xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (8): จอห์น สจ๊วต มิลล์ – อำนาจกดทับหรือสรรสร้างเสรีภาพ / Phichai Ratnatilaka na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จอห์น สจ๊วต มิลล์
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 จอห์น สจ๊วต มิลล์ นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้มีชื่อเสียงแห่งศตวรรษที่ 19 เสนอแนวคิดที่ครอบคลุมเกี่ยวกับอำนาจที่ก้าวข้ามความเข้าใจแบบดั้งเดิมและเจาะลึกธรรมชาติที่มีหลายแง่มุม มิลล์ได้นำเสนอการวิเคราะห์อำนาจอย่างละเอียดผ่านผลงานอันทรงอิทธิพลของเขา "ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty) โดยเน้นถึงศักยภาพของอำนาจต่อการสรรสร้างความก้าวหน้าทางสังคมและการกดขี่กดทับเสรีภาพส่วนบุคคล การวิเคราะห์อำนาจของเขาในฐานะพลังพลวัตที่มีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นยังคงมีบทบาทสำคัญในการอภิปรายร่วมสมัยเกี่ยวกับประเด็นอำนาจ เสรีภาพ และความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างระเบียบสังคมและเสรีภาพส่วนบุคคล


หลักคิดพื้นฐานข้อหนึ่งของมิลล์ภายใต้แนวคิดเรื่องอำนาจของเขาคือ การยอมรับการมีอยู่ของอำนาจที่กระจายในระบบสังคมและการเมือง เขาตระหนักว่าอำนาจมีบทบาทในขอบเขตที่กว้างไกลกว่าการใช้อำนาจโดยรัฐบาลหรือสถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง อำนาจได้ผนึกรวมเครือข่ายที่ซับซ้อนของอิทธิพลทางสังคมที่หล่อหลอมความคิด พฤติกรรม และความเชื่อของแต่ละบุคคล มิลล์ระบุอย่างชัดเจนว่า อำนาจไม่เพียงดำรงอยู่ในสถาบันที่เป็นทางการ เช่น รัฐบาลหรือระบบกฎหมาย เท่านั้น หากแต่ยังดำรงอยู่ในขนบธรรมเนียมทางสังคม ความคิดเห็นของประชาชน และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมด้วย ความเข้าใจเรื่องอำนาจที่กว้างขึ้นนี้ทำให้ มิลล์ สามารถอธิบายให้เห็นถึงผลกระทบที่ลึกซึ้งของอำนาจต่อบุคคลและสังคมโดยรวมได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

มิลล์ ยังมองเห็นถึงศักยภาพของอำนาจที่จะใช้ได้ทั้งในทางดีหรือทางชั่วร้าย ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและผลสืบเนื่องของการใช้อำนาจ ในด้านหนึ่ง มิลล์เห็นว่า เป้าหมายหลักของการใช้อำนาจควรเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าของบุคคลและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาบริเวณของความรู้ การพัฒนาตนเอง และความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม มิลล์ถือว่าอำนาจเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการปรับปรุงสภาพของมนุษย์และอารยธรรมที่ก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีถึงความเสี่ยงโดยธรรมชาติที่เกิดจากการใช้อำนาจ เนื่องจากสามารถนำมาใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย ซึ่งนำไปสู่การกดขี่ การตรวจสอบและควบคุมข่าวสาร และการปราบปรามเสียงที่ไม่เห็นด้วย ดังนั้น มิลล์ จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและความรับผิดชอบของการใช้อำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้การใช้อำนาจเสื่อมทรามลงไปเป็นการกดขี่

 ในความคิดของ มิลล์ อำนาจไม่ควรตกอยู่ในมือของผู้บริหารปกครองเพียงไม่กี่คน เพราะจะนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลและขัดขวางความก้าวหน้าทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพของปัจเจกบุคคล และความจำเป็นในการจำกัดการใช้อำนาจผ่านหลักการประชาธิปไตยและการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล มิลล์ เสนอหลักการไว้อย่างชัดเจนว่า สังคมที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพจะต้องเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถแสดงความคิดและการกระทำที่หลากหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง สังคมควรเข้าแทรกแซงการกระทำของปัจเจกบุคคลเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อป้องกันอันตรายและปกป้องผู้ที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ หลักการนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาล และป้องกันไม่ให้ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลที่จำเป็นสำหรับความก้าวหน้าทางสังคม

มากไปกว่านั้น แนวคิดเรื่องอำนาจของ มิลล์ ยังรวมแนวคิดเรื่องเสรีภาพเชิงบวก (positive freedom) เข้ามาด้วย นั่นคือ การใช้อำนาจรัฐไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องบุคคลให้ปลอดภัยจากภยันตรายหรือข้อจำกัดเชิงกายภาพและเชิงสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่มาจำกัดการใช้เสรีภาพของปัจเจกบุคคลเท่านั้น หากแต่รัฐยังต้องสรรสร้างเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการตระหนักรู้ในตนเองและการพัฒนาส่วนบุคคลด้วย เพื่อให้บุคคลสามารถใช้เสรีภาพได้อย่างเต็มศักยภาพ มิลล์เชื่อว่า สังคมมีหน้าที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของสมาชิกโดยทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการศึกษา โอกาสทางสังคม และทรัพยากรที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา

ความเข้าใจเรื่องอำนาจในมุมมองของมิลล์ ได้ขยายขอบเขตของแนวคิดการใช้อำนาจแบบดั้งเดิมของบรรดานักเสรีนิยมก่อนหน้าเขา ที่มักมุ่งเน้นในเรื่องเสรีภาพเชิงลบ (negative freedom) หรือ การจำกัดอำนาจรัฐในการเข้าไปแทรกแซงเสรีภาพของปัจเจกบุคคล นักเสรีนิยมดั้งเดิมเชื่อว่า รัฐมีแนวโน้มจะใช้อำนาจในการควบคุมประชาชน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากรัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจหรือการกระทำใด ๆ ของประชาชน นอกจากการรักษาความปลอดภัยและระเบียบสังคม แต่มิลล์ ขยายมุมมองเกี่ยวกับการใช้อำนาจของรัฐว่า รัฐสามารถใช้อำนาจในเชิงบวก เพื่อขยายเสรีภาพของปัจเจกบุคคลได้ นั่นคือ อำนาจสามารถเป็นวิธีการในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคคลและส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมได้ มิใช่เป็นเพียงวิธีการในการครอบงำหรือการบีบบังคับเท่านั้น จะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่องอำนาจของมิลล์แตกต่างจากนักปรัชญาคนอื่น ๆในยุคนั้น ซึ่งมักให้ความสำคัญกับการใช้อำนาจเพื่อส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของรัฐมากกว่าการใช้อำนาจเพื่อส่งเสริมสิทธิส่วนบุคคล แต่มิลล์กลับเห็นว่า การใช้อำนาจต้องให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล และการปกป้องเสรีภาพของปัจเจกบุคคล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคคลและความก้าวหน้าทางสังคม

 ในแง่รูปแบบของอำนาจ มิลล์ได้จำแนกอำนาจออกเป็น 2 รูปแบบหลักคือ อำนาจทางกฎหมายและอำนาจทางสังคม อำนาจทางกฎหมายเกิดขึ้นจากอำนาจที่ได้รับตามข้อบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับที่เป็นทางการ ในขณะที่อำนาจทางสังคมเกิดขึ้นจากอิทธิพลที่บุคคลมีต่อกันภายในสังคม

แม้มิลล์ตระหนักถึงความจำเป็นในการมีอำนาจในการรักษาระเบียบสังคม แต่เขาเห็นว่าอำนาจทางกฎหมายอาจเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพส่วนบุคคลได้ เขาจึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจำกัดการใช้อำนาจรัฐ โดยเสนอ “หลักการของการได้รับอันตราย” ( the principle of harm) ซึ่งระบุว่า การใช้อำนาจทางกฎหมายที่ถูกต้องชอบธรรมมีเพียงอย่างเดียวคือ การป้องกันอันตรายต่อประชาชน หลักการนี้ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจทางกฎหมายในทางที่ผิดที่อาจเกิดขึ้น และรับประกันว่าการใช้อำนาจทางกฎหมายจะยังคงอยู่ในขอบเขตของการปกป้องบุคคลจากอันตราย แทนที่จะจำกัดความเป็นอิสระของพวกเขา

เพื่อปกป้องบุคคลอย่างเต็มที่จากการปกครองแบบเผด็จการทุกรูปแบบ มิลล์เสนอให้มีการสร้างมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง รวมถึงการสร้างรัฐธรรมนูญที่จำกัดอำนาจของรัฐ เขาชี้ว่า สังคมที่ปกครองโดยอำนาจเบ็ดเสร็จย่อมจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคล และปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อปูทางให้ระบบเผด็จการมั่นคงแข็งแกร่ง สังคมสามารถสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลที่ป้องกันการรวมศูนย์อำนาจและส่งเสริมเสรีภาพส่วนบุคคล ด้วยการสร้างข้อบัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ มิลล์ ยังสนับสนุนให้มีระบบตุลาการที่เป็นอิสระ ซึ่งสามารถรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลยังคงมีความรับผิดชอบและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน

ด้านอำนาจทางสังคม มิลล์ตระหนักดีว่า อำนาจทางสังคมสามารถใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลได้ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทาง “เผด็จการของความคิดเห็นสาธารณะ” ใน  “ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ” เขาระบุว่าสังคมมีแนวโน้มที่จะระงับความคิดและความเชื่อที่สังคมเห็นว่าน่ารังเกียจ หรือขัดต่อบรรทัดฐานที่มีอยู่ไม่ให้แสดงออกมา เมื่อสังคมยัดเยียดความเชื่อและค่านิยมให้กับปัจเจกบุคคล ก็จะจำกัดความเป็นอิสระ ขัดขวางความหลากหลายของความคิด ขัดขวางความก้าวหน้าของความรู้ และขัดขวางเสรีภาพของพวกเขา การกดขี่ด้วยอำนาจทางสังคมหรือทรราชของเสียงส่วนใหญ่ จึงไม่เพียงจำกัดเสรีภาพในการพูดเท่านั้น แต่ยังจำกัดการพัฒนาความเป็นปัจเจกบุคคลด้วย และเป็นอันตรายต่อการพัฒนามนุษย์และความเจริญรุ่งเรืองของสังคม ด้วยเหตุนี้ ด้วยเหตุนี้ มิลล์จึงมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้มีการคุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคล รวมถึงเสรีภาพในการพูดและความคิด เพื่อป้องกันการใช้อำนาจทางสังคมอย่างกดขี่

นอกจากนี้ มิลล์ เห็นว่าการศึกษามีบทบาทสำคัญในการต่อต้านระบบเผด็จการทางความคิด เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของพลเมืองที่ได้รับการศึกษาและมีความตื่นรู้ทางการเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้คนส่วนใหญ่ยัดเยียดเจตจำนงของตนต่อชนกลุ่มน้อย การส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและระบบการศึกษาที่แข็งแกร่งจะทำให้บุคคลมีความพร้อมมากขึ้นในการปกป้องเสรีภาพของตนเอง และตระหนักถึงอันตรายของอุดมการณ์ที่ครอบงำและกดขี่ การศึกษาไม่เพียงแต่ช่วยให้บุคคลสามารถท้าทายความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจ ความอดทนอดกลั้น และการเคารพในมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญในการต่อสู้กับการครอบงำและกดขี่ของความคิดและความเชื่อดั้งเดิม

 กล่าวโดยสรุป มิลล์มองอำนาจในสองแง่มุม นั่นคือ อำนาจในทางที่กดขี่และกดทับเสรีภาพและความก้าวหน้าของปัจเจกบุคคลและสังคม กับอำนาจในทางสรรสร้างและพัฒนาศักยภาพของปัจเจกบุคคลและความเจริญก้าวหน้าแก่สังคม และในแง่รูปแบบของอำนาจมิลล์ได้จำแนกอำนาจเป็นสองประเภทหลักคือ อำนาจทางกฎหมาย และอำนาจทางสังคม และเตือนให้ระวังการใช้อำนาจในทางที่ผิดของอำนาจทั้งสองประเภท ที่อาจกลายเป็นอำนาจแบบทรราชที่ปราบปรามและกดขี่บุคคล ในการนี้เขาจึงเสนอแนวทางในการป้องกันและตรวจสอบอำนาจทั้งสองประเภทด้วยการสร้างรัฐธรรมที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล มีองค์กรตุลาการที่เป็นอิสระเพื่อถ่วงดุลการใช้อำนาจ และการสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ด้วยการศึกษา


กำลังโหลดความคิดเห็น