"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
นักปราชญ์ชาวกรีกอีกท่านหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับอำนาจคืออริสโตเติล ผู้เป็นศิษย์เอกของเพลโต และมีอิทธิพลต่อความคิดของคนรุ่นหลังไม่ยิ่งหย่อนกว่าเพลโต หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ อันที่จริงอริสโตเติลเขียนหนังสือไว้จำนวนมากครอบคลุมเรื่องราวทั้งด้านปรัชญา การเมือง ตรรกศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ แต่ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะเรื่องอำนาจและระบอบการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจ งานเขียนของเขาโดยเฉพาะเรื่อง “การเมือง” (Politics) เสนอมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับอำนาจทั้งในแง่ รูปแบบ แหล่งที่มา และความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในสังคม
อริสโตเติลนิยาม อำนาจ หรือ “ดูนามิส” (dunamis) ว่า เป็นศักยภาพหรือความสามารถของวัตถุหรือสรรพสิ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือก่อให้เกิดผลกระทบ อำนาจไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการครอบงำหรือการควบคุมเหนือผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการตระหนักถึงศักยภาพของตนเองหรือบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองด้วย เขาให้เหตุผลว่าอำนาจมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดเรื่อง “entelechy” (การตระหนักถึงจุดประสงค์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) อริสโตเติลเชื่อว่าทุกสิ่งในธรรมชาติมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายโดยธรรมชาติ และอำนาจคือความสามารถในการทำให้จุดประสงค์นั้นเป็นจริง
อริสโตเติลจำแนกอำนาจออกเป็นสองประเภทคือ อำนาจแห่งการครอบงำ (power of domination) ซึ่งเป็นการใช้กำลังหรือการบังคับ และอำนาจแห่งการโน้มน้าวใจ (power of persuasion) อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลถือว่าอำนาจแห่งการโน้มน้าวใจเป็นอำนาจรูปแบบที่สูงกว่า เพราะสอดคล้องกับความสามารถของมนุษย์อันได้แก่การใช้เหตุผล
อำนาจแห่งการครอบงำเป็นความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในการควบคุมและใช้อำนาจเหนือผู้อื่นโดยใช้กำลังหรือการบังคับ เกี่ยวข้องกับความสามารถในการกำหนดเจตจำนงของตนต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา อำนาจนี้เป็นอำนาจทางการเมืองหรือเชื่อมโยงกับการปกครองและถูกใช้โดยผู้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
พื้นฐานของอำนาจแห่งการครอบงำคือ การอาศัยกำลังทางกายภาพ ความกลัว หรือทรัพยากรที่เหนือกว่า เช่น กองกำลังทางทหาร หรือการควบคุมทางเศรษฐกิจ และเกี่ยวข้องกับโครงสร้างแบบลำดับชั้นที่ผู้ปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชน
อริสโตเติลตระหนักว่าอำนาจที่มีพื้นฐานมาจากการครอบงำเพียงอย่างเดียวนั้นมีข้อจำกัด สามารถนำไปสู่การต่อต้าน การกบฏ และความไม่มั่นคงหากถูกมองว่าไม่ยุติธรรมหรือกดขี่ นอกจากนี้ ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การปกครองที่ยั่งยืนหรือสงบสันติ อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลเชื่อว่าจุดประสงค์ของอำนาจทางการเมืองควรเป็นการส่งเสริมความดีส่วนรวมและความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง อำนาจแห่งการครอบงำเมื่อกระทำในลักษณะที่ยุติธรรมและมีคุณธรรม จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ แต่มักจะไม่บรรลุเป้าหมายเมื่อกลายเป็นการกดขี่ข่มเหง
ในทางกลับกัน อำนาจแห่งการโน้มน้าวใจ หรือความสามารถในการโน้มน้าวและชี้นำผู้อื่นโดยการใช้เหตุผล อารมณ์ และจริยธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้วาทศิลป์ การโต้แย้ง และการสื่อสารเพื่อให้ได้รับความยินยอมและการสนับสนุนจากผู้อื่น อริสโตเติลถือว่าอำนาจของการโน้มน้าวใจเป็นรูปแบบอำนาจที่มีความชอบธรรมและยั่งยืน เพราะขึ้นอยู่กับความยินยอมและความร่วมมือของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือประชาชน และทำให้มีโอกาสน้อยที่จะนำไปสู่การต่อต้านหรือการกบฏ
สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าอริสโตเติลสนับสนุนอำนาจประเภทนี้คือ เขาได้เขียนงานเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับศิลปะวาทศาสตร์ โดยเน้นความสำคัญของการสื่อสารที่โน้มน้าวใจ ซึ่งระบุองค์ประกอบสำคัญสามประการของวาทศาสตร์เพื่อการโน้มน้าวใจคือ การใช้ตรรกะ (logos) การชักนำทางอารมณ์ (pathos) และการใช้หลักจริยธรรม (ethos)
อริสโตเติลเชื่อว่าอำนาจแห่งการโน้มน้าวใจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธรรมาภิบาลและการส่งเสริมการกระทำที่มีคุณธรรมในสังคม ผู้นำควรใช้การโน้มน้าวใจเพื่อชี้นำประชาชนไปสู่ความดีส่วนรวมและชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ยิ่งกว่านั้นอริสโตเติลยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อำนาจผ่านการโน้มน้าวใจ และเสนอว่าผู้นำควรเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม ซึ่งปฏิบัติตามหลักจริยธรรมและค่านิยมเชิงศีลธรรม เช่น การไม่โกหกประชาชน เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากประชาชน
อำนาจแห่งการโน้มน้าวใจของอริสโตเติลจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบูรณาการระหว่างตรรกะหรือความความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การใช้อารมณ์เชิงบวก และคุณธรรม ซึ่งจะทำให้สามารถในการโน้มน้าวผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม โดยไม่มีการใช้ปัจจัยทางทหาร กฎหมาย หรือเศรษฐกิจมาบีบบังคับ
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในแนวคิดเรื่องอำนาจของอริสโตเติลคือ การที่เขาได้เชื่อมโยงอำนาจกับแนวคิดเรื่องคุณธรรม โดยย้ำว่าอำนาจที่แท้จริงไม่ใช่แค่ความสามารถในการควบคุมหรือครอบงำผู้อื่น แต่เป็นความสามารถในการใช้คุณธรรมและประพฤติตนมีศีลธรรม ในความเห็นของเขา คนมีคุณธรรมจะแสดงรูปแบบอำนาจในเชิงบวก เพราะพวกเขามีความรู้และความสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายของตนโดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่นด้วย
อริสโตเติลอธิบายต่อว่า บุคคลที่มีคุณธรรมมีคุณสมบัติทางศีลธรรมและสติปัญญาที่จำเป็นต่อการใช้อำนาจแห่งการโน้มน้าวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามหลักจริยธรรม พวกเขามีความสามารถในการเข้าใจและสื่อสารความจริง ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และสร้างแรงบันดาลใจและจูงใจผู้อื่นผ่านการโต้แย้งที่น่าเชื่อถือ
สำหรับแหล่งที่มาของอำนาจอริสโตเติลก็จำแนกออกเป็นสองประเภทเช่นเดียวกัน อย่างแรกคือ “อำนาจตามธรรมชาติ” อำนาจประเภทนี้ หมายถึง ศักยภาพโดยธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตมีอยู่เนื่องจากธรรมชาติของพวกมัน ตัวอย่างเช่น นกมีพลังธรรมชาติในการบิน และพืชมีพลังธรรมชาติในการเติบโต กล่าวอีกนัยหนึ่งอำนาจตามธรรมชาติจะถูกกำหนดโดยลักษณะและความสามารถเฉพาะของสิ่งแต่ละอย่าง
อย่างที่สอง คือ “อำนาจที่ได้มาจากการแสวงหา” อำนาจประเภทนี้ได้มาจากปัจจัยภายนอก เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ หรือโครงสร้างทางสังคม อำนาจที่ได้มาจากแสวงหาจึงเป็นความสามารถในการบรรลุผลสำเร็จบางอย่างที่ไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ และอริสโตเติลเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพและความรู้อย่างมีคุณธรรมในฐานะวิธีการได้มาซึ่งอำนาจ
อริสโตเติลยังขยายความเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอำนาจว่า อำนาจอาจมาจากความมั่งคั่ง ความนิยม หรือคุณธรรม เขาให้เหตุผลว่า ความมั่งคั่งทำให้บุคคลสามารถจัดหาทรัพยากรให้แก่บุคคลอื่นเพื่อโน้มน้าวใจและกำหนดพฤติกรรมของพวกเขาได้ ในทางกลับกัน ความนิยมหรือชื่อเสียงสามารถให้อำนาจแก่บุคคลได้ โดยทำให้สามารถสร้างการเชื่อมต่อกับบุคคลอื่นและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนเหล่านั้น สุดท้าย คุณธรรมเป็นแหล่งอำนาจอันเป็นผลมาจากความเคารพและความชื่นชมที่ได้จากผู้อื่น อริสโตเติลเชื่อว่าคุณธรรมเป็นรูปแบบสูงสุดของอำนาจ เนื่องจากมีความคงทนและยั่งยืน ไม่เหมือนสิ่งอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เพียงชั่วขณะ
อริสโตเติลอธิบายว่า บุคคลที่มีคุณธรรมเป็นแหล่งอำนาจ มีแนวโน้มจะใช้อำนาจตามหลักศีลธรรม จริยธรรม และเหตุผล ซึ่งจะทำให้พวกเขาบรรลุความรุ่งเรืองในชีวิตและมีชีวิตที่เติมเต็มอย่างแท้จริง ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่แสวงหาอำนาจด้วยวิธีการที่ไร้คุณธรรม อันได้แก่ การใช้เล่ห์เหลี่ยม เพทุบาย ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้กำลังบังคับ หรือใช้เงินตราแลกเปลี่ยน มีแนวโน้มจะใช้อำนาจของตนในทางที่ผิดและประสบอันตรายทางจิตวิญญาณและศีลธรรม
นอกจากนี้ อริสโตเติลยังวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในสังคม สำรวจบทบาทของชนชั้นทางสังคม และการเข้าถึงอำนาจของพวกเขา อริสโตเติลจำแนกรูปแบบรัฐบาลออกเป็นสามประเภทหลักโดยใช้เกณฑ์เรื่อง จำนวนผู้ปกครอง กับ เป้าประสงค์ของการใช้อำนาจ นั่นคือ ระบอบราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย และประชาธิปไตย
อริสโตเติลนิยามระบอบราชาธิปไตยว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของรัฐบาลที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ในมือของบุคคลเพียงคนเดียว อริสโตเติลมองว่า ระบอบราชาธิปไตยสามารถเป็นระบบที่มีเมตตาได้เมื่อผู้ปกครองกระทำการเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน เขายืนยันว่า ระบอบราชาธิปไตยที่ดีคือ ความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรโดยที่ผู้ปกครองใช้คุณธรรมและภูมิปัญญาเพื่อนำทางรัฐ อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลระบุถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการปกครองแบบเผด็จการของบุคคลเดียว ซึ่งผู้ปกครองใช้อำนาจในทางที่มิชอบ เขาแนะนำว่า การมีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล เช่น สภาที่ปรึกษาหรือข้อจำกัดอำนาจของผู้ปกครอง สามารถช่วยป้องกันอันตรายเหล่านี้ได้
สำหรับระบอบอภิชนาธิปไตย อริสโตเติลนิยามว่า เป็นการปกครองโดยบุคคลจำนวนน้อยที่ได้รับเลือกโดยใช้เกณฑ์ด้านคุณธรรมและสติปัญญา อริสโตเติลให้เหตุผลว่า เมื่อมอบอำนาจให้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการปกครอง รัฐก็จะเจริญรุ่งเรืองได้ เขาเชื่อว่าระบอบอภิชนาธิปไตยย่อมดีกว่าระบบอื่นโดยธรรมชาติ เนื่องจากระบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นเลิศและเน้นคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลยอมรับถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นของอภิชนาธิปไตยได้ เนื่องจากชนชั้นสูงที่มีอำนาจปกครองเหล่านี้อาจกระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตนของตนเอง แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งจะทำให้ระบอบอภิชนาธิปไตยเสื่อมลง และทำให้การปกครองโดยผู้มีคุณธรรมและความรู้ กลายเป็น “ระบอบคณาธิปไตย” หรือ การปกครองโดยผู้ทุจริต ฉ้อฉล และมุ่งแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง
ระบอบการปกครองสุดท้ายที่อริสโตเติลวิเคราะห์คือ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจเป็นของพลเมือง อริสโตเติลถือว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีรูปแบบหนึ่ง เขาให้เหตุผลว่าเมื่อการตัดสินใจกระทำโดยคนจำนวนมาก แทนที่จะตัดสินใจโดยคนไม่กี่คน กฎหมายและนโยบายที่ตามมาจะสะท้อนถึงผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม อริสโตเติลก็ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตยที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝูงชน หรือการปกครองแบบเผด็จการของคนส่วนใหญ่
เมื่อพิจารณาแนวคิดทั้งสามนี้จะเลือกรูปแบบใดดี อริสโตเติล อธิบายว่า รูปแบบการปกครองในอุดมคตินั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของสังคม เช่น ถ้าสังคมมีผู้นำที่ดีมีคุณธรรมและมีสติปัญญาสูง ระบอบราชาธิปไตยอาจเป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุด ในทำนองเดียวกัน หากสังคมเต็มไปด้วยพลเมืองที่กระตือรือร้น มีความรู้ และมีคุณธรรม ระบอบประชาธิปไตยก็จะเป็นคำตอบที่ดีสุด เพราะจะส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัฐ
อริสโตเติลยังเน้นย้ำถึงการใช้อำนาจในทางมิชอบและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา เขาเตือนถึงหลุมพรางของการปกครองแบบเผด็จการทรราช ซึ่งผู้ปกครองใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและกดขี่ประชาชน อริสโตเติลชี้ให้เห็นว่า การปกครองเผด็จการนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในทุกระบอบการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการโดยบุคคลเดียว กลุ่มคนจำนวนน้อย หรือกลุ่มคนส่วนใหญ่ก็ตาม อริสโตเติลจึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและถ่วงดุลภายในระบบการเมือง เพื่อป้องกันการกระจุกตัวของอำนาจและป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด เขาให้เหตุผลว่าความสมดุลระหว่างชนชั้นทางสังคมและสถาบันต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพและความยั่งยืนของระบบการเมืองใด ๆ และเชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ซึ่งมีการกระจายอำนาจและรับประกันการมีส่วนร่วมของพลเมือง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมที่ยุติธรรมและมั่นคง
กล่าวโดยสรุป มุมมองของอริสโตเติลเกี่ยวกับอำนาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจทางการเมือง อำนาจเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการบรรลุความยุติธรรมและส่งเสริมความดีส่วนรวม และอำนาจควรได้รับการชี้นำโดยตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที่ทำให้ประชาชนในสังคมมีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้อำนาจร่วมกัน การตรวจสอบและถ่วงดุล และการแสวงหาประโยชน์เพื่อส่วนรวม เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด
อ้างอิง
Aristotle. (1998). The Politics. Oxford University Press.