เป็นเวลา 2 อาทิตย์เต็มๆ ที่มีสงครามยิงขีปนาวุธและปืนใหญ่ถล่มกันหนักหน่วงระหว่างกองทัพเต็มรูปแบบของอิสราเอล กับกลุ่มติดอาวุธฮามาสที่ฉนวนกาซา หลังจากฮามาสเปิดปฏิบัติการ “อัลอักซอท่วมไหลบ่า” (Al-Aqsa Flood) ในช่วงรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม-ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปีสงครามระหว่างอียิปต์ร่วมกับซีเรีย ในปี 1973 ที่ถล่มอิสราเอล เพื่อขับอิสราเอลออกไปจากดินแดนกาซา และอิสราเอล (ซึ่งตะวันตกได้ให้ความร่วมมือส่งอาวุธและการสนับสนุนทางการเงิน, การทหารอย่างเต็มที่) ก็ได้ชัยชนะต่ออียิปต์และซีเรียอีก ดังเช่นสงคราม 6 วัน (ปี 1967 ระหว่างรัฐอาหรับที่ถล่มอิสราเอล และอิสราเอลก็ชนะ-นำโดยนายพลตาเดียว โมเช่ ดายัน เพราะฝ่ายตะวันตกให้การสนับสนุนทางการทหารแก่อิสราเอลอย่างเต็มพิกัด)
นายกฯ อิสราเอลคือนายเนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลมีสิทธิปกป้องแผ่นดินอิสราเอล หลังจากถูกฮามาสถล่มแบบยิบตาและด้วยสเกลที่ใหญ่กว่าทุกๆ ครั้งในรอบ 75 ปีด้วยซ้ำ และเป็นทีเผลอของอิสราเอลที่กำลังเพลินว่า กองกำลังฮามาสไม่มีสมรรถนะพอจะถล่มอิสราเอลได้ และเป็นช่วง 9 เดือนเต็ม (ตั้งแต่เดือนมกราคมต้นปีนี้) ที่อิสราเอลแตกแยกอย่างหนักภายในประเทศ ที่มีการเดินขบวนต่อต้านเนทันยาฮูที่พยายามเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อลดอำนาจฝ่ายตุลาการ (ที่กำลังจะตัดสินคดีที่เนทันยาฮูถูกฟ้องร้องการฉ้อราษฎร์บังหลวง)
ผู้นำตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ ประกาศยืนเคียงข้างอิสราเอลและสนับสนุนทุกรูปแบบให้เนทันยาฮูจัดการปราบฮามาสให้สิ้นซาก...พร้อมกับประเทศต่างๆ ที่ทยอยประกาศสนับสนุนเนทันยาฮูได้แก่ จี 7, นาโต, สหภาพยุโรป
ด้านประเทศอาหรับต่างดาหน้ากันออกมาพยายามให้ทั้งสองฝ่ายอดกลั้น และพยายามไม่ให้มีการขยายวงของสงคราม... โดยอยากให้มีการเจรจา...รวมทั้งให้เน้นเรื่องการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม...นับว่าจุดยืนของเหล่าประเทศอาหรับส่วนใหญ่ ไม่ได้หนักแน่นเหมือนช่วงสงคราม 6 วัน (1967) และ 1973
โดยเฉพาะมีประเทศอาหรับบางประเทศเริ่มเข้าร่วมสนธิสัญญาอับราฮัม (Abraham Accord) ผลงานชิ้นโบแดงของอดีตปธน.ทรัมป์...ที่ลูกเขยคุชเนอร์ (ซึ่งเป็นคนยิว) ได้จัดทำขึ้นในช่วงปลายสมัยของตำแหน่งปธน.ทรัมป์...ซึ่งมีประเทศอาหรับทยอยเข้าร่วม เช่น ยูเออี, จอร์แดน, โมร็อกโก เป็นต้น...และล่าสุด เกือบที่ซาอุดีอาระเบีย-พี่ใหญ่แห่งอาหรับ กำลังจะลงนามสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลอยู่พอดี จากการเป็นตัวกลางของปธน.ไบเดน นั่นเอง (เพราะสหรัฐฯ จะต้องตัดไฟแต่ต้นลมที่ซาอุฯ ไปจับมือสร้างสัมพันธ์กับอิหร่าน จากการเป็นตัวกลางของรมต.ต่างประเทศจีน นายหวัง อี้ นั่นเอง)
หลังการโจมตีจากฮามาสในปฏิบัติการอัลอักซอท่วมไหล่บ่า ก็มีการแสดงความยินดีจากอิหร่านต่อชัยชนะของฮามาส แต่ก็ได้ปฏิเสธ ที่สหประชาชาติว่า อิหร่านไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจกับการปฏิบัติการครั้งนี้ของฮามาส; แม้ รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ นายแอนโทนี บลิงเคน จะออกมาย้ำว่า ยังไม่มีหลักฐานมัดว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีสายฟ้าแลบครั้งนี้ แต่จากหลักฐานในอดีตมีความเชื่อมโยงว่าอิหร่านให้การสนับสนุนอาวุธแก่กลุ่มฮามาสมาตลอด (มีนสพ.วอลล์สตรีทฉบับเดียว ที่อ้างแหล่งข่าว-คงหมายถึงสายลับอิสราเอลที่แฝงตัวอยู่กับขบวนการฮามาส-หรือในกองทัพอิหร่าน-ได้รายงานวันที่ 11 ต.ค.ว่า มีการประชุมวางแผนถล่มอิสราเอลอยู่หลายครั้ง และครั้งล่าสุดก่อนเกิดปฏิบัติการ 7 ต.ค.มีการประชุมที่เมืองเบรุต โดยมีนายทหารระดับสูงของอิหร่านเข้าร่วมวางแผนปฏิบัติการสายฟ้าแลบครั้งนี้) กับหัวหน้าฮามาส)
ด้านสมาชิกอาเซียน ก็อย่างที่เราได้ทราบโดยทั่วไปว่า นายกฯ เศรษฐาของไทยเป็นประเทศแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม X (หรือทวิตเตอร์เก่า) ออกมาประณามกองกำลัง (ฮามาส) ที่โจมตีอย่างไร้มนุษยธรรมต่อประชาชนอิสราเอล...ขณะที่นายกฯ มาเลเซียออกมาแสดงความเห็นใจที่ฮามาสอดทนไม่ไหวต่อการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชน และแย่งดินแดนฝ่ายของฝ่ายอิสราเอลตลอด 70 ปีที่ผ่านมา จนระเบิดปฏิบัติการต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนปาเลสไตน์…ขณะที่อินโดนีเซียก็มีคำแถลงอย่างเป็นทางการว่า ปฏิบัติการ 7 ต.ค.จากฝ่ายฮามาสนั้น ต้องไปดูที่ต้นรากอันเป็นที่มาของปฏิบัติการของฮามาสครั้งนี้ ซึ่งเป็นการชี้ไปถึงบทบาทของอิสราเอลที่รังแกข่มเหงโหดเหี้ยมต่อชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะฉนวนกาซามาอย่างสาหัสสากรรจ์
โดยมีคำแถลงของฟิลิปปินส์ก็เข้าข้างอิสราเอลที่ถูกโจมตีแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้
ฝ่ายปธน.ปูตินก็เน้นถึงที่มาที่ฮามาสต้องมีปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ เพราะชาวปาเลสไตน์ถูกรังแกดูหมิ่นเหยียดหยาม และแย่งชิงดินแดน (ยังกะปล้นกลางแดด) เพราะนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จนทำให้ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ
รัสเซียพยายามเสนอข้อมติในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ให้ใช้การเจรจา-การหยุดยิง และจัดทำระเบียงมนุษยธรรมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ...แต่มตินี้กลับถูกวีโตโดยสหรัฐฯ ที่บอกว่าข้อเสนอมติของรัสเซีย ไม่มีการประณามกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นผู้ก่อสงครามในครั้งนี้!!
ด้านจีนก็มีข้อเสนอให้อดกลั้นทั้งสองฝ่าย และหาทางเจรจาหยุดยิง เพื่อรักษาชีวิตประชาชนที่กำลังล้มตายเป็นจำนวนมาก...แต่ที่น่าสนใจยิ่งคือ คำแถลงของรมต.ต่างประเทศหวัง อี้ ที่ออกมาย้ำว่า การประกาศโดยนายกฯ อิสราเอลว่าจะบดขยี้กาซาให้สิ้นซาก ทั้งตัดน้ำ ตัดไฟ, ตัดทางส่งอาหารและยา เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุในการตอบโต้ต่อการจู่โจมเช้าวันที่ 7 ต.ค. เขาบอกว่า โลกต้องเข้าใจว่า วันนี้ชาวยิวไม่ใช่ผู้เร่ร่อน (homeless) อีกต่อไป ทางยิวมีดินแดนเป็นฝั่งเป็นฝาคือ ประเทศอิสราเอล แต่กำลังใช้ข้ออ้างว่า จะต้องบดขยี้ชาวปาเลสไตน์ (โดยเฉพาะฉนวนกาซา เพราะต้องพิทักษ์ดินแดนอิสราเอล) ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะปกป้องพิทักษ์ดินแดนแผ่นดินของตน
หวัง อี้ ชี้ให้เห็นว่า ขณะที่ยิวมีรัฐเป็นประเทศอธิปไตย แต่ชาวปาเลสไตน์กลับยังไม่มีประเทศของตน...และขณะนี้อิสราเอลกำลังบดขยี้เลยออกนอกแผ่นดินอธิปไตยของอิสราเอล เข้าไปในดินแดนกาซาเพื่อลบชาวปาเลสไตน์ไม่ให้มีแผ่นดินหรือมีเผ่าพันธุ์เหลืออยู่เลย!!
เช่นเดียวกับนายโจเซฟ บอร์เรลล์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ดูแลนโยบายต่างประเทศของอียู ซึ่งเป็นนักการเมืองอาวุโสของสเปน และเคยดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรป ได้ออกมาชี้ว่า อิสราเอลกำลังทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ต้องการลบชาวกาซาให้หมดไปจากแผนที่โลก โดยนายโจเซฟ บอร์เรลล์ ได้อ้างบทบัญญัติของสหประชาชาติว่า ในการทำสงครามจะต้องไม่มีการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอาหาร (และยา) ต่อประชาชนของประเทศศัตรู (เพราะประชาชนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องมาลำบากสาหัสล้มตาย)
นายโจเซฟยังตำหนิการด่วนตัดสินใจ (คนเดียว) หัวหน้าของอียูฝ่ายความช่วยเหลือต่อปาเลสไตน์ ที่ไม่ได้นำเรื่องเข้าปรึกษาขอมติจากอียู แล้วออกมาประกาศตัดความช่วยเหลือ (มีงบช่วยเหลือปาเลสไตน์เป็นรายปีทุกๆ ปี) เพราะอียูจะไม่ตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อปาเลสไตน์อย่างแน่นอน เพียงแต่จะเข้าไปตรวจเข้มให้ความช่วยเหลือนี้ไม่หลงแอบไปช่วยฮามาสเท่านั้น ซึ่งอียูเพิ่งออกมาแถลงว่า ไม่ได้ตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ปาเลสไตน์ในขณะนี้