ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แบไต๋ให้เห็นชัดเจนเป็นลำดับสำหรับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชน 56 ล้านคน ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินมากกว่า 560,000 ล้านบาทว่าจะเอาเงินมาจากไหน และใครจะเป็นผู้ตักตวงได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำมากที่สุด จากเป้าหมายจะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระจายเม็ดเงินลงสู่ชุมชนถึงขนาดที่กำหนดว่าจะให้ใช้ได้ในรัศมี 4 กิโลเมตร ถึงตอนนี้ก็ไม่น่าจะใช่ แถมงบที่จะเอามาใช้ที่เคยคุยโม้ว่าจะเกลี่ยจากงบประมาณนู่นนี่นั่นสุดท้ายก็ไม่แคล้วต้องกู้อยู่ดี
ความคืบหน้าเรื่องนี้แม้ นายเศรษฐา ทวีสิ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะบอกว่ายังไม่เสร็จ ยังไม่เรียบร้อย ทั้งแหล่งเงินว่าจะมาจากไหน และรายละเอียดที่จะใส่เม็ดเงินลงไปในระบบ รวมถึงขอบเขตพื้นที่การใช้จ่าย แต่ข่าวกระเส็นกระสายออกมาเป็นระยะเริ่มชัดแล้วว่าแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้านบาท น่าจะมาจากการกู้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐคือ ธนาคารออมสิน ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี บอกว่าเมื่อพร้อมแล้วจะแถลงให้ทราบและทุกอย่างเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย
ประเด็นการใช้ “เงินนอกงบประมาณ” เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแพลมก่อนหน้าประชุม ครม.ว่าเป็นหนึ่งในแนวทางที่ครม.พิจารณาเป็นแหล่งเงินจัดทำโครงการเงินดิจิทัล ซึ่งการกู้เงินจำนวนนี้ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจากรัฐสภาเหมือนกับ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี และไม่ถูกบันทึกเป็นหนี้สาธารณะ
นายเศรษฐายังเผยว่า เพื่อรองรับการดำเนินนโยบายรัฐบาลในการดูแลประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องขยายกรอบการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของวงเงินงบประมาณ โดยมีแผนจะขยายเพิ่มเป็น 45% ของวงเงินงบประมาณในปีงบ 2567 และมีแผนจะปรับลดกรอบวงเงินดังกล่าวให้เท่ากับอัตราเดิมภายในปี 2570
แนวคิดขยายกรอบการใช้เงินตามมาตรา 28 ดังกล่าว จะทำให้มีวงเงินเพิ่มจากราว 1.11 ล้านล้านบาท เป็น 1.56 ล้านล้านบาท สามารถนำมาใช้แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งต้องใช้วงเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทได้ โดยการขยายวงเงินดังกล่าวต้องเสนอคณะกรรมการวินัยการเงินการคลัง ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมในเดือนพฤศจิกายน 2566
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ได้ทีออกมาขย่มผ่านการโพสต์เฟซบุ๊กว่า ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว ! ที่มาของงบ digital wallet จะมาจากการกู้แบงก์รัฐ (ออมสิน) โดยการขยายกรอบวินัยการเงินการคลังตาม ม.28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ขึ้นไปเป็น 45% ของงบปี 67 จากเดิม 32% ไม่ได้มาจากงบประมาณตามที่ได้หาเสียง และบอกว่าถึงจะมีข้อดีหนี้แบงก์รัฐจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะตามกฎหมาย แต่มีข้อเสียคือ เป็นหนี้ยังไงก็ต้องจ่ายคืน ทุกวันนี้ต้องจ่ายคืนปีละเกือบแสนล้านบาทให้กับ ธ.ก.ส. และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ อยู่แล้ว ถ้าจ่ายคืนออมสินปีละ 5 หมื่น ก็เป็นภาระไปอีก 10 ปี รวมแล้วงบประมาณต้องใช้คืนหนี้ทั้งหมดก็จะพุ่งไปราว 5 แสนล้าน เบียดบังงบประมาณที่ต้องใช้พัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ
นอกจากนั้น การใช้งบประมาณสูงมากโดยไม่ต้องผ่านสภา ใช้แค่มติ ครม. ก็สามารถกู้เงินได้ทันที ไม่ต้องมีการตรวจสอบใด ๆ การกู้ผ่าน ม.28 ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะทั้งจำนวน หน่วยงานเจ้าหนี้ และภาระการคืนเงินต้นและดอกเบี้ย อีกทั้งยังกระทบกรอบวินัยการเงินการคลัง ที่ต้องการจำกัดการใช้เงินนอกงบ และนโยบายกึ่งการคลังให้น้อยลง สภาพคล่องของออมสินอาจมีปัญหา ทั้งจากการระดมทุนเวลานี้ และหากรัฐไม่ใช้คืนตามสัญญา (ธ.ก.ส.เจอมาตลอด) จะบริหารเงินสดได้ยากลำบาก
การตอบโต้ระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง แต่ในมุมของสำนักวิจัย นักการเงินการธนาคาร ต่างสะท้อนมุมมองถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
สำนักวิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชี้ว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่ที่กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตด้วยวงเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาทนั้น อาจสร้างความกังวล สร้างภาระทางการคลังที่มีแนวโน้มขาดดุลสูงขึ้น กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังที่เคยเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า
ด้านบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้ง ฟิทช์ เรตติ้ง และมูดีส์ เตือนว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ อาจทำให้ระดับหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้น และอาจทำให้ฐานะการคลังอ่อนแอลง จึงบั่นทอนความเชื่อมั่นและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินทุนไหลออกในระยะนี้
เช่นเดียวกับฝ่ายวิจัยของธนาคารเอชเอสบีซี วิเคราะห์ว่า คำสัญญาแจกเงินดิจิทัล การเพิ่มรายได้ของเกษตรกร 3 เท่า และประกันรายได้ครัวเรือน 20,000 บาท/เดือน คาดว่า การขาดดุลทางการคลังในปีงบประมาณ 2567 จะอยู่ที่ 4.4%
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุนสายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า การใช้เงินนอกงบประมาณทำโครงการแจกดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลยังไม่ชัดเจนว่าเงินจะมาจากไหน ซึ่งบริษัทเครดิตเรตติ้งเริ่มกังวล หากถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจะไม่ดีต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
อย่างไรก็ดี นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึงประเด็นเรื่องความกังวลเรื่องเงินดิจิทัลจะกระทบเสถียรภาพการคลัง และเสี่ยงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ว่าฐานะการคลังของไทยยังคงมีความเสถียรภาพค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และปริมาณหนี้ไม่ได้สูงมาก อีกทั้งหากเศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพ รัฐบาลก็น่าจะมีศักภาพในการก่อหนี้และชำระหนี้เพิ่มขึ้น ความกังวลดังกล่าวอาจเป็นความไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรกู้เงินจำนวนมากหรือน้อย โดยคณะกรรมฯ ยังคงพิจารณาอยู่และติดตามอย่างใกล้ชิด
ความกังวลต่อภาระทางการคลังนั่นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งคือ เม็ดเงินหลายแสนล้านที่จะหว่านโปรยไปทั่วทุกหัวระแหงนั้นใครจะตักตวงได้ประโยชน์มากที่สุด บรรดาร้านค้าชุมชนที่เป็นเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจะได้รับอานิสงค์สักกี่มากน้อย ยังเป็นคำถาม เพราะเวลานี้ เงื่อนไขการใช้เงินดูเหมือนจะปรับเปลี่ยนไป “ตามความเหมาะสม” เช่น พื้นที่การใช้จ่ายที่จำกัดไว้ไม่เกิน 4 กิโลเมตร ตามที่อยู่ในบัตรประชาชน ก็อาจปรับใหม่ให้ใช้ได้ “ทั้งอำเภอ” และสินค้าที่จะสามารถซื้อได้ก็ขยายวงกว้างออกไป
ยิ่งคณะทำงานโครงการแจกเงินดิจิทัล ชงเรื่องเบื้องต้นว่าให้ประชาชนสามารถนำดิจิทัลวอลเล็ตใช้จ่ายซื้อสินค้าได้ทุกประเภท ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค อาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เฟอร์นิเจอร์ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น รวมทั้งสามารถนำไปจ่ายในร้านอาหารต่าง ๆ ได้ ยกเว้น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กัญชา สลากกินแบ่งรัฐบาล และบัตรกำนัล บัตรเงินสด
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายก็เปิดกว้างผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วม ทั้งห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วยที่มาขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้าตามที่ต้องการได้สะดวก ตอบโจทย์เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถใช้สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ เนื่องจากมีข้อกำหนดเรื่องรัศมีการซื้อตามที่อยู่ในบัตรประชาชน เพราะเป้าหมายต้องการให้กระจายการใช้จ่ายไปตามชุมชนต่าง ๆ
คำถามคือช่องทางที่เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และการขยายพื้นที่จับจ่ายใช้สอย เท่ากับการเปิดโอกาสให้ “ปลาใหญ่” ไล่กวาดเงินดิจิทัลเข้ากระเป๋าได้มากกว่าร้านค้าย่อยในชุมชนหรือไม่
อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรีที่มีพื้นเพมาจากภาคธุรกิจอาจมองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องที่ดี จะช่วยกระตุ้นตลาด กระตุ้นการใช้จ่าย โดยกล่าวในงาน Thairath Forum 2023 ว่า “การแจกเงินดิจิทัลถ้าชัดเจนว่าเงินเข้าระบบ ผู้ประกอบการก็มั่นใจ ธุรกิจเร่งผลิต เร่งจ้างงานเตรียมสินค้าไว้รองรับ ธุรกิจคงทำการตลาดกระตุ้นเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าคุณชฎาทิพ จูตระกูล (สยามพิวรรธน์) ทำแคมเปญให้ดิจิทัลวอลเลต 100 บาท ไปซื้อสินค้าที่ห้างมีมูลค่า 110 บาท ขณะที่คุณศุภลักษณ์ อัมพุช (เดอะมอลล์) ก็อาจทำแคมเปญเพิ่มให้มีมูลค่าเป็น 111 บาท การแข่งขันเสรีเป็นเรื่องที่ดี ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น”
ขณะที่ นายประกอบ ไชยสงคราม ผู้บริหาร บริษัท ยงสงวนกรุ๊ป จำกัด จังหวัดอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า พ่อค้าแม่ค้าตามตลาดนัดทั่วไปคุยกันอยู่ว่าเงินก้อนนี้คงไม่ถึงพวกเขา เงินจะไปตกอยู่กับสินค้าพวกแอร์ โทรทัศน์ มือถือ ยิ่งรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่จากสมาชิกในครอบครัวอาจจะออกมอเตอร์ไซค์ด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น สิ่งที่น่ากังวลก็คือชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่มีความยากลำบากในการเข้าถึงการใช้เงิน จะยอมรับเงินสดจากนายทุนที่ไปตั้งโต๊ะแลกเครดิตเงินที่รัฐบาลให้มา แม้ไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน 1 หมื่นบาท แค่ได้เงินสดก็พอ ต่อให้ต่ำสุดถึง 6,000 บาท ชาวบ้านก็ยอม
ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะทุ่มเงินแจกมากมายปานใด ระบบเศรษฐกิจเสรีแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ย่อมเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่มากกว่าร้านค้าย่อยในชุมชน การกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าจากนโยบายแจกเงินก็เป็นเพียงสายลมพัดผ่านชั่ววูบ