xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“รัฐบาลเพื่อไทย” ยอม “ถอย” หมื่นดิจิทัล... ใกล้เลิก “ว้าวุ่น”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังคงมีคำถามจากสังคมอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการ “หมื่นดิจิทัล” ที่ทางรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน” เป็นผู้นำ ด้วยการแจกเงินประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท โดยต้องใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 5.6 แสนล้านบาท เพราะยังคงมี “ความไม่กระจ่าง” ในหลายประเด็นว่าจะสามารถเป็น “พายุหมุนทางศรษฐกิจ” อย่างที่ว่าไว้ได้หรือไม่

เริ่มจากแหล่งที่มาของงบประมาณจะนำมาจากไหน จะเป็นการกู้เงินหรือยืมเงินจากธนาคารของรัฐ จะใช้จากเงินงบประมาณแผ่นดินหรือใช้เงินจากแห่งหนตำบลไหน

ทำไมถึงต้องแจกประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล อย่างที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวถ้าทำเฉพาะกลุ่มก็อาจจะประหยัดงบประมาณได้มากกว่า เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้เงิน 10,000 บาท

ทำไมไม่แจกเป็น “เงินสด” ผ่านระบบที่มีอยู่แล้วอย่าง “เป๋าตัง” จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะกลัวลุงตู่จะได้หน้า ซึ่งถือว่าเป็นการให้น้ำหนักในทางการเมืองแบบคิดเล็กคิดน้อยจนเกินไป เพราะถ้ามองมุมกลับ ก็ต้องไม่ลืมว่า ที่มี “รัฐบาลเศรษฐา” ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะ “ลุงตู่” ให้การสนับสนุนหรอกหรือ ฯลฯ

หรือแม้แต่เสียงหนุนจาก  นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต  รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่มองว่า เป็นนโยบายที่ดีที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคของประชาชนที่ลำบากอย่างยิ่งจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ก็เสนอแนะให้ทบทวนกลุ่มเป้าหมาย แบบ “พุ่งเป้า” เน้นคนลำบากเดือดร้อนจริงๆ เพื่อจะได้มีเงินไปใช้ในโครงการเร่งด่วนอื่น ๆ เช่น ปัญหาภัยแล้ง อีกทั้งต้องบริหารโครงการให้โปร่งใสรัดกุมคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ และติดตามผลกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินประสิทธิผลของโครงการ

เช่นเดียวกับ  “นายสนั่น อังอุบลกุล”  ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ก็ออกไปในทรงหนุน เพียงแต่มีข้อแนะนำเรื่องกระจายเม็ดเงินดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพและตรงจุด โดยเสนอให้รัฐบาลใช้ระบบที่มีอยู่ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารภายใต้กำกับของรัฐบาล ที่มีประชาชนลงทะเบียนยืนยันตัวตนและใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นแล้วถึง 40 ล้านคน ผนวกกับแพลตฟอร์มและวอลเลตที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้พัฒนาจนประสบความสำเร็จเป็นลักษณะระบบ Hybrid เพื่อให้มีส่วนร่วมกับการสนับสนุนการชำระเงินดิจิทัลผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นเครื่องมือสำคัญที่พร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลให้ทันได้ตามกำหนดเวลา รวมทั้งควรสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุนในทุกระดับ เน้นการซื้อสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ โดยเชื่อว่าหากดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจะเกิดการกระจายรายได้และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและหลายรอบ

แม้ที่ผ่านมา “นายกฯ นิด” จะยืนยันเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจขั้นสุดว่า เป็นนโยบายที่ดี เพียงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้เพราะคณะทำงานต่างๆ กำลังดำเนินการ ทว่า ก็สร้างความ “ว้าวุ่น” ให้กับ “พรรคเพื่อไทย” โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ที่สุดของโครงการ นั่นก็คือ “แหล่งที่มาของงบประมาณ” ซึ่งว่ากันตรงๆ ว่าเต็มไปด้วยข้อติดขัดทางกฎหมายมากมาย

และในที่สุดก็ส่งสัญญาณออกมาชัดเจนแล้วว่า คงต้องยอม “ถอย” หลังรับฟังข้อท้วงติงที่ดำเนินไปอย่างรอบด้าน ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย

สัญญาณแรกมาจากตัว “นายกฯ นิด” เองโดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา นายเศรษฐาได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ เร่งเครื่องติดสปีดเศรษฐกิจไทย ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ โดยบางช่วงบางตอนได้อธิบายถึงเรื่องหมื่นดิจิทัลเอาไว้อย่างมีนัยสำคัญว่า

“รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำแค่ประชานิยมหรือแค่เพื่อการซื้อเสียง...เราเป็นประเทศที่พัฒนา แต่เราล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ถ้าเราไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผ่านนโยบายต่างๆ ที่เราได้แถลงไปแล้ว ผมเชื่อว่าเราจะไม่สามารถทัดเทียมได้ เราไม่ใช่ดูแค่ดิจิตอลวอลเล็ต อย่างเดียว 540,000 ล้านเป็น One Time กำลังปรับปรุงอยู่อาจจะลดลงมา หากใครสามารถให้เห็นว่าคนรวยไม่ควรได้ วัดด้วยอะไรผมยินดีรับฟัง อายุ 16 ปี ใช้ให้หมดโดยเร็วในพื้นที่ที่มีบัตรประชาชน ตอนนี้กำลังพิจารณา รัศมีการใช้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคด้วยกัน โดยรวยกระจุกจนกระจาย จะได้ไม่อยู่กัน ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต - กรุงเทพฯ เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคไปด้วยกัน ไม่ใช่งบผูกพัน นโยบายต่างๆ ที่ ใช้คำว่าประชานิยม แม้ผมจะไม่ชอบคำนี้บางงบประมาณผูกพันปีนึงหลายแสนล้านและผูกพันระยะยาว อันนี้เป็นนโยบายประชานิยม รัฐบาลรับคำแนะนำและคำติชม แต่ขอให้ท่านคิด 1.8% ภายใน 10 ปีที่ผ่านมาในขณะที่ประเทศอื่นเขาพัฒนาไปไกลมาก”

พิเคราะห์จากถ้อยคำข้างต้นก็จะเห็นถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

สัญญาณที่สองมาจาก “เสี่ยหนิม-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการคณะอนุกรรมการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ได้ออกมาเติมเต็มสิ่งที่นายกฯ นิดปาฐกถาเกริ่นนำเอาไว้ในวันเดียวกัน โดยระบุว่า ที่ประชุมมีความเห็นปรับเงื่อนไขการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้สามารถใช้ได้ภายในอำเภอ จากเดิมแค่รัศมี 4 กิโลเมตร เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่เกินไป มีร้านค้าเพียงพอ และยอมรับว่ายังมีความเห็นแตกต่างในที่ประชุม ที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ซึ่งต้องเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประชุมตัดสินใจในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ จะให้คณะกรรมการตัดสินใจรวม 3 ทางเลือก คือ

1.ให้สิทธิ์เฉพาะผู้ยากไร้ราว 15-16 ล้านคน โดยใช้ฐานข้อมูลจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณราว 1.5 แสนล้านบาท

2.ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท และ/หรือ มีบัญชีเงินฝากเกิน 1 แสนบาทออก เหลือผู้ได้สิทธิ์ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 4.3 แสนล้านบาท

3.ตัดกลุ่มผู้มีเงินเดือนเกิน 50,000 บาท และ/หรือ มีบัญชีเงินฝากเกิน 5 แสนบาทออก เหลือผู้ได้สิทธิ์ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 4.9 แสนล้านบาท 
 
“สำหรับประเด็นการยืนยันตัวตน เป็นไปตามสิทธิ์ ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้าน และวิสาหกิจชุมชน ใช้จ่ายได้ประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ส่วนระบบการขึ้นเงินได้ร้านค้าระบบภาษี 3 ประเภท ทั้งร้านค้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินได้นิติบุคคล และบุคคธรรมดา”นายจุลพันธ์ กล่าว 
 
ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่นายจุลพันธ์สาธยายเอาไว้ก็เห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยประเด็นแรกก็คือจะมีการลดตัวเลขงบประมาณที่จะใช้จ่ายในโครงการหมื่นดิจิทัลตาม 3 แนวทางที่ได้นำเสนอออกมา ซึ่งผู้ที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็คือ “นายกฯ นิด” ว่าจะเห็นดีเห็นงามกับแนวทางไหน จะเลือก “ข้อ 2” หรือ “ข้อ 3” ที่มีตัวเลขลดลงราวแสนล้าน หรือจะพลิกไปเป็น “ข้อ 1” ที่ใช้งบเพียงแค่ 1.5 แสนล้านบาทเท่านั้น หรือจะยึดถือตามแนวทางเดิม ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน
แปลไทยเป็นไทยก็คือจะหาทางตัด “คนรวย” ออก เพื่อลดภาระงบประมาณนั่นเอง ส่วนถามว่า สุดท้ายแล้วจะเลือกแนวทางไหน ไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ แต่ถ้าจะให้ “เดา” ก็เชื่อเหลือเกินว่า แนวทางตาม “ข้อ 1” จะเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” ของนายกฯ นิด เพราะไม่สอดรับกับวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ด้วยประการทั้งปวง 
 
การเปลี่ยนแปลงที่สองคือ ให้สามารถใช้ได้ภายในอำเภอ จากเดิมที่กำหนดรัศมีเอาไว้ที่เพียงแค่ 4 กิโลเมตร
และการเปลี่ยนแปลงที่สามก็คือ มีแนวโน้มว่าจะเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมคือวันที่ 1 ก.พ.2567 แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน 
 
ส่วนที่ยังเหมือนเดิมก็คือจะแจกเพียง “ครั้งเดียว” จำนวน 10,000 บาท ตามที่นายกฯ เศรษฐาว่าไว้ 
 
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่จำต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ แหล่งที่มาของงบประมาณที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก บ้างก็ว่า จะใช้เงินจากแบงก์เด็กคือธนาคารออมสิน หรือไปกู้เงินจากต่างประเทศ ตรงนี้ก็มีข้อสรุปจาก “รมช.จุลพันธ์” แล้วว่า จะไม่ใช้เงินจากธนาคารออมสิน และจะใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมีผลต่อการตัดสินว่าจะเลือกแจกเงินตามแนวทางไหน 
 
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีมุมมองจาก “ศิริกัญญา ตันสกุล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่น่าสนใจว่า ปัญหาสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการปรับหลักเกณฑ์ที่คัดกรองคนรวยออก ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลน่าจะมีปัญหาในเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้จะพยายามลดจำนวนลงแล้ว แต่ยังพบว่ามีคนที่จะต้องได้รับอยู่ที่ประมาณ 43-49 ล้านคนอยู่ดี ดังนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อย 
 
ขณะที่ข้อเสนอว่า จะใช้งบผูกพันปีละ 1 แสนล้านบาท เป็นเวลา 4 ปี ยิ่งชัดเจนว่าหลังจากคำนวณแล้ว แสดงว่า งบปี 67 มีที่ว่างให้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น และหากต้องผูกพันไป 4 ปี เท่ากับว่า จะมีร้านค้าบางส่วนที่จะไม่ได้เงินสดในทันที แต่ต้องรอแลกเป็นรายรอบปีงบประมาณ ซึ่งจะกระทบกับร้านค้า เพราะหากต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตัวเอง ก็จะไม่มีแรงจูงใจมากพอ และจะไม่เข้าร่วมในโครงการนี้ด้วยซ้ำ เป็นการตอกย้ำกับสิ่งที่ตนเองเคยพูดว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถที่จะให้ธนาคารของรัฐ หรือธนาคารออมสินดำเนินโครงการนี้ ออกไปก่อนได้ จึงติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่ คือเรื่องของงบประมาณและที่มาที่จะต้องใช้ในครั้งนี้ 
 
“การปรับเงื่อนไขในครั้งนี้ต้องพิจารณาด้วย ว่ายังคงสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์และผลที่คาดว่า จะได้รับดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าเปลี่ยนไปหมดแล้วก็อาจจะต้องทบทวนวิธีการและนโยบายใหม่ทั้งหมดด้วยซ้ำไป”ศิริกัญญาให้ความเห็น


ขณะที่ “นางแบกแห่งเพื่อไทย” อย่าง “ลักขณา ปันวิชัย หรือ “แขก คำผกา” ก็ตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนและมีคำพูดระหว่างบรรทัดให้ต้องตีความว่า “นโยบายดิจิทัล วอลเล็ต เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย เป็นทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เป็นการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ เป็นทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิตอล ไม่ใช่การสงเคราะห์คนจน รบกวน ศิริกัญญา ไม่หลงประเด็นนะคะ ให้ รมช. คลัง พี่หนิม เราหลงคนเดียวก็เหนื่อยแล้วค่ะ”

งานนี้ “นางแบก” ฉะ “พี่หนิม-จุลพันธ์” แบบเต็มๆ เพราะไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า “นายกฯ นิด” จะตัดสินใจอย่างไร

สำหรับข้อเสนอให้ใช้ระบบของธนาคารกรุงไทยตามที่มีหลายคนเสนอมานั้น ถ้าหากพิจารณาจากข้อมูลก่อนหน้านี้ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์เอาว่า ระบบในการบริหารจัดการจะเป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาช่วยเรื่องการพัฒนาระบบ โดยในส่วนค่าใช้จ่ายไม่มีตัวเลขอะไรที่น่าเป็นห่วง และขณะนี้กำลังคุยกันอยู่ว่าหน่วยงานใดจะเป็นผู้จ่ายเงิน ซึ่งนั่นแสดงว่า ทีมงานของ “นายกฯ นิด” รับฟังเสียงสะท้อน ด้วยก่อนหน้านี้มิได้เป็นไปตามนี้

ส่วนเรื่อง “เป๋าตัง” นั้น รมช.คลังตอบชัดๆ ว่า ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้งานเนื่องจากวัตถุประสงค์ของนโยบายแตกต่างกัน ซึ่งบล็อกเชนมีความปลอดภัยและมีกลไกที่โปร่งใส นอกจากนี้แอปฯ ในอดีต แม้ข้อมูลเป็นของรัฐแต่ตัวแอปพลิเคชั่นไม่ใช่ของรัฐ ดังนั้นการต่อยอดจึงมีข้อจำกัด แต่แอปฯ ใหม่จะดึงข้อมูลของรัฐที่เป็นประโยชน์มาใช้ อย่างเช่น ฐานข้อมูล และโครงการดิจิทัลวอลเลตไม่มีการลงทะเบียนแต่จะให้มีการยืนยันตัวตน เพราะมีข้อกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้

ขณะที่กระแสข่าวเรื่องจะมีการเก็บค่าแลกเงินร้านค้าในการแลกเงินเข้าและออก 3% นั้น อันนี้ “รัฐมนตรีจุลพันธ์” ยืนยันว่า ไม่มี โดยประชาชนจะได้เงิน 10,000 บาทเต็มๆ ไม่มีหัก รวมถึงไม่มีการจัดเก็บเงินเปอร์เซ็นต์จากร้านค้าด้วย

ทั้งนี้ การพัฒนาซูเปอร์แอปเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความล่าช้า เพราะอาจต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว รวมทั้งข้อจำกัดทางเทคนิคของผู้พัฒนา ซุปเปอร์แอป ที่อาจต้องใช้เวลาพัฒนา และทดสอบระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ซูเปอร์แอป จะสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก บนความเสถียร และปลอดภัย

นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงการพัฒนาระบบ อาจต้องใช้เวลาทดสอบ โดยเฉพาะด้านเสถียรภาพ และความปลอดภัย ที่อาจใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 เดือน ซึ่งถือเป็นระยะเวลาทดสอบระบบที่น้อยที่สุด

ด้านเสียงลือเสียงเล่าอ้างกรณีมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะจ้างบริษัทในเครือข่ายของนายกรัฐมนตรี จัดทำแอปพลิเคชันรองรับการแจกเงินดิจิทัล เป็นตัวเลขสูงลิ่วถึง 12,000 ล้านบาทนั้น “นายกฯ นิด” ก็เคยให้สัมภาษณ์ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่สาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ไม่มีเรื่องค่าคอมมิชชัน ไม่มีการหักเบี้ยบ้ายรายทาง หรือถูกหักเงิน 3% และไม่มีการจ้างเป็นหมื่นล้านบาทอย่างที่กล่าวหา ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการจ้างบริษัทในเครือข่ายของตนเองนั้น ขอให้ระบุชื่อมาให้ชัด เพราะแสนสิริไม่ได้ทำแอปฯ แน่นอน ส่วนบริษัทเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPGX) ที่ตนเคยเป็นกรรมการอยู่ ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ขอให้บันทึกว่า 2 บริษัทดังกล่าวไม่ได้เข้ามารับงาน

“ผมอยากให้คณะกรรมการศึกษาเงินดิจิทัลฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ชำนาญการจากหลายฝ่าย มีข้าราชการระดับสูง ซึ่งเห็นตรงและเห็นต่างกันบ้าง มีข้อแนะนำต่างๆ ได้มีสิทธิ์พูด เพราะเรามีคณะกรรมการกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน ขอเวลาให้ได้ถกกันให้ดี ซึ่งต้องให้เกียรติกรรมการทุกคน ส่วนการชี้แจงอาจจะช้าก็น้อมรับ ซึ่งไม่อยากพูดอะไรเร็วเกินไป แต่หากมีประเด็นขึ้นมาก็พร้อมชี้แจง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าหากทุกอย่างมีความพร้อม จะทำให้หมดสงสัย ยืนยันว่าทุกๆ ข้อสงสัย ทุกๆ คำแนะนำ จะถูกนำไปพิจารณาและปรับปรุงเพื่อให้เป็นนโยบายที่ดีที่สุด ปราศจากเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ส่วนความชัดเจนจะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ประกาศเอาไว้”นายเศรษฐากล่าวตอบคำถามที่ว่า นายกฯ มีความมั่นใจในข้อมูล แต่เหตุใดจึงไม่เลือกชี้แจงให้สังคมเข้าใจ

ก็เป็นอันว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็เป็นไปตามที่นายกฯ นิดว่าไว้

สดับตรับฟังแล้วก็พอจะมองเห็นความกระจ่างชัดของโครงการหมื่นดิจิทัลมากขึ้น เพียงแต่ต้องรอรายละเอียดแบบ “ชัดๆ” เพราะคงจะมี “การปรับแก้” ตามข้อท้วงติงและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ส่งผ่านออกมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติและประชาชน


กำลังโหลดความคิดเห็น