ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เข้ามามีส่วนร่วมกับการทำงานของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ รายของ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ที่วันนี้ก้าวเข้าสู่การเมืองในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และล่าสุดกับเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” อย่างเต็มตัวและอย่างเป็นทางการ(เสียที)
โดยภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน แล้วเสร็จ “แพทองธาร” ก็ได้รับแต่งตั้ง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มีนายกฯ นั่งเป็นประธานด้วย
นอกจากนี้ “อุ๊งอิ๊งค์” ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ที่มีนายกฯ เป็นประธานเช่นกัน นัยว่าให้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนนโยบาย “30 บาทพลัส” ยกระดับต่อยอดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่เป็น “เรือธง” มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ ก่อนหน้านี้ถึงบทบาทของ “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะ “นายกฯ เงา” ที่ทาบทับนายกฯ ตัวจริงอย่าง “เศรษฐา” มากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่า “เศรษฐา” เองก็คงสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และก็ก็เป็นคน “ปล่อยมุก” ด้วยตัวเองว่า “นายกฯ มี 2 คน” ระหว่างยกคณะรัฐมนตรีหลายคนไปชมภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” ที่โรงภาพยนตร์ พารากอน เมื่อวันก่อน โดยที่ “แพทองธาร” ก็ไปร่วมรับชมด้วยในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
เป็นขณะที่ช่างภาพสื่อมวลชนกำลังถ่ายภาพ “เศรษฐา-แพทองธาร” ก่อนการฉายภาพยนตร์ เมื่อช่างภาพขอให้นายกฯ หันซ้ายขวาเพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้ทุกมุม ก็เป็น “นายกฯนิ ด” ที่พูดขึ้นมาเองว่า "นายกฯค นไหน มี 2 คนนะ"
ซึ่งนายกฯ อีกคนก็ไม่ใช่ใครอื่น หมายถึง “น้องอิ๊งค์” ที่กำลังถูกถ่ายภาพอยู่ด้วยกันนั่นเอง ซึ่งทั้งคู่ก็หัวเราะให้แก่กันและกัน
ยิ่งเมื่อพรรคเพื่อไท มีมติเลือกให้ “คุณอิ๊งค์” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเต็มตัว ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความชัดเจนว่า เป้าหมายของ “แพทองธาร” คงไม่พ้นการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีในอนาคต ตามรอยผู้เป็นพ่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และผู้เป็นอาอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
เอาเข้าจริง ช่วงที่พรรคเพื่อไทยพลิกสถานการณ์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีความคิดเห็นคนในพรรคเพื่อไทย เสนอว่า ควรผลักดัน “คุณอิ๊งค์” ที่เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ในฐานะ “ลูกสาวเถ้าแก่” ขึ้นเป็นนายกฯเ หมือนกัน
แต่ก็มีเสียงค้านจาก “แม่อ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ที่มองว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ “ลูกนุชสุดท้อง” จะรับภารกิจใหญ่หลวงในการเป็นผู้นำประเทศ รวมทั้งอาจจะยังติดภารกิจส่วนตัว ในฐานะ “แม่ลูกอ่อน” ของ “น้องธาษิณ” ที่เพิ่งให้กำเนิดไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นี่เองด้วย
ว่ากันว่า “อุ๊งอิ๊งค์” ชัดเจนตั้งแต่มีการใส่ชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ว่า ไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯ ในรอบนี้ แต่ต้องการเข้ามาช่วยพรรค เพื่อเรียกคะแนนนิยม “คนรุ่นใหม่” และ “คนรักทักษิณ”
เมื่อชั่งตวงวัดรอบด้าน บวกกับเหตุผล “ทางการเมือง” และความเหมาะสมต่อภารกิจแก้ไขปัญหาของประเทศ หวยจึงออกที่ “เศรษฐา” ที่ถือว่ามีประสบการณ์ในแง่การทำงานมากกว่า
ส่วนตัว “แพทองธาร” ก็ไม่รับแม้กระทั่งตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล นัยหนึ่งก็เพราะมีความตั้งใจในการทุ่มเทเวลาขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อไม่เป็นชิงความโดดเด่นของ “นายกฯ พี่นิด” ในช่วงแรกของรัฐบาล ที่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างคะแนนนิยม
อย่างไรก็ดี ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 “นายกฯเ ศรษฐา” ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ขึ้น และมีชื่อ “แพทองธาร” เป็นรองประธานคณะกรรมการ วางภารกิจในการกำหนดรูปแบบ กติกา การส่งเสริมในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศตามนโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” (One Family One Soft Power – OFOS) ที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้
ก่อนที่ รองประธานคณะกรรมการซอฟพาวเวอร์ จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งครั้งแรกช่วงปลายเดือนกันยายน 2566 โดยได้ไปเดินชมงาน OTOP MIDYEAR 2023 ที่อิมแพค เมืองทองธานี มีรัฐมนตรี และ สส.เพื่อไทย ไปรอต้อนรับ “คุณอิ๊งค์” หลายคน จนมีเสียงกระเซ้าว่า แทบไม่ต่างจากการลงพื้นที่ของนายกฯ เลย
ต่อมา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 “แพทองธาร” จะเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ประชุมนัดแรก ที่ตึกสันติไมตรี ซึ่งถือเป็นการเข้าทำเนียบรัฐบาลครั้งแรกในรอบหลายปี และถือเป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้
นอกจากนี้ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เธอยังได้รับเชิญไปเป็นประธานเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 28 รวมไปถึงงาน THAILAND GAME SHOW 2023 ในอีกไม่กี่วันถัดมาด้วย
และเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2 โดยจัดประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศ ครั้งนี้ “เศรษฐา” ไม่ได้เข้าร่วมด้วย และมอบให้ “แพทองธาร” นั่งเป็นประธานการประชุม
หลังการประชุม “แพทองธาร” เปิดเผยว่า ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการ 11 สาขา ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย อาหาร กีฬา เฟสติวัล ท่องเที่ยว ดนตรี หนังสือ ภาพยนตร์ เกม ศิลปะ การออกแบบ และแฟชั่น ก่อนจะเสนอแผนต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อปรับปรุงกฎหมาย และขอเบิกงบประมาณต่อไป โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีการจัดประชุมกันทุกเดือน ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการแต่ละคณะได้เสนอแผนการดำเนินการ ซึ่งแบ่งเป็นระยะ คือแผนเร่งด่วนภายใน 100 วัน , แผนภายใน 6 เดือน และภายใน 1 ปี มานำเสนอ
ซึ่งก็เชื่อว่า มีการวางแผนไว้อยู่แล้วว่า จะใช้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นฟลอร์หลักให้ “อุ๊งอิ๊งค์” โชว์ผลงาาน และจากนี้ไป “นายกฯ นิด” คงไม่ได้เข้าร่วมประชุมมากนัก
ถัดมาตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า “แพทองธาร” ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ และได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการขับเคลื่อนนโยบาย “บัตรทองพลัส” หรือ “30 บาทพลัส” อีกด้วย
เรียกได้ว่า “คุณอิ๊งค์” มีภารกิจออกงาน และได้รับมอบหมายยิ่งกว่ารัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลเสียอีก
น่าสนใจไม่น้อยว่า ในแต่ละคณะกรรมการที่เจ้าตัวเป็นรองประธานอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่สอดรับกับนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทยแทบทั้งสิ้น โดยมี “มือทำงานของพ่อ” ทั้ง “พันศักดิ์ วิญญูรัตน์ - สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” และอีกหลายๆ คน ร่วมเป็นที่ปรึกษาอยู่ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยฐานะทรองประธานคณะกรรมการ ที่มีมีรัฐมนตรีหลายคนเป็นกรรมการหลายคน ก็ถือเป็นการวางโพซิชั่นที่เหนือกว่า รัฐมนตรี ให้เห็นอย่างชัดเจน
จนอาจพูดได้ว่า การ “อุ๊งอิ๊งค์” เริ่มเข้ามาปฏิบัติภารกิจในฐานะรัฐบาล อยู่ในช่วง “ฝึกงาน” เป็นนายกฯ มากกว่าการเป็น “นายกฯทเงา” โดยมี “นายกฯ พี่นิด” คอยเป็น “พี่เลี้ยง” และให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
และไม่ช้าไม่เร็วคงมีชื่อ “แพทองธาร” เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของรัฐบาล เพื่อยกระดับการฝึกงานอย่างแน่นอน
ในทางคู่ขนาน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ก็ยังถือเป็นการเปิดหน้าการทำงานทางการเมืองที่หนักแน่นมากขึ้นกว่า เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือการตระเวนหาเสียงทั่วประเทศที่ผ่านมา
เป็นการส่งสัญญาณชัดจาก “เถ้าแก่” ว่า ยังไม่ทิ้งพรรคเพื่อไทยตามที่มีเสียงค่อนขอดก่อนหน้านี้ แม้ว่าเป้าหมายส่วนตัวในการได้กลับประเทศสำเร็จแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ไฟเขียวให้ลูกเลิฟระดับ “ไข่ในหิน” ออกมาขับเคลื่อนเต็มตัว
เป็นการประกาศทายาททางการเมืองอย่างเป็นทางการอีกครั้งของ “เถ้าแก่ทักษิณ” ที่ด้วยวัย และคุณสมบัติในฐานะนักโทษชาย แม้พ้นโทษออกมา ก็ไม่สามารถมีตำแหน่งในทางการเมืองได้แล้ว
ตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่พ้น “ลูกอิ๊งค์” ด้วยรู้ดีว่าแบรนด์เพื่อไทยจะไปต่อได้ ก็ต้องอาศัยจุดขายตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน ก็คือความเป็น “ชินวัตร”
ส่วนตัว “แพทองธาร” เองวันนี้ก็ไม่ใช่ “ละอ่อนการเมือง” พิสูจน์แล้วว่ามี “แพสชั่น” ทางการเมืองระดับสุดขีด ได้รับถ่ายทอด “ดีเอ็นเอ” ความเป็นนักการเมืองมาจาก “พ่อทักษิณ” แบบเต็มๆ แม้ไม่ได้ถึงขั้น “บอร์นทูบี” เกิดมาเพื่อเป็นนายกฯ แต่ก็อินการเมืองมาตั้งแต่ 8 ขวบ ติดสอยห้อยคุณพ่อลงพื้นที่เกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
แล้วก็ยังมีภูมิคุ้มกันขั้นสูง ผ่านการเป็น “ตำบลกระสุนตก” จากพิษการเมืองก็หลายครั้ง รวมไปถึงผลกระทบจากการรัฐประหารในปี 2549 และปี 2557
ว่ากันว่าที่เลือก “อุ๊งอิ๊งค์” มาขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย ไม่เพียงเพราะความสนใจการเมืองส่วนตัว จากการติดตามพ่อลงพื้นที่สมัยเป็นนายกฯ จนท่องนโยบายของพรรคไทยรักไทยได้เป็นฉากๆ เท่านั้น ยังเป็นเพราะความที่ใบหน้าละม้ายคล้าย “ทักษิณ” กว่าบรรดาพี่น้องอีกด้วย
ส่วนเรื่องวัยวุฒิ คุณวุฒิ การศึกษา ประสบการณ์ทำงานในภาคเอกชน ถือว่าไม่น้อยหน้าใคร ขาดเพียงประสบการณ์ทำงานทางการเมืองที่ยังไม่มีโอกาส อาจจะเปรียบได้กับสมัย “ยิ่งลักษณ์” ได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ เมื่อปี 2554 โดยใช้เวลา 49 วันถ้วนในการหาเสียง
ซึ่งก็มีบทเรียนให้เห็นแล้วว่า แม้จะมีประสบการณ์ในภาคเอกชน มีคะแนนนิยมสูง แต่ถือว่าภูมิคุ้มกันทางการเมืองไม่แข็งแรงมากนัก มาครั้งนี้ “ลูกอิ๊งค์” จึงต้องครบเครื่องกว่าเดิม ปั้นใหม่ให้แกร่งกว่า “นายกฯ อาปู”
ไม่แปลกที่ “พ่อษิณ” จะส่ง “ลูกอิ๊งค์” มาเปิดตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ล่วงหน้าก่อนจะมีการเลือกตั้งร่วม 3 ปี และยังเป็นตัวหลักในการปราศรัยหาเสียงแบบเกือบเต็มแคมเปญ เว้นวรรคช่วงไปคลอด “น้องธาษิณ” ไม่กี่วันเท่านั้น
การวางตัว “แพทองธาร” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค นอกเหนือจากความชัดเจนในแง่ความเป็น “ลูกเถ้าแก่” ที่ตอบโจทย์ในแง่การเมือง การบริหารจัดการภายในพรรค รวมไปถึงการเรียกศรัทธาจาก “ติ่งทักษิณ-คนเสื้อแดง” ได้
ยังมีโจทย์สำคัญในการปรับยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ตกพุ่มมาเป็น “ฝ่ายขวาใหม่” ที่ต้องสู้กับ “ซ้ายสุดขอบ” อย่างพรรคก้าวไกล
จุดชี้เป็นชี้ตายคงไม่พ้นกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” แข่งกับคู่แข่งอย่าง “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล แต่ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ “แพทองธาร” ลงมาเล่นสุดตัวแล้ว แต่ก็พลาดท่าพ่ายให้กับพรรคก้าวไกล ก็ถือเป็นคำถามตัวโตๆ สำหรับ “อุ๊งอิ๊งค์” และพรรคเพื่อไทยต้องพยายามหาคำตอบต่อไป
ซึ่งในความเป็น “อุ๊งอิ๊งค์” ที่มีจุดเด่นในฐานะ “ลูกทักษิณ” แต่ถ้ามองมุมกลับก็กลายมาเป็น “จุดด้อย” ที่จะถูกมองว่าเป็น “ร่างทรงของพ่อ” จนทำให้ไม่สามารถขายความเป็น “คนรุ่นใหม่” ได้ไม่เต็มที่
เวทีการทำงานกับรัฐบาล โดยเฉพาะกรรมการซอฟพาวเวอร์ น่าจะเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับให้กับตัว “แพทองธาร” รวมทั้งมีหลายส่วนงานในเรื่องซอฟพาวเวอร์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ตามที่ตั้งไว้ด้วย
ประเด็นเรื่อง “ทักษิณ” ก็มีความสำคัญต่ออนาคตของ “แพทองธาร” ไม่น้อย เพราะการที่ “ผู้พ่อ” ยังเลือกถูกจองจำอยู่ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ด้วยข้ออ้างว่าป่วยหนัก ก็ถือเป็น “รอยด่าง” ติดตัวในแง่ความไม่เท่าเทียม-เลือกปฏิบัติ ของหน่วยงานที่เกี่ยวจข้องได้เหมือนกัน
ดีที่ “ลูกอิ๊งค์” ไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาล มิเช่นนั้นคงต้องวนเวียนตอบคำถามเรื่องพ่อ จนกลบเรื่องอื่นๆ เสียสนิท เมื่อไม่มีตำแหน่งเกี่ยวข้องกับการถูกคุมขังของพ่อ คำถามที่มีถึงก็มีแค่อาการป่วย และความคืบหน้าในการยื่นขอพักโทษเท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อนเอาตัวรอดไปได้
ต้องมองกันต่อว่า หลังจากที่ “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ หรือพ้นโทษในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะวางตัวเองในทางการเมืองไว้ตรงไหน แม้หน้าฉากจะบอกว่าวางมือ แต่ร้อยร้อยทั้งคงไม่มีใครเชื่อ
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ทักษิณ” อาจเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะที่ปรึกษารัฐบาล หรือที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย โดยอยู่ในระหว่างชั่งน้ำหนักว่า จะบวกหรือลบมากกว่ากัน
เอาเข้าจริงด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เป็นช่วงต้นรัฐบาล ก็ไมมีเหตุผลอะไรต้องไม่รีบร้อนเร่งให้ “อุ๊งอิ๊งค์” โต เพราะหาก “เศรษฐา” ทำผลงานได้ดี ยืนระยะได้ ก็ยังเป็นนายกฯ ได้อีก 1 สมัย หากไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญในส่วนนี้
ด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่คนๆ หนึ่งสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 8 ปี
แล้วค่อยให้ “อุ๊งอิ๊งค์” ที่วันนี้อายุแค่ 37 ขวบ อายุงานเหลือเฟือ ยังต้องฝึกงาน สั่งสมประสบการณ์ แต่งตัวให้พร้อมที่สุดมารับไม้ต่อก็ยังไม่สาย
โดยมีโจทย์สำคัญว่า ต้องนำพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปด้วย.