"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
จอห์น ล็อค นักปรัชญาการเมืองผู้เรืองนามชาวอังกฤษแห่งยุคศตวรรษที่ 17 (1632 – 1704 ) แนวคิดเรื่องอำนาจของล็อคมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความคิดทางการเมือง และมีส่วนในการกำหนดรูปแบบระบบการเมืองสมัยใหม่อย่างมาก หลักคิดที่ว่ารัฐมาจากความยินยอมของประชาชน รัฐมีอำนาจอย่างจำกัด การแบ่งแยกอำนาจ และการตรวจสอบและถ่วงดุลกลายเป็นเสาหลักของการปกครองแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ก่อนอื่น เรามากำหนดนิยามของอำนาจตามแนวคิดของล็อคกันก่อน สำหรับเขา อำนาจสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นความสามารถของบุคคลหนึ่งในการทำให้ผู้อื่นกระทำการตามความประสงค์ของตน ขอบเขตของอำนาจไม่ได้เป็นเพียงพลังทางกายภาพเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงความสามารถในการชักจูง ชักชวน หรือโน้มน้าวผู้อื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ และล็อคยังตระหนักถึงความสำคัญของอำนาจในความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง เนื่องจากเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการกระทำของบุคคลในสังคม
แนวคิดเรื่องอำนาจของล็อคยังกล่าวถึงความสำคัญของความเป็นอิสระและเหตุผลของแต่ละบุคคลด้วย เขาเชื่อว่าบุคคลมีสิทธิโดยธรรมชาติในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง และเหตุผลดังกล่าวควรเป็นแนวทางในการปฏิสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคม ล็อคโต้แย้งแนวคิดเรื่องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสนับสนุนแนวคิดเรื่องรัฐบาลที่มีเหตุผลและเป็นตัวแทน การเน้นย้ำถึงความเป็นอิสระและความมีเหตุผลของแต่ละบุคคลมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมและความเชื่อในคุณค่าและศักดิ์ศรีโดยธรรมชาติของมนุษย์
ในมุมมองของ จอห์น ล็อค อำนาจมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ
1. อำนาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ล็อคชี้ว่าอำนาจมีอยู่เฉพาะในความสัมพันธ์กับผู้อื่นเท่านั้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถของบุคคลหนึ่งที่จะส่งผลต่อการกระทำหรือความคิดของบุคคลอื่น อำนาจไม่ใช่คุณภาพโดยธรรมชาติที่บุคคลครอบครอง แต่เป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีพลังระหว่างผู้คน
2. อำนาจเป็นทรัพยากรที่จำกัด ล็อคเชื่อว่าอำนาจนั้นมีจำกัดและดำรงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด เขาอธิบายว่าอำนาจนั้นได้มาจากความยินยอมของผู้อื่นและมอบให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ดังนั้นอำนาจจึงไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์และบุคคลหรือกลุ่มบุคคลจะมีอำนาจได้เฉพาะในขอบเขตที่ผู้อื่นมอบให้เท่านั้น
3.อำนาจดำรงอยู่เพียงชั่วคราว ล็อคมองว่าอำนาจมีการเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลาและไม่คงที่ เขาเน้นย้ำว่าอำนาจดำรงอยู่อย่างตายตัวถาวรในตัวบุคคลหรือกลุ่มใด ๆ แต่อำนาจสามารถได้มา สูญเสีย หรือถ่ายโอนได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้ อำนาจจึงเป็นแนวคิดที่ลื่นไหลซึ่งมีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา
หลักการอำนาจการเมืองมาจากความยินยอมมีฐานคิดว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมามีสิทธิโดยธรรมชาติ อันได้แก่ สิทธิในการดำรงชีวิต เสรีภาพ และสิทธิในทรัพย์สิน มนุษย์จัดตั้งชุมชนและสังคมเพื่ออยู่ร่วมกัน แต่การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากย่อมมีปัญหาและความขัดแย้งได้ มนุษย์จึงมาตกลงกันโดยสมัครใจที่จะสละเสรีภาพตามธรรมชาติบางส่วนเพื่อแลกกับการคุ้มครองสิทธิของพวกเขา โดยมอบอำนาจให้แก่บุคคลหรือคณะบุคคล เพื่อใช้อำนาจในนามของพวกเขา ความยินยอมจึงเป็นพื้นฐานของอำนาจทางการเมืองที่ชอบธรรม
แนวคิดเรื่องอำนาจมาจากความยินยอมของประชาชนมีความแตกต่างอย่างมากจากมุมมองดั้งเดิมในยุคนั้น ซึ่งมีบริบทการเมืองเป็นแบบศักดินาที่เน้นย้ำถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครอง และแนวคิดที่ว่าผู้ปกครองมีความเหนือกว่าและมีสิทธิโดยธรรมชาติในการปกครอง อำนาจถูกมองว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ผู้ปกครอง ขณะที่แนวคิดเรื่องอำนาจของจอห์น ล็อคได้ท้าทายมุมมองดั้งเดิมเหล่านี้ ด้วยการอธิบายอย่างเป็นระบบและชอบด้วยเหตุผลว่าอำนาจรัฐมาจากประชาชน ไม่ใช่มาจากพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด
ล็อคได้จำแนกความยินยอมออกเป็นสองประเภทหลัก ประเภทแรกคือ ความยินยอมส่วนบุคคล ซึ่งล็อคเชื่อว่าบุคคลในสภาวะธรรมชาติมีสิทธิตามธรรมชาติ เช่น สิทธิในการดำรงชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน ซึ่งได้มาจากกฎธรรมชาติ บุคคลต่าง ๆ สร้างรัฐเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพที่พวกเขามีแต่ไม่สามารถใช้ได้ในสภาวะธรรมชาติ ความยินยอมของแต่ละบุคคลจะเป็นกลไกในการสร้างสังคมการเมืองและปัจเจกบุคคลสามารถเข้าร่วมสังคมเหล่านั้นได้ ประเภทที่สองคือการยินยอมโดยปริยาย ซึ่งหมายถึงแนวคิดที่ว่าบุคคลใดที่อาศัยอยู่ภายในรัฐและได้รับผลประโยชน์จากรัฐ จะต้องสันนิษฐานว่าบุคคลนั้นยินยอมต่ออำนาจของรัฐ ตามแนวคิดของล็อค บุคคลทุกคนที่มีการครอบครองหรือพึงพอใจกับส่วนใดส่วนหนึ่งของอำนาจการปกครองของรัฐบาลใด ๆ จะต้องให้ความยินยอมโดยปริยาย และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐบาลนั้น
ความยินยอมทั้งสองรูปแบบเป็นข้อตกลงตามข้อเท็จจริง และแสดงให้เห็นว่าบุคคลจะตกลงตามเงื่อนไขของสัญญาประชาคมหากได้รับการเสนอผลประโยชน์อย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดความยินยอม สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักคือ ความยินยอมเป็นกระบวนการพลวัตระหว่างการรับรู้ถึงความจำเป็นของการมีรัฐบาล กับการยอมรับมติของประชาชนที่เป็นตามเจตจำนงอิสระ นั่นหมายความว่า บุคคลสามารถเพิกถอนความยินยอมได้หากรัฐบาลล้มเหลวในการปกป้องสิทธิตามธรรมชาติของพวกเขา และล็อคชี้ว่า คุณภาพของรัฐบาลขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลนั้นมีความชอบธรรมหรือไม่ หากรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมอย่างรัฐบาลเผด็จการที่ได้อำนาจรัฐมาโดยการบังคับด้วยกำลังอาวุธ ล็อคชี้ว่า การที่บุคคลใช้ถนนหรือยอมรับระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนยินยอมต่อระบอบการปกครองนั้น
แม้แต่รัฐบาลที่ได้รับการถ่ายโอนอำนาจจากความยินยอมประชาชน ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะสามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ ล็อคระบุว่า รัฐบาลต้องมีขอบเขตอำนาจที่จำกัดและใช้อำนาจโดยรับผิดชอบต่อประชาชน จุดประสงค์หลักในการใช้อำนาจของรัฐบาลคือ การปกป้องสิทธิตามธรรมชาติของบุคคล เช่น ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน หากรัฐบาลใช้อำนาจก้าวล้ำขอบเขตหรือละเมิดสิทธิเหล่านี้ ไม่ว่าจะในการออกหรือบังคับใช้กฎหมาย หรือมีการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งหรือละเมิดระบบกรรมสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน ประชาชนก็มีสิทธิที่จะต่อต้านหรือโค่นล้มรัฐบาลและทวงอำนาจกลับคืนมาได้
ในการสร้างหลักประกันว่าอำนาจจะถูกใช้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ล็อคเสนอว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สังคมต้องสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา และเขาเน้นย้ำว่าไม่ควรมีบุคคลหรือหน่วยงานใดที่ครอบครองอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะอาจนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการ ล็อคระบุว่า ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลเกิดขึ้นได้ด้วยการแบ่งแยกอำนาจและมอบหมายให้สถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ ใช้อำนาจเฉพาะเรื่อง
ล็อคจำแนกอำนาจรัฐออกเป็นสามด้านคือ อำนาจในการออกกฎหมาย อำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย และอำนาจในการทำสงครามและการต่างประเทศ อำนาจในออกกฎหมายเป็นอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ อำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเป็นอำนาจบริหาร ซึ่งรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ และอำนาจในการทำสงครามและสนธิสัญญากับรัฐต่างประเทศเป็นอำนาจที่ต้องใช้การตัดสินใจร่วมกันของรัฐบาลกับรัฐสภา การแยกอำนาจออกจากกันช่วยป้องกันการรวมศูนย์อำนาจในมือของบุคคลหรือคณะบุคคล ซึ่งเป็นหลักประกันว่าการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถป้องกันการละเมิดสิทธิของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐในทางที่มิชอบได้
ประเด็นสำคัญอีกประการของล็อคที่จะหยิบยกมากล่าวในที่นี้คือ “สิทธิในการปฏิวัติ” ซึ่งล็อคมองว่าเป็นสิทธิที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติของประชาชนเช่นเดียวกัน เขาตั้งข้อสังเกตว่าหากรัฐบาลล้มเหลวในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของสัญญาทางสังคม พลเมืองที่ถูกปกครองก็มีสิทธิทางศีลธรรมที่จะโค่นล้มและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมาแทน ล็อคเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า รัฐบาลดำรงอยู่เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองของตนเท่านั้น และหากสิทธิเหล่านั้นถูกละเมิดอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องลุกขึ้นมาจัดการรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ล็อคระบุว่าสิทธิในการปฏิวัติไม่ใช่การกระทำตามอำเภอใจ แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเฉพาะ เงื่อนไขเหล่านี้มีศูนย์กลางอยู่ที่แนวคิดเรื่องการปกครองแบบเผด็จการ สำหรับล็อค การปกครองแบบเผด็จการครอบคลุมถึงการกระทำใด ๆ ของรัฐบาลที่ปฏิเสธสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง การใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือใช้อำนาจในทางที่ผิดในลักษณะที่กดขี่ประชาชน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติที่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้
ในบทนิพนธ์เรื่อง “หนังสือสองเล่มว่าด้วยการปกครอง" (Two Treatises of Government) ล็อคได้ยกตัวอย่างเงื่อนไขของการปฏิวัติ เขาให้เหตุผลว่าหากรัฐบาลเพิกเฉยต่อสิทธิของบุคคลอย่างโจ่งแจ้ง ก่อให้เกิดการทุจริต หรือกระทำการที่ขัดต่อประโยชน์ส่วนรวม ประชาชนก็มีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องต่อต้าน ล็อคเชื่อว่าสิทธิในการปฏิวัติไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกรณีที่รัฐบาลที่กดขี่หรือเผด็จการเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงกรณีที่รัฐบาลล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองของตน
เพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิในการปฏิวัติจะไม่ตกอยู่ภายใต้ความสับสนวุ่นวายหรืออนาธิปไตย ล็อคจึงกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขบางประการในการใช้สิทธิของตนว่า
1. การปฏิวัติควรเป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งใช้หลังจากใช้วิธีสันติไม่ได้ผลเท่านั้น เช่น การร้องทุกข์ การประท้วง และความพยายามอื่น ๆ ทุกอย่างที่จะแก้ไขความคับข้องใจของประชาชนแต่กลับล้มเหลว
2 การปฏิวัติที่แท้จริงจะต้องมีรากฐานมาจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชน และมีการนำโดยผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมายที่เหมาะสมในการดำเนินการในนามของประชาชน
ในทางปฏิบัติ หมายความว่าล็อคปฏิเสธความคิดเรื่องการลุกฮืออย่างรุนแรงโดยบุคคลหรือกลุ่มเล็ก ๆ ที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาล แต่เขากลับสนับสนุนความพยายามร่วมกันของคณะพลเมือง โดยดำเนินการผ่านอำนาจชอบธรรมหรือสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น
โดยสรุป ล็อคมองว่าอำนาจรัฐมาจากความยินยอมของประชาชนที่ร่วมทำสัญญาสละอำนาจบางส่วนของตนเองให้แก่บุคคลหรือคณะบุคคลไปใช้อำนาจในนามพวกเขา แต่อำนาจรัฐมีขอบเขตที่จำกัด และใช้เพื่อปกป้องสิทธิ ชีวิต และทรัพย์สินของพลเมืองเท่านั้น หากรัฐใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ลิดรอนสิทธิ กดขี่ และทุจริต ประชาชนมีสิทธิอย่างชอบธรรมในการทวงอำนาจคืนโดยสันติวิธี แต่หากใช้ไม่ได้ผล ประชาชนมีสิทธิปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล แต่ต้องเป็นวิธีการสุดท้าย เป็นเจตจำนงร่วมของพลเมือง และมีการนำโดยบุคคลหรือคณะบุคคลที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย