช่นนั้นไม่อาจถูกตัดสินเป็นอื่นไปได้ นอกจากการยืนยันถึงผลประโยชน์ของมนุษยชาติ” เห็นด้วย!.. ถ้อยคำดังกล่าวของ“ฮูม”โต้แย้งไม่ได้เลย!
“ความจริงจะปรากฎได้จากการโต้เถียงระหว่างมิตรสหาย” และ “ฮูม” เห็นว่า “การเรียนได้กลายเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย หรือเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และแยกตัวออกจากโลกและเพื่อนฝูงที่ดี”
“เมื่อดับความรู้สึกอันอบอุ่น และความนิยมชมชอบในความดีที่มีอยู่ก่อนหน้า เมื่อดับความเกลียดชังในความชั่วร้ายลง จากนั้นหากทำให้มนุษย์ไม่นำพาในความแตกต่างของมัน(ความดี-ความชั่ว)แล้ว เมื่อนั้นก็จะพบว่า ศีลธรรมไม่ใช่สิ่งที่สอดคล้องกับความจริง อีกทั้งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ละมุนละไมต่อชีวิตและพฤติกรรมของเรา”
จริงดังข้างต้นนะ..แต่ต้องทำได้ดัง “ฮูม” คาดหวัง! ถ้าทำไม่ได้ก็“ไร้ประโยชน์”!
“ฮูม” ยังบอกให้ไตร่ตรองด้วยว่า “การยื่นเงินให้แก่ขอทานเป็นสิ่งที่ย่อมได้รับความชื่นชมโดยธรรมชาติ เพราะมันช่วยบรรเทาทุกข์และความยากจน แต่เมื่อมองว่า นี่คือการสนับสนุนให้ผู้นั้นเกียจคร้านยิ่งขึ้นไปอีก เราถือว่าการทำบุญประเภทนี้ เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความอ่อนแอมากกว่าความดี”
ทำให้นึกถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่พระองค์ทรงสอนสั่งเสมอว่า ต้องแก้ต้นเหตุปัญหา “ความยากจน” ของประชาชน โดย “ให้เบ็ด” กับ “สอนให้รู้” ถึง “แหล่งปลา” และเชี่ยวชาญในการ “ตกปลา” ประชาชนจึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่อดอยาก รวมทั้ง “มีรายได้” เพิ่มขึ้นด้วย..จริงไหม?
แต่ “ฮูม” รู้ไหมว่า “นายกฯ” กับ “ทุกรัฐบาลไทย” แก้ไขปัญหา “ความยากจน” ด้วยวิธี “แจกปลา” หรือ “แจกเงิน” ลูกเดียวว่ะ?
ส่วนตรงนี้.. “ฮูม” พูดชวนคิดจริงๆ “จะมีนักวิชาการคนใดกล้าพูดหรือไม่ว่า สิ่งใดที่ดีกว่าประโยชน์ที่มอบให้แก่สังคม? และไม่ใช่นักบวชหรือคนช่างสงสัยหรือที่เข้ามายุ่ง เมื่อเราเห็นว่า คำสอนของพวกเขา เป็นสิ่งไร้ประโยชน์และทำลายมนุษยชาติ”?!
เรื่อง “ใครทำลายมนุษยชาติ” นั้น ต้องกล้าพูด-กล้าสู้อย่างจริงจังใช่ไหม? สังคมโลกมิใช่ต้องการแค่ “คนรู้” เท่านั้น แต่ต้องการ “คนสู้” กับ “คนร่วมสู้”ด้วย..สังคมจึงจะ “ดีขึ้น” และมี “ศานติสุข”..จริงไหม?
“นครเยรูซาเล็ม” เป็นศูนย์รวมสำคัญยิ่งของศาสนา “ยูดาห์-คริสต์-อิสลาม” ซึ่ง “ศาสดาทุกศาสนา” ล้วนสอนสั่ง “ผู้มีศรัทธา” ให้มี “ดวงจิตรักมนุษยชาติ-รักความยุติธรรม” ให้ “รักเอื้ออาทรต่อมวลมนุษย์” มิให้ “มนุษย์รังแกกันและกัน” มนุษย์แข็งแกร่งกว่าต้องไม่รุกรานดินแดนผู้อ่อนแอกว่า ฯลฯ
UN จึงกำหนดให้ “นครเยรูซาเล็ม” เป็นเขตอิสระ ห้ามฝ่ายใดยึดครอง เพื่อผู้ศรัทธาทุกศาสนาจะได้ประกอบศาสนกิจได้อย่างอิสระ ไร้ภยันอันตรายใดๆ ดินแดน “สามศาสนา” แห่งนี้ ต้องเปี่ยมด้วย “สันติสุข” ฯลฯ
“ผู้นำทุกฝ่าย” พึงปฏิบัติตามอย่างจริงจัง! แต่ “ผู้นำชาติ” ที่ “มะกัน” กับพวกหนุนหลัง ได้ยึดครอง “แดนธรรมสามศาสนา” แปรเปลี่ยนเป็น “แดนบาปแห่งไฟสงคราม” ด้วยการ “สังหารผู้คน” อย่างหฤโหด ไม่เว้นแม้ “เด็ก-ผู้หญิง” ล้มตายเหลือคณานับ ป่าเถื่อนกักขฬะยิ่งกว่า “สัตว์เดรัจฉาน”!
เฮ้อ..“มนุษย์ชั่ว” ไม่เกรงกลัวต่อ “บาปกรรม” ผลาญ “ชีวิตมนุษย์” ณ “แผ่นดินธรรม” แห่งนี้..!!!