ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไล่เรียงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ “3 คนพ่อแม่ลูก” แห่ง “เพื่อไทย” ในวันนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่า นับวันอำนาจและบารมีของพวกเขานั้น “มากล้น” จริงๆ เพราะถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทั้ง 3 คนอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะ “ผู้เป็นลูกสาว” ที่กำลัง “ฝึกงาน” ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย
เริ่มจากภาพ “พ่อ” นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรที่หนีคดีออกจากประเทศไทยไปหลายสิบปี ก่อนตัดสินใจเดินทางกลับมาเข้าคุก แต่ก็ไม่เคยได้ติดคุกจริงเลยแม้แต่เพียงวินาทีเดียว เพราะระเห็จออกมาพำนักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันแรก โดยที่ไม่ได้เคยมีคำอธิบายชัดๆ จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า “นักโทษชายผู้นี้” เจ็บป่วยหนักหนาสาหัสขนาดไหนถึงได้สามารถนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจได้อย่างยาวนานโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเข้าคุก
กลายเป็น “นายใหญ่ชั้น 14” ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีอำนาจสั่งการในพรรคเพื่อไทยและสามารถชี้นำการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลได้
ตามต่อด้วยด้วยภาพ “แม่” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่ควงคู่ “ลูกอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” ไปร่วมกิจกรรมแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 9 เฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณท้องสนามหลวง โดยมี “คนการเมือง” ต่างไปร่วมงานเพียบ ทั้งของพรรคเพื่อไทย หรือของพรคคร่วมรัฐบาล กลายเป็นงานใหญ่มีรัฐมนตรีมาร่วมเกือบครึ่ง ครม. มากกว่ารัฐมนตรีที่ติดตามคณะ “นายกฯ เศรษฐา” ไปลงพื้นที่อีสานในวันเดียวกันเสียอีก
ที่เด็ดไม่แพ้กันอยู่ตรงที่การออกงานของ “นายหญิงอ้อ” ยังมีไฮไลท์สำคัญกับชอตที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าไปทักทาย “คุณหญิงพจมาน” ด้วยท่าทีนอบน้อมถึงขนาดคุกเข่าไหว้ จนสังคมร้องทักว่า “อะไรมันจะขนาดนั้น” เพราะพินอบพิเทาเสียยิ่งกว่าเจอ “นายกฯ” หรือเจอ “พี่ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสียด้วยซ้ำไป
และปิดท้ายกันด้วยภาพ “ลูก” แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน จับมือของอุ๊งอิ๊งค์มาจุมพิตเพื่อแสดงความยินดี ซึ่งตามธรรมเนียมของฝรั่งเป็นการแสดงความศิโรราบต่อการขึ้นสู่อำนาจ ใครที่เคยชมภาพยนตร์เรื่องเดอะก็อดฟาเธอร์ ก็จะเห็นภาพนี้ในการสยบยอมต่อ “ดอนคาลิโอเน” แถมก่อนหน้านี้ยังประกาศเรื่อง “นายกฯ 2 คน” ออกจากปากตัวเองอีกต่างหาก
อย่างไรก็ดี สำหรับ “อุ๊งอิ๊งค์” ต้องบอกว่า เอาเข้าจริง การขึ้นสู่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ เป็นเพียงแค่ “พิธีกรรม” ในการเข้ามามีอำนาจในพรรคอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพราะรู้กันว่าที่ผ่านมา แม้ “หัวหน้าอิ๊งค์” จะไม่มีตำแหน่งบริหารในพรรค แต่ก็เป็นระดับ “ศูนย์รวมจิตใจ” ที่เหนือกว่าการเป็นหัวหน้าพรรคเสียอีก
อีกทั้งครั้งที่พรรคเปิดตำแหน่ง “พิเศษ” อย่าง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ขึ้นมาให้ “แพทองธาร” ก็เคยถูกพูดถึงไปแล้วว่า เป็นความจงใจของ “บ้านชินวัตร” ที่ต้องการเน้นคำว่า “ครอบครัว” ให้อยู่เหนือ “พรรค” ซึ่งถูกมองว่า เป็นเพียงบริษัทจำกัดใน “เครือชินวัตร” เท่านั้นอยู่แล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า “อุ๊งอิ๊งค์” คือบุตรสาวคนเล็กของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายหญิงเพื่อไทย” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ดังนั้นเมื่อทั้ง “นายใหญ่-นายหญิง” ส่ง “ลูกเถ้าแก่” เข้ามาร่วมงานกับพรรค ก็ชัดเจนตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
การที่ขึ้นสู่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัวครั้งนี้ก็ไม่พ้น มีการกดปุ่มมาจาก “ชั้น 14 รพ.ตำรวจ” อันเป็น “ที่พำนัก” ของ “ทักษิณ” ตั้งแต่กลับประเทศไทยมาเข้ากระบวนการยุติธรรม เมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 และถูกตัดสินให้จำคุกรวม 8 ปี จาก 3 คดี ก่อนได้รับพระราชทาน “อภัยลดโทษ” ให้เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี
และคงจะได้ “ไฟเขียว” จาก “แม่อ้อ-คุณหญิงพจมาน” เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพราะภายหลังจากที่ “ลูกอิ๊งค์” ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรค อีเวนท์แรกที่ไปออกก็เป็นการควงคู่ “แม่-ลูก” ร่วมกิจกรรมแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 9 เฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อช่วงเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 29 ต.ค.66 ที่ผ่านมา
คล้ายกับจงใจฉายภาพให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย และอาจจะรวมไปถึงรัฐบาล อยู่ในกำมือของ “พ่อ-แม่-ลูก” ครอบครัวชินวัตรโดยแท้
ในมุมของ “ติ่งเพื่อไทย-คนเสื้อแดง” ก็อาจมองว่าเป็นเพียงการกระชับอำนาจของ “นายใหญ่” เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นในพรรค และในรัฐบาล รวมทั้งผลักดัน “เลือดใหม่” ขึ้นมาสู้กระแสคนรุ่นใหม่กับ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล
แต่ในมุมของคนที่ไม่ได้นิยมชมชอบด้วย ก็เป็นการฉายให้เห็นว่า ความน่ากลัวของ “ระบอบทักษิณ” หรือ “บริษัทชินวัตร” กำลังกลับมาอีกครั้งแล้ว
โดยต้องไม่ลืมว่า การที่ “ทักษิณ” ในฐานะ “นักโทษชายเด็ดขาด” ใช้ “อภิสิทธิ์” เข้ารับการรักษาอยู่ที่ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ โดยที่ไม่เคยถูกคุมขังในเรือนจำแม้แต่วันเดียว จนถูกขนานนามว่า “เทวดาชั้น 14” นั้น ยังเป็นเรื่องที่สังคมแคลงใจอยู่มาก
ไม่เพียงแต่รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน จะไม่พยายามทำให้สังคมหายแคลงใจเท่านั้น ซ้ำร้ายทาง กรมราชทัณฑ์ ยังขยายเวลาการรักษาออกไปอย่างไม่มีกำหนด
จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปว่า การที่ “ลูกอิ๊งค์” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ยังไม่รับตำแหน่งนายกฯในครั้งนี้ ก็เพราะไม่อยากให้รับ “เผือกร้อน” เรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัวเกินไป
ตลอดจนการที่พรรคเพื่อไทยแบ่งโควตา รมว.ยุติธรรม ซึ่งกำกับดูแล กรมราชทัณฑ์ ให้กับ “เสี่ยวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากพรรคประชาชาติ ก็เป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้คนของพรรคเพื่อไทยต้องมารับแรงเสียดทานจากสังคม
และแม้จะไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทย แต่ “ทวี” ก็ถือเป็นมือทำงานคนสำคัญของ “ระบอบทักษิณ” มาโดยตลอด อีกทั้งยังว่ากันว่ามีสถานะเป็นเด็กในบ้านจันทร์ส่องหล้า อาณาจักรของ “ทักษิณ-พจมาน” อีกด้วย
ไม่เพียงแต่ข้อกล่าวหาเป็น “อภิสิทธิ์ชน-เลือกปฏิบัติ” เท่านั้น หนักข้อไปอีกขั้นเพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ทักษิณ” ยังมีบทบาทในการครอบงำพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาล็อกบี้ให้เลือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯ ทั้งกับพรรคร่วมรัฐบาล หรือกลุ่มอำนาจเก่าที่คุมเสียง สว.อยู่
หรือการวางตัวรัฐมนตรี รวมไปถึงข้าราชการการเมืองของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งยังเป็นผู้วางเงื่อนไขการเข้าสู่ตำแหน่งของบุคคลจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
ล่าสุดกรณี “แรมโบ้” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งที่กำลังจะได้เลื่อนขึ้นเป็น สส.บัญชีรายชื่อ แทน สุพัฒนพงศ์ พันธุ์มีเชาว์ ที่ลาออกไป
ก็มีกระแสข่าวว่า เหตุที่ “แรมโบ้” ต้องยอมลาออกเพื่อให้พ้นสถานะผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ก็เพราะเป็น “คำขาด” จาก “ชั้น 14” ที่ว่า ห้ามให้ “แรมโบ้” มีตำแหน่งในรัฐบาล และไม่ต้องให้ได้เข้าสภาฯ ด้วย
เนื่องจากแค้นฝังหุ่น “แรมโบ้” ที่พูดถึง “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย ในทางเสียหายโดยตลอดทั้งออกหน้าสื่อ หรือยามไปหาเสียง สมัยที่ “เสี่ยโบ้” ยังปวารณาตัวเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่
หรือกรณีของ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ประกาศตัดขาดกับ “ทักษิณ” โดยระบุทำนองว่า มีคนมาเล่าให้ฟังว่า เหตุที่ “เฉลิม” รวมไปถึง “ลูกหนุ่ม” วัน อยู่บำรุง อดีต สส.กทม. ไม่ได้รับตำแหน่งในรัฐบาลนั้น เพราะ “ทักษิณ” ลั่นวาจาไว้ว่า “กวนโอ๊ยทั้งพ่อทั้งลูก เลยไม่ให้ตำแหน่ง”
อันเป็นประจักษ์พยานที่เพิ่มน้ำหนักว่า “ทักษิณ” ยังครอบงำพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล โดยการกดปุ่มมาจากชั้น 14 อยู่
น่าแปลกไม่น้อยว่า การที่ “ทักษิณ” ทำตัวเป็น “นักโทษเทวดา” ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายค้านสามารถนำมาโจมตีรัฐบาลได้ แต่กลายเป็นว่า พรรคก้าวไกล แกนนำฝ่ายค้าน ที่จิกกัดวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแทบทุกเรื่อง กลับไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงเลย ทั้งที่ข้อกล่าวหาอภิสิทธิ์ชน-เลือกปฏิบัติ สวนทางกับจุดยืน “คนเท่ากัน” ของ “ค่ายสีส้ม” แทนๆ
จนถูกขุดย้อนไปช่วงที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วน “ทักษิณ” ยังหลบหนีคดีไม่ได้กลับมาประเทศไทย และไปฉลองวันเกิดอยู่มี่เกาะฮ่องกง พร้อมนัดแขกวีไอพีจากประเทศไทยเพื่อเจรจาความเมืองหลายคณะ ช่วงปลายเดือน ก.ค.66 ที่ผ่านมา
ครั้งนั้น ก็มีกระแสข่าวว่า หนึ่งในแขกวีไอพีที่ไปพบ “นายใหญ่เพื่อไทย” มีชื่อ “ตี๋เอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล อยู่ด้วย จนอาจมี “ดีลลับ” ระหว่างกันในเรื่องนี้หรือไม่
ขณะที่ “คุณหญิงอ้อ” เองก็ไม่ธรรมดาในยุทธจักรการเมืองที่รู้กันดีว่านี่คือ “นางพญา” ตัวจริง
โดยปกติแล้ว “คุณหญิงอ้อ” มักจะเลือก “โลว์โปรไฟล์” ไม่ชื่นชอบการออกสื่อเท่าที่ควร ตั้งแต่สมัยเป็น “ภริยานายกฯ” ยิ่งหลังถูกยึดอำนาจปี 2549 กว่า 20 ปีมานี้ ออกสื่อแทบนับครั้งได้ แต่การออกสื่อแต่ละหนของ “นายหญิงใหญ่” ก็มักถูกถอดรหัสว่ามี “นัยสำคัญ” บางประการอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ ควงคู่ “ลูกอิ๊งค์” ไปร่วมกิจกรรมแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 9 เฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นงานของมูลนิธิไทยคม ซึ่งตัว “พจมาน” มีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการมูลนิธิ ที่มี “เสี่ยส่วน” บรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชาย เป็นประธานฯ ขณะที่ “แพทองธาร” รวมไปถึงสามี และพี่น้องคนอื่น ก็มีชื่อเป็นกรรมการมูลนิธิไทยคม
ถึงแม้งานมูลนิธิที่จัดต่อเนื่องมาทุกปี แต่ความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลชินวัตร หนีไม่พ้นที่จะถูกถอดนัยว่า เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะปีนี้ประจวบเหมาะที่ “ลูกอิ๊งค์” เพิ่งขึ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย การที่ “แม่อ้อ-ลูกอิ๊งค์” ออกงานคู่กัน จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ และบรรยากาศผู้ร่วมงานก็คึกคักเป็นพิเศษเช่นกัน เมื่อ “คนการเมือง” ต่างไปร่วมงานเพียบ ทั้งของพรรคเพื่อไทย อาทิ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข, “มาดามปุ๋ง” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา, “มาดามแจ๋น” พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หรือของพรคคร่วมรัฐบาลก็มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, “ครูอุ้ม” พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และ “มาดามผึ้ง” ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลายเป็นงานใหญ่มีรัฐมนตรีมาร่วมเกือบครึ่ง ครม. มากกว่ารัฐมนตรีที่ติดตามคณะ “นายกฯเศรษฐา” ไปลงพื้นที่อีสานในวันเดียวกันเสียอีก
การออกงานของ “นายหญิงอ้อ” ยังมีไฮไลท์สำคัญ กับช้อตที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ที่ไปร่วมงานด้วย เข้าไปทักทาย “คุณหญิงพจมาน” ด้วยการคุกเข่าไหว้ ก่อนที่ “รองฯโจ๊ก” จะลุกขึ้นโค้งคำนับเดินออกมา มองผิวเผินก็เป็นปกติที่ผู้น้อยพบผู้ใหญ่ หรือ “ข้าราชการ” ที่รู้ว่าต้องเข้าหาใครที่มีอำนาจ แต่ที่พิเศษใส่ไข่เพราะเป็น “บิ๊กโจ๊ก” ที่ขึ้นชื่อลือชาว่า “อยู่เป็น”
เป็น “รองฯโจ๊ก” ที่ว่ากันว่าวาดหวังจะขึ้นตำแหน่ง “เบอร์ 1 กรมปทุมวัน” ตั้งแต่รอบนี้ แต่สู้กำลังภายในไม่ไหวต้องหมอบไปให้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ไปก่อน 1 ปี คอยรอเสียบเก้าอี้ต่อรอบหน้า
เอาจริงหาก “รองฯโจ๊ก” ไม่มีพฤติกรรมออฟไซต์นอกลู่นอกทางเหมือนที่ผ่านมา เส้นทางขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในปี 2567 ค่อนข้างสดใส เพราะในแผงแคนดิเดตถือว่า มีอาวุโสสูงสุด เหนือกว่า “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. คู่ชิงในปีหน้า ที่จะเกษียณอายุราชการ ปี 2569
แต่ “บิ๊กโจ๊ก” ก็รู้ดีว่า การขึ้นเก้าอี้ ผบ.ตร.นั้น ความอาวุโสอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องอาศัยแรงหนุนทางการเมืองด้วย จึงต้องวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจเป็นธรรมดา ซึ่งช่วงรัฐบาลชุดนี้นอกเหนือจาก “ทักษิณ” แล้ว ก็ไม่พ้น “คุณหญิงพจมาน” ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ส่วนตัว “รองฯ โจ๊ก” ก็เคยได้ชื่อเป็นเด็กในบ้านจันทร์ส่องหล้ามาก่อน อีกทั้งยังมีสตอรี่เชื่อมโยงกับ “หญิงอ้อ” ตั้งแต่สมัย พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ บิดาของคุณหญิงพจมาน ที่มีพลขับคนสนิทชื่อ “ดาบไสว” ซึ่งก็คือ ด.ต.ไสว หักพาล อดีตผู้บังคับหมู่งานพลาธิการ ตำรวจภูธรภาค 9 บิดาที่เพิ่งล่วงลับของ “บิ๊ก โจ๊ก” นั่นเอง
ที่สำคัญ “รองฯโจ๊ก” ยังมีจุดขายสำคัญที่เหลืออายุราชการยาวถึงปี 2574 นอกจากจะครอบคลุมช่วงรัฐบาลเพื่อไทยงวดแล้ว ยังต่อเนื่องไปถึงรัฐบาลหน้าได้อีกด้วย การจะขอกลับไปเป็นเด็กในบ้านจันทร์ส่องหล้าอีกครั้งก็ไม่แปลก
กลายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า “คุณหญิงพจมาน” ยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูงไม่ต่างจากสมัยที่ “ทักษิณ” เรืองอำนาจ
ในส่วนของ “ลูกอิ๊งค์” ด้วยวัย 37 ปี พรรษาทางการเมือง-การทำงานยังไม่แก่กล้า แต่ก็พกดีกรี “ลูกทักษิณ” ที่ใครต่อใครก็ต้องยำเกรง โดยมี “พ่อ-แม่” คอยประคับประคอง และอีกไม่นาน “พ่อษิณ” ก็ได้ออกเรือนจำ การบริหารจัดการหลังม่าน ก็คงทำได้ถนัดมือมากกว่าที่เป็นอยู่
ความจริง “อุ๊งอิ๊งค์” ในฐานะทายาทการเมืองโดยสายเลือดของ “นายห้างทักษิณ” ถูกวางตัวให้เป็นเบอร์ 1 ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว แต่ก็เป็นไปในลักษณะค่อนเป็นค่อยไป ไม่เร่งโตเหมือนครั้งผลักดัน “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯเมื่อปี 2554
โดย “แพทองธาร” เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม เมื่อช่วงเดือน ต.ค.2564 บนบนเวทีประชุมใหญ่สามัญของพรรคที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นช่วงที่ พรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายค้านขณะนั้น กำลังเผชิญสถานการณ์เลือดไหลออก มี สส.และอดีต สส.ย้ายออกจากพรรคจำนวนมาก การดึง “ลูกนายใหญ่” เข้ามาก็เพื่อหยุดภาวะเลือดไหล
ต่อมาเดือน มี.ค.2565 พรรคเพื่อไทย เปิดตำแหน่งพิเศษ และเพิ่มบทบาทให้ “แพทองธาร” เป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” และตระเวนเปิดเวทีครอบครัวเพื่อไทยไปทั่วประเทศ จนถึงฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้ง 2566 “อุ๊งอิ๊ง” มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาตั้งศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้งพรรค และเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการตะเวนขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียง ขณะเดียวกันก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ที่ลืมตาดูโลกก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 ไม่นาน
อย่างไรก็ดี ปรากฎว่า “พรรคทักษิณ” ต้องพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรกโดยได้มา 141 ที่นั่ง เป็นอันดับ 2 รองจาก พรรคก้าวไกล ที่ได้ทั้งหมด 151 ที่นั่ง ที่ได้สิทธิ์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่สำเร็จ ก่อนที่ พรรคเพื่อไทย จะรับไม้ต่อ และจัดตั้งสำเร็จ
ช่วงจัดตั้งรัฐบาลก็มีข้อเสนอจากคนในพรรคเช่นเดียวกันว่า ควรผลักดันให้ “ลูกนายใหญ่” ขึ้นเป็นนายกฯ ในรอบนี้เลย แต่ก็ถูกทัดทานไว้ โดยคนที่เสียงดังที่สุดไม่พ้น “แม่อ้อ” ที่มองว่า ยังไม่ถึงเวลา จึงเป็นคิวของ “เศรษฐา” ที่ได้เป็นนายกฯ
ภายหลังจัดตั้งรัฐบาล ดูเหมือนว่ายังมีความพยายาม “เปิดฟลอร์” ให้ “แพทองธาร” อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการแต่งตั้งร่วมในคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็น "ธง" ของพรรคเพื่อไทยในรัฐบาลเศรษฐา ทั้งรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ที่กำลังขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค มาดกทางการเมืองชิ้นสำคัญของ “พ่อษิณ” จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่า บทบาทของ “แพทองธาร” เหมือนเป็น “นายกฯ เงา” เลยทีเดียว
พูดได้ว่า เส้นทางของ “แพทองธาร” ไม่ได้วางไว้แค่ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่มองไกลไปถึงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 4 ของตระกูลชินวัตร ต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่คนภายนอกดูออก คนในอย่าง “นายกฯเศรษฐา” ก็รู้ดี ถึงขั้นยิงมุกเมื่อครั้งออกงานด้วยกันว่า “นายกรัฐมนตรีคนไหน มี 2 คนนะ” ก่อนจะแก้เกี้ยวในภายหลัง
ด้วยตลอดระยะเวลาที่ภายมา แม้มีสถานะเท่าเทียมกันในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย หรือกระทั่งได้เป็น “นายกฯ นิด” แล้ว ต้องยอมรับว่า “น้องอิ๊งค์” ที่เป็น “ลูกเถ้าแก่” ดูจะข่ม “พี่นิด” อยู่ในทีอยู่แล้ว
ซ้ำร้าย “พี่นิด” ยังออกอาการพินอบพิเทาให้ “น้องอิ๊งค์” แบบเกินพอดีอีกด้วย
โดยเฉพาะชอตเด็ดหลังที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยเลือกให้ “อุ๊งอิ๊งค์” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ “เศรษฐา” ที่เป็นสมาชิกและร่วมอยู่ในที่ประชุมด้วย ทั้งคล้อมตัวทำความเคารพ และคว้ามือ “หัวหน้าอิ๊งค์” ขึ้นมาทำท่าจูบ
แม้จะชี้แจงภายหลังว่า ได้นำมือตัวเองซ้อนไว้อีกชั้น จึงไม่ได้ใช้ปากสัมผัสมือของ “แพทองธาร” และทำไปเพื่อแสดงความเคารพรักในแบบของพี่น้องเท่านั้น แต่ก็ไม่พ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
มีการนำไปเปรียบเทียบกับฉากสำคัญที่เรียกว่า Kissing hand หรือ Kiss the ring ในภาพยนตร์ดัง The Godfather ที่เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับความเป็น Godfather หรือ “นายใหญ่” นัยว่ามี “นิ้ว” หรือ “มือ” ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้
การจูบมือจึงเป็นสัญลักษณ์การ “ศิโรราบ” ให้กับผู้ที่มีอำนาจ หรือบารมีเหนือกว่า
เชื่อว่า “นายกฯ เศรษฐา” คงไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เมื่อแสดงออกต่อสาธารณชน โดยไม่คิดอย่างรอบคอบ ย่อมได้ผลลัพธ์ในทางลบที่ตามมา ถึงขั้นถูกวิจารณ์แรงๆ ว่า ไม่รู้กาลเทศะ และไม่มีผู้นำประเทศไหนทำกัน
ไม่เท่านั้นหลังจบการประชุมของพรรคเพื่อไทย “เศรษฐา” ยังเป็นคนพูดกับผู้สื่อข่าวเองว่า “อุ๊งอิ๊งค์” มีความเหมาะสมในการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และสามารถเป็นนายกฯ ต่อได้สบายๆ ด้วย
แม้จะเป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า แต่ “เศรษฐา” อาจจะลืมไปว่า ตัวเองก็ยังมีสิทธิ์เป็นนายกฯ ได้ 8 ปี ไม่ว่ารอบหน้าหรือรอบไหนรวมกัน หากยังไม่มีการแก้ไขรับธรรมนูญในส่วนนี้ คำพูดส่งไม้ต่อลักษณะนี้ไม่น่าจะออกมาจากคนที่เพิ่งขึ้นเป็นนายกฯ ได้เพียง 2 เดือน
ยิ่งหาก “ทักษิณ” พ้นโทษออกมา ก็ไม่พ้นจะมีกระแสวิจารณ์ถึง “นายกฯคนที่ 3” หรือ “นายกฯหลังม่าน” หรือหนักที่สุดอาจถูกมองเป็น “นายกฯตัวจริง” ด้วยซ้ำ
ทำไปทำมาการขึ้นสู่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เต็มตัวของ “อุ๊งอิ๊งค์” ที่มี “พ่อษิณ-แม่อ้อ” คอยคัดท้ายให้ครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ “เศรษฐา” นั่นเอง
จนเริ่มมีการพูดกันแล้วว่า รัฐบาลนี้อยู่ยาว แต่นายกฯ อาจเปลี่ยนคน.