ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงนี้งานเข้ารัวๆ เลยทีเดียว “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่ตั้งแต่วืดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ดัน “นายกฯ รถแห่” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สำเร็จ ก็ดูจะมีแต่ “ข่าวเชิงลบ” ออกมาต่อเนื่อง กลบข่าวดีอย่างชนะเลือกตั้งซ่อมรักษาที่นั่ง สส.ระยอง ได้เสียสนิท
ตั้งแต่ตัว “แด๊ดดี้ทิม-พิธา” เอง ก็ยังถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. จากคดีหุ้นสื่อไอทีวี จนต้องตัดสินใจลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อหวังให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ที่เป็น สส. ได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขับเคลื่อนการทำงานฝ่ายตรวจสอบให้เข้มแข็ง
จนหลายคนมองเป็นเค้าลางว่า “พี่ทิม” อาจจะไม่ได้กลับเข้าสภาฯหรือเปล่า
จากการลาออกของ “พิธา” ก็กระทบมาถึง “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดาท์ สส.พิษณุโลก ที่มีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 อยู่ด้วย ก็รัฐธรรมนูญญกำหนดว่า ผู้นำฝ่ายค้านฯ ต้องเป็น สส.ที่เป็นหัวหน้าพรรค ที่มีที่นั่ง สส.มากที่สุดในสภาฯ ทื่ไม่มีคนในพรรคอยู่ในฝ่ายบริหาร และไม่มีตำแหน่งเป็นประธานหรือรองประธานสภาฯ
การลาออกของ “พิธา” โดยระบุว่า ต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ ก็เหมือนบีบ “หมออ๋อง” กลายๆ ว่าหากยังเป็นรองประธานสภาฯ อยู่ จะทำให้พรรคเสียสิทธิ์การได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ
ส่วนตัว “หมออ๋อง” เองก็ออกลูก “กั๊ก” โดยระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจลาออกจากรองประธานสภาฯ และจะรอคุยกับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เสียก่อน
ขณะเดียวกันก็มีไอเดียบรรเจิดจากหลายฝ่าย รวมถึงพรรคก้าวไกลเอง ในการหาช่องขับ “ปดิพัทธ์” ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และให้เจ้าตัวไปหาสังกัดใหม่ เพื่อให้ไม่เสียตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1
เป็นไอเดียที่ในทางทฤษฎีดูจะเป็นไปได้ แต่ในทางการเมืองคงไม่มีใครทำกัน สุ่มเสี่ยงทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นรองประธานสภาฯ เสื่อมไปด้วย
พร้อมๆ กับปล่อยข่าว “โบ้ย” ไปที่ พรรคเพื่อไทย อดีตคนเคยรัก ว่าต้องการกดดันให้ “หมออ๋อง” ออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพื่อที่จะเขย่าเก้าอี้บนบัลลังก์ใหม่ โดยจะเป็นพรรคเพื่อไทยที่ได้ตำแหน่งประธานสภาฯแทน “วันนอร์” วันมูหะหมัดนอร์ มะทา และให้โควตารองประธานสภาฯ คนที่ 1 กับพรรคประชาชาติแทน
ดูเป็นข่าวปล่อยแก้เกี้ยวความไม่ลงรอยกัยในพรรคก้าวไกลมากกว่า เพราะการลาออกของ “พิธา” นั้น เสมือนส่งสัญญาณแล้วว่า พรรคต้องการดเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ มากกว่ารองประธานสภาฯ แต่เป็น “ปดิพัทธ์” ที่ยังดื้อแพ่งอยู่
จนมีการค่อนขอดว่าที่ “รองอ๋อง” ยังไม่อยากลุกจากเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1 เพราะเริ่ม “เสพติด” ยศฐาบรรดาศักดิ์ สอดรับกับดรามาสดๆ ร้อนๆ กรณีเบิกงบประมาณ 1.37 ล้านบาทเศษ เพื่อพาคณะเดินทางไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์
ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็น “สิทธิ์” ที่ สส. หรือโดยเฉพาะรองประธานสภาฯ สามารถทำได้ แต่ด้วยความเป็น “หมออ๋อง” และคนก้าวไกล ก็เลยไม่พ้นถูกถล่มว่า “ย้อนแย้ง” พูดอย่างทำอย่าง จากที่เคยประกาศไว้
“พวกเราเสนอให้ลดงบประจำ เช่นการไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา พรรคก้าวไกลเสนอว่า ควรโยกงบเหล่านี้ มาจัดสวัสดิการที่ดี ให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น" คือคำประกาศของพรรคก้าวไกลเมื่อครั้งถูกโจมตีในเรื่อง “งบช้างป่วย” นโยบายลดเงินเดือน และบำนาญข้าราชการ
ยิ่งเมื่อลงลึกในรายละเอียด “ทริปสิงคโปร์” ที่มี “หมออ๋อง” เป็นหัวหน้าคณะ ก็ยิ่งมีคำถามประเภท “อิหยังวะ” ในแทบทุกตรง อาทิ สมาชิกร่วมทริปที่เป็น สส.ก้าวไกล ถึง 6 คน จาก สส.ที่ไปทั้งหมด 7 คน โดยมี “เสี่ยเอิร์ธ” ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ไปด้วย
วัตถุประสงค์การขอไปดูงาน ที่นอกจากด้านระบบสารสนเทศการประชุมของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ หรือ “Smart Parliement” แล้ว เรื่องอื่นๆ อาทิ แรงงาน หรือสิ่งแวดล้อม ดูจะไม่ตรงภารกิจของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” เท่าไร
ที่สำคัญยังมีการระบุด้วยว่า การเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งนี้ ไม่ได้มีหน่วยงานหรือบุคคลของทางสาธารณรัฐสิงคโปร์เชิญมา แต่เป็นดำริของ “ท่านรอง” ที่มอบหมายให้สภาฯประสานเพื่อขอเดินทางไปเยือนเอง
ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณก็เป็นไปอย่างเร่งรีบ ช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ 2566 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.66 ไม่พ้นถูกครหาว่า ต้องการ “ล้างท่อ” งบประมาณ แถมมีการเบิก “งบรับรอง” ไปอีก 2 แสนบาท ซึ่งงบประมาณรายการนี้ “หัวหน้าคณะ” สามารถเซ็นรับรองการใช้ได้เอง โดยไม่ต้องมีใบเสร็จ ท่ามกลางกระแสวิพาษ์วิจารณ์ว่า อาจเป็น “งบกินเปล่า” ที่ไปหล่นในกระเป๋าใครก็เป็นได้
แม้จะมีการมองว่าก้อนงบประมาณรวม 1.37 ล้านบาทเศษ อาจจะไม่สูง แต่เมื่อลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายหลายรายการก็พบว่า “แพงเกินจริง” ทั้ง การบินชั้นธุรกิจที่ตั้งงบไป-กลับสำหรับ ส.ส. 1 คน ที่ 51,250 บาท ค่าที่พักอีกคืนละ 12,500 บาท เป็นต้น ในขณะที่ข้าราชการที่ร่วมคณะไป ตั้งเบิกไว้สำหรับตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดไป-กลับ อยู่ที่คนละ 20,000 บาทเท่านั้น
ไม่แปลกที่ว่า เมื่อตกเป็นข่าว “ปดิพัทธ์” จะออกมาชี้แจงหลายครั้งเป็นฉากๆ เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ “ร้อน” เกินกว่าจะอยู่เฉย โดยระบุว่า ทั้งหมดเป็นเพียงการตั้งงบประมาณ แต่เบิกจ่ายจริงไม่ถึงงบประมาณที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน อีกทั้งพร้อมให้ตรวจสอบทั้งหมด โดยเมื่อเดินทางกลับมาแล้วจะแจกแจงรายละเอียดงบประมาณที่ใช้จริงอีกครั้ง
กรณีเดินทางไปดูงานที่ปรเะเทศสิงคโปร์ หากเป็นพรรคการเมืองอื่น คงไม่ดรามาหนักขนาดนี้ เพราะถือเป็นสิทธิของผู้แทนราษฎร ในการทำหน้าที่เป็นหน้าตาให้กับประเทศ แต่ดันเป็น “ตัวตึงค่ายส้ม” ที่เคยพูดเรื่องการใช้ “ภาษีประชาชน” ที่ไม่เหมาะสมของรัฐบาลชุดเก่าในหลายวาระ กลับมีพฤติกรรมที่ใหล้เคียงกัน จนถูกตราหน้า “ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง”
ไม่เท่านั้นเรื่องนี้ยังทำให้ผู้คนขุดดรามา “#ภาษีกู” ที่ “หมออ๋อง” เคยเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง โดยครั้งนั้น “ปดิพัทธ์” นำ “งบรับรอง” ในตำแหน่งรองประธานสภาฯ จัดเลี้ยงบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ แม่บ้านสภา จำนวน 370 คน โดยระบุว่า เป็นการใช้งบประมาณในส่วนของงบรับรอง ที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับปีละ 2 ล้านบาท ที่คงใช้ไม่หมด และถือว่าแม่บ้านสภา เป็นแขกของตัวเอง
แต่ก็มีการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณ เพราะเข้าข่ายการนำเงินภาษีประชาชนมาเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับตัวเอง เมื่อเกิดดรามา “ทัวร์สิงคโปร์” ที่ดูลักษณะคล้ายกับจัดทริปพา สส.ไปเที่ยว แฮชแท็ก “#ภาษีกู” ก็ผุดขึ้นมาถล่ม “ท่านรอง” ว่อนอีกครั้ง
แล้วยังตอกย้ำความเป็น “ตัวตึง” เชิญชวน “คณะทัวร์” ของ “หมออ๋อง” ด้วย เพราะตั้งแต่รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 มา เหมือนจะมีดรามาแบบไม่พัก สมัยได้ตำแหน่งใหม่ๆ ก็เคยมีกรณีโพสต์รูปโปรโมทคราฟต์เบียร์ เมื่อถูกตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม ก็หยิบยก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขึ้นมา “อ้าง” ต้องการให้เป็นประเด็นในเรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ถือเป็นการกีดกัน “รายเล็ก”
แต่ “ท่านรอง” ก็แถไปได้ไม่เท่าไร ที่สุดต้องโร่ไปพบ สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พิษณุโลก เพื่อปรึกษาหารือข้อกฎหมาย ก่อนจะยอมเสียค่าปรับ 5 หมื่นบาท เพราะเป็นความผิดเข้าลักษณะโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านสื่อโซเชียล เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่นเอง
ซึ่งโทษปรับ 5 หมื่นบาท ถือว่าปราณีแล้ว เพราะเป็นการกระทำผิดครั้งแรก จากอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถัดมาเป็นคิวของ “เจ๊เจี๊ยบ คอนถม” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ผู้มีลีลายียวนชวนเรียกแขกเป็นทุน กับดรามาแฮชแท็ก “#อมรัตน์คุกคามประชาชน” ที่พุ่งติดเทรนด์ ทวิตเตอร์ (X) ประเทศไทย
จากกรณีที่ “เจ๊เจี๊ยบ” โพสต์ข้อมูลของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “ปีใหม่” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยตัวยง ที่โพสต์ถึงความหมายของคำว่า “อมรัตน์” ซึ่งส่อไปในทางดูหมิ่น
โดย “อมรัตน์” แคปเจอร์ข้อความเหล่านั้น มาโพสต์ทางหน้าเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความระบุถึง ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่โพสต์ ทั้งชื่อเล่น วันเกิด ที่อยู่ และยังบอกด้วยว่า ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมชื่อ-นามสกุลจริง ภาพถ่ายและอื่นๆ กับผู้ได้รับผลกระทบจาก “toxic” และหมิ่นประมาทจากบุคคลนี้ด้วย
ไม่เท่านั้น “เจ๊เจี๊ยบ” ยังโพสต์ภาพบัตรจอดรถ เพื่อติดต่องานที่บริษัทแห่งหนึ่ง พร้อมแคปชั่นว่า “ไปเยี่ยมนิวเยียร์ที่โรงงานมา ไม่เจอตัวเพราะออกไปหาลูกค้าข้างนอก มีโอกาสพบพูดคุยกับกรรมการบริหารท่านหนึ่ง กับ ผจก.ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ขอขอบคุณทั้งสองท่านอย่างสูง ที่ใส่ใจและรับปากว่าหลังบริษัทออกหนังสือเตือนให้เซ็นต์รับทราบแล้ว จะช่วยดูแลสอดส่องพฤติกรรมด้วย” และระบุด้วยว่า “เจ้าของ fb twitter นิวเยียร์ยินยอมจะเซ็นต์รับทราบหนังสือตักเตือนจากนายจ้างทัณฑ์บน 1 ปี”
ทั้งยังโพสต์ภาพทาวน์เฮาส์แห่งหนึ่ง พร้อมข้อความว่า “จากโรงงานก็แวะไปเยี่ยมบ้าน”
จากพฤติกรรมของ “อมรัตน์” ทำให้เกิดกระแสตีกลับในสังคมออนไลน์ทันที โดยมองว่า เป็นการ “ล่าแม่มด” และควรใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาจัดการมากกว่า
เมื่อถูกกระแสตีกลับ ทำให้ “อมรัตน์” โพสต์ยอมรับผิดว่า “…ดิฉันมีความรู้สึกผิดติดค้างคิดว่าสมควรต้องออกมาขออภัยอย่างจริงใจต่อ toxic ในสังคมออนไลน์ที่ตัวเองมีส่วนสร้างขึ้นดิฉันยืนยันว่าได้ใช้วิจารณญาณและสัญชาตญาณในฐานะมนุษย์ ใช้พื้นฐานประสบการณ์และข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินว่าสิ่งไหนคือ “ภัยสังคม” ภัยสังคมย่อมหมายถึงตัวเองไม่ได้เป็นผู้รับผลกระทบแต่เพียงลำพัง แต่เป็นภัยที่ชาวโลกออนไลน์ประสบร่วมกัน การกระทำตามวิจารณญาณส่วนตัวนั้นจะผิดถูกดีเลวอย่างไร ดิฉันยินดีรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทาง กม. ทุกประการ ดิฉันก็จะพิทักษ์สิทธิ์ตัวเองตาม กม. ต่อไปเช่นเดียวกัน จากนี้ต้อง move on เพื่อไม่เพิ่ม toxic ให้สังคมออนไลน์อีกต่อไป ที่เกิดไปแล้วต้องขออภัยซ้ำอีกครั้ง”
พร้อมทั้งย้ำว่า ไม่ได้มีพฤติกรรมข่มขู่ และไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล รวมทั้งการไปสถานที่ต่างๆ ก็ไปด้วยความสุภาพ
ดรามาครั้งนี้ของ “เจ๊เจี๊ยบ” ไม่ต่างจาก “ตายน้ำตื้น” เพราะตัวเองก็เคยเรียกร้องให้เคารพในสิทธิของ “ผู้เห็นต่าง” แต่กลับไปละเมิดสิทธิผู้อื่นเอง คล้ายคลึงกับกรณีของ “หยก” เยาวชนวัย 15 ปีที่เรียกร้องสิทธิในการกลับเข้าไปเรียนและสอบในโรงเรียน แต่กลับไปละเมิดสิทธิของเพื่อนๆ นักเรียนด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น
ดูท่า “เจ๊เจี๊ยบ” ไม่เป็นเพียงเป็นจำเลยสังคม แต่คงไม่รอดที่จะต้องรับผลของการกระทำ ทั้งในตำแหน่งที่ปรึกษารองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่ง “ปดิพัทธ์” ก็แย้มๆออกมาแล้วว่า อาจจะพิจารณาปลดออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกลก็จะมีการตรววจสอบทางจริยธรรม
โดยล่าสุด “อมรัตน์” ก็ได้แจ้งความจำนงค์ต่อ “โกต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และว่าที่หัวหน้าพรรค ว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ด้วย
ปิดท้ายที่ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วาณิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ หนึ่งในผู้นำจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล และ “ด้อมส้ม” ที่เจออดีตไล่ล่า ดิ้นไม่พ้น “ดิจิทัลฟุตปริ้นท์” ที่ถือเป็นกรรมสมัยใหม่ หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามกฎหมาย ให้ “ถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”
เป็นกรณีที่ “พรรณิการ์” ถูกร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีโพสต์ภาพและข้อความจำนวนมากในเฟซบุ๊กที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทางที่อาจเชื่อมโยงกับเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิบังควร อันเป็นพฤติการณ์หรือการกระทำที่ส่อไปในทางขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งประชุมกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาดังกล่าว
ตามกฎหมาย “สาวช่อ” ยังมีโอกาสอุทธรณ์ความพิพากษาได้ แต่เจ้าตัวก็ได้โพสต์คล้ายกับยอมรับคำพิพากษา และประกาศจะเดินหน้าทำงานทางการเมืองในบทบาทอื่นๆ ต่อแล้ว
ทั้งนี้ “สาวช่อ” ระบุด้วยว่า กรณีเป็นการโพสต์เฟซบุ๊กตั้งแต่สมัยก่อนเป็น สส. ซึ่งก็ถือเป็นอุทาหรณ์ชั้นดีในยุคสมัยเทคโนโลยีก้าวหน้าว่า “ดิจิทัลฟุตปริ้นท์” ที่อดีตของตัวเองอาจมาทำร้ายตัวเองในอนาคตได้เช่นนี้
ที่ว่าไป เป็นดรามา “ตัวตึงค่ายส้ม” ที่ถือเป็นช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดยแท้ และเชื่อว่า ยิ่งอยู่กลางสปอตไลท์นานวันเข้า ดรามา “ชาวค่ายส้ม” ไม่หยุดแค่นี้แน่.