“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“เดวิด ฮูม” นักการเมืองที่เป็นนักปรัชญา นำแนวคิดตั้งข้อสงสัยค้นหา “คำตอบ” อันสมเหตุสมผล?!
“ฮูม” เป็นผู้นำแนวคิดอิงประสบการณ์แบบ Lockian จากการตั้งข้อสงสัยในเหตุและผล โดยไม่จำต้องเกิดจากพื้นฐานที่สมเหตุสมผลของโลกภายนอก..อืม..งงไหมครับ?
“เดวิด ฮูม” ไม่ต่างจากสุภาพบุรุษอังกฤษชราภาพ ที่วันหนึ่งก็ลุกขึ้นตะโกนเสียงดังว่า “พอสักที! พอได้แล้วเรื่องเมตาฟิสิกส์ที่ไร้สาระ!” ไม่ว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ในแง่ประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเราเอาผลงานของเขามาหาข้อสรุป เราก็พอจะรู้ว่า เขาเคยพยายามค้นหาขีดจำกัดความรู้ของมนุษย์ และดึงปรัชญาออกจากการเสาะหาความจริงที่ไม่อาจเข้าถึงได้
“ฮูม” เกิดที่เอดินเบรอะ สก็อตแลนด์ เขาจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเอดินเบรอะ ต่อมาเขาลงเล่นการเมืองและเป็น“นักการเมือง” ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐสองสามแห่ง ก่อนจะหันมาทุ่มเทให้กับปรัชญา โดย “ฮูม” หวังจะเป็นคนสำคัญเหมือน “นิวตัน” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการวิทยาศาสตร์ จากการพบแรงโน้มถ่วง
แม้จะมีความคาดหวังที่สูง ทว่า..งานเขียนเรื่องแรกของ “ฮูม” ได้รับความสนใจน้อยมาก “ฮูม” จึงต้องหาทางผลักดันตัวเอง ด้วยการเป็นบรรณารักษ์ นักการทูต นักเขียนบทความ แม้งานเขียนเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอังกฤษ จะช่วยให้เขามีชีวิตดีพอประมาณ แต่ชื่อเสียงในฐานะนักปรัชญาของ “ฮูม” ไม่ได้ฉายแสงออกมาจนเสียชีวิตไปแล้ว
ถึงกระนั้น..“เดวิด ฮูม” ก็ถือเป็นจุดศูนย์กลางคนหนึ่งในแวดวงของ “นักปรัชญา” โดยเขาพยายามเอาปรัชญาออกจากคำถามต่างๆเกี่ยวกับจิตวิญญาณ สำหรับ “ฮูม”แล้วประเด็นของวิญญาณและจักรวาล หรือแม้แต่ “ตัวตน” ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายอย่างสมเหตุผลได้
หากเปรียบเทียบกับ “สปิโนชา” จะพบว่า ในบทสรุปของสปิโนชา เขาเอาแนวคิดแบบ “สกอลาสติค” และ “คาร์ทิเชียน”มาใช้ จนทำให้เกิด “สสาร” และ “พระเจ้า”
ขณะที่ “ฮูม” ก็ใช้ทำนองเดียวกัน คือเอามุมมอง “ประสบการณ์” ของ “ล็อค” และ “ฮอบส์” มาใช้..
โดยยกตัวอย่าง “แม่วัวเบสซี” เช่นเดียวกับ “จอห์น ล็อค” ที่กล่าวว่า เป็นเพราะมีข้อเท็จจริงที่จำเป็นบางประการเป็นต้นเหตุ ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับ “แม่วัวเบสซี” ซึ่งก็ได้แก่ตัว “แม่วัวเบสซี” ที่เห็นนั่นเอง เป็นรูปแบบหนึ่งของสิ่งมีตัวตนอยู่จริง แต่ “ฮูม ”มีความคิดไกลไปกว่านั้น เขามองว่า เราไม่สามารถสร้างพื้นฐานใดๆ ที่มีเหตุผลต่อความคิดของเรา ที่คิดว่า “แม่วัวเบสซี” ที่เราเห็นนั้น เป็นตัวแทนหรือรูปแบบของสิ่งใด
งั้นมาดูแนวคิด “เดวิด ฮูม” กันดีกว่า..
ความคิดสำคัญของ“ฮูม” 1. จริงๆแล้วเราไม่รู้จักอะไรสักอย่าง! โดยคำยืนยันของ “ฮูม” เป็นที่สันนิษฐานว่า “ความรู้” นั้นเป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์ของโลกภายนอก แต่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ที่สมเหตุสมผลเลยว่า โลกภายนอกนั้นมีอยู่จริง
“ฮูม” กล่าวว่า “ความคิด” ของเรานั้น เป็นเพียงสิ่งที่ลอกแบบ “ความประทับใจ” ของเรา ที่เพิ่งเกิดขึ้นเท่านั้นเอง สี เสียง ความยินดี ความเจ็บปวด ล้วนเป็นตัวอย่างของ “ความประทับใจ”
ส่วน “ความคิด ”ของเรา ก็เป็นเพียงการลอกแบบความประทับใจของเราเช่นกัน โดยที่เราไม่มีทางรู้ว่า สิ่งใดทำให้เกิดความประทับใจ และด้วยอารมณ์เหล่านี้(หากมีต้นเหตุจริง) เราจึงไม่อาจหาเหตุผล หรือข้อพิสูจน์มายืนยันในการมีอยู่ของโลกภายนอกได้ อีกนัยหนึ่ง.. เราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเลย!
ไกลไปกว่านั้น! “ฮูม” กล่าวว่า แม้มีโลกภายนอกอยู่จริง แต่ความคิดของวงการวิทยาศาสตร์ที่ว่า “เหตุ” และ “ผล” มีความสัมพันธ์กันนั้น ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุความเป็นเหตุเป็นผลออกมา
“ฮูม” ยกตัวอย่างว่า หากเราเอา “แม่วัวเบสซี” ขึ้นไปชั้นบนสุดของตึก “เอ็มไพร์สเตท” แล้วปล่อยให้ร่วงลงสู่พื้น “คำถาม” คือ ในขณะที่เราปล่อยให้มันตกลงมา.. เรากำลังเห็นสิ่งใดอยู่? ซึ่งวิทยาศาสตร์ยุคของ “ฮูม” จะบอกว่า อาการที่เราปล่อยมือ(จากตัววัวเบสซี)นั้น เป็น “เหตุ” ที่ทำให้มันตกลงมา แต่เราไม่มีทางรู้ธรรมชาติของ “วัวเบสซี” มากไปกว่าประสบการณ์ที่เราเห็นหรือสร้างมันขึ้นมา (หากแม่วัวเบสซีเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง)
ฉะนั้น สิ่งที่เราสรุปได้ มีอยู่เพียงแค่เหตุการณ์หนึ่ง (การปล่อยมือที่จับวัวเบสซีไว้) เป็นสิ่งที่อยู่ก่อนหน้าเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น (คือร่างวัวเบสซีแหลกเหลวอยู่บนถนนหมายเลข 34)
ความคิดที่ว่า “การปล่อยมือ” เป็นสิ่งที่ “ทำให้เกิดผล” หรือเป็น “สาเหตุ” ให้วัวเบสซีร่วงลงมานั้น เป็นความคิดที่ไม่สามารถแสดงถึงตรรกะหรือความเป็นเหตุเป็นผลได้ ความคิดที่ว่ามันเป็น “เหตุ” นั้น เป็นเพียงข้อสมมุติฐาน ที่เราเคยชินจากการเห็นสิ่งๆ หนึ่งขึ้นก่อนหน้าอีกสิ่งหนึ่งเท่านั้น และยังไม่มีพื้นฐานที่สมเหตุสมผลว่า มันจะต้องเป็นเช่นนี้เสมอไป
เพราะเราไม่อาจสรุปได้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็น “สาเหตุ” ของสิ่งอื่น สิ่งที่เราทำได้ ก็เพียงแค่สันนิษฐานว่า อะไรที่เกิดขึ้นในอดีต ก็อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับ “ฮูม”.. ทั้ง“เหตุ”กับ “ผล” และ “โลกภายนอก” เป็นสิ่งที่ยังไม่อาจหาคำอธิบายที่สมเหตุผลได้ และมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากข้อสันนิษฐาน และความเคยชินของเราเท่านั้น
ประโยคที่โด่งดังของ “ฮูม” คือ “มันไม่ใช่เรื่องฉลาดที่ผมจะกระโดดหน้าต่าง” แม้ว่าเรายังไม่อาจหาตรรกะที่ดีพอมาอธิบายว่า การกระโดดหน้าต่างจะส่งผลออกมาแย่เพียงใด แต่อย่างน้อย เขาก็คิดที่จะปลอดภัยไว้ก่อนการเสียใจ
เราจะทำความเข้าใจกับข้อสงสัยนี้อย่างไร? ความเชื่อในเรื่องต่างๆ มีการสาธิต หรือแสดงให้เห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่?
สำหรับ “ฮูม”..สิ่งที่เขาได้เห็น มีเพียงแค่ “ความสัมพันธ์ของความคิด” เท่านั้น ซึ่งหมายความเช่นกรณีของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ในแง่ข้อเท็จจริงทางคณิตศาสตร์แล้ว การแสดงให้เห็นว่า “สี่เหลี่ยม” ย่อมมีทั้งหมด 4 ด้านนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะมันไม่สามารถโยงออกไปยังโลกภายนอก ที่เราไม่สามารถรู้จักได้อย่างแท้จริง โลกภายนอกอาจเป็นโลกที่ไม่มีตรรกะใดให้เราพบเลยก็ได้
ความคิดสำคัญของ “ฮูม” 2. คุณลักษณะของศีลธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากความรู้สึก!
“ฮูม”กล่าวว่า ในความเป็นจริงที่เป็นกลาง ไม่มีกฎหรือคุณลักษณะของศีลธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อีกนัยหนึ่ง “ฮูม” คิดว่า ศีลธรรมไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ “ในโลก” นี่เป็นความคิดตรงกันข้ามกับ “เพลโต” ที่คิดว่า ความคิดหรือรูปแบบของบางสิ่ง เช่น ความยุติธรรม เป็นสิ่งที่มีภาวะเป็นเอกเทศ และเป็นความจริงที่เป็นกลาง ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของคนเรา โดย “ฮูม” เห็นว่า โดยแท้แล้ว ศีลธรรมเป็นความรู้สึกกับอารมณ์ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ตัวอย่างเช่นกรณีของ “แกรนด์ แคนยอน” ผลงานธรรมชาติชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่สวยงามหรือไม่? สำหรับ “เพลโต” จะตอบว่า “ความสวย” เป็น “ความจริง” ในโลกนี้ และความสวยของแกรนด์ แคนยอนเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นความสวยที่ถูกกักไว้ในแกรนด์ แคนยอน
ส่วน “ฮูม” ซึ่งมองสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานของประสบการณ์เช่นเดียวกับ “ฮ็อบส์” แล ะ“ล็อค” สองนักปรัชญาที่มีชีวิตและผลงานปรัชญาก่อนหน้า “ฮูม” จะบอกว่า “ความสวย” ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงในโลกนี้ แต่เป็นเพียงปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปของมนุษย์แต่ละคน เมื่อมองแกรนด์ แคนยอน
“ฮูม” ใช้ตรรกะเดียวกันนี้กับทัศนะที่เขามีต่อศีลธรรม ดังเช่นคำพูดที่โด่งดังของ “ฮูม” นั่นคือ..
“ลองมองดูการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างจงใจ ในทุกแง่มุมและในความเกี่ยวพันในทุกด้าน และคุณจะไม่พบกับความชั่วร้ายใด” ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ “ความชั่วร้าย” ของการฆาตกรรม และ “ความสวย” ของแกรนด์ แคนยอน เป็นเพียงปฏิกิริยาเฉพาะเรื่องที่เป็น“จริง”ได้เฉพาะในอารมณ์ของมนุษย์เท่านั้น!
เช่นเดียวกับที่ “ฮูม” ปล่อยวัวเบสซีให้ตกลงมาจากตึก เขาได้โยนคำกล่าวอ้างทางปรัชญาก่อนหน้าทิ้งไปหมด “จอห์น ล็อค” อ้างว่า โลกภายนอกทำให้เกิดอารมณ์ รวมทั้งพวกยึดถือในเรื่องเมตาฟิสิกส์ ก็อ้างว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก
ทั้งหมดนี้โดนคนช่างสงสัยอย่าง “ฮูม” โยนทิ้งไปหมด! ความช่างสงสัยของ “ฮูม” ทำให้เกิดคำถามสำคัญที่ต้องใส่ใจ.. โดย “คานท์” จะเป็นคนเข้ามาช่วยให้“คำตอบ”!
อืม.. ความคิดสำคัญสองข้อแรกของ “ฮูม” ยืดยาว.. ติดตาม “คำตอบจากคานท์” ใน “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” วันเสาร์หน้าครับ..