ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ความทุกข์ทรมานบนรถไฟ
หลังอาหารมื้อเย็นวันนั้นแล้วเราก็กลับที่พัก ด้วยวันรุ่งขึ้นจะต้องเดินทางกลับเมืองไทย ทางฝ่ายจีนจึงให้เรามีเวลาจัดข้าวของและพักผ่อน ซึ่งสำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาต่างประเทศ (หากไม่นับที่ไปท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ตามชายแดนไทย) การเตรียมตัวจึงเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากประมาท
การเดินทางของเราเป็นการเดินทางโดยรถไฟจากกว่างโจวเข้าไปยังฮ่องกง และจากฮ่องกงก็ต่อเครื่องบินกลับมาไทย การกลับแบบนี้จึงไม่เหมือนตอนขามาเมืองจีน เพราะตอนนั้นเรามาถึงฮ่องกงก่อนก็จริง แต่เราโดยสารเรือไปยังซ่านโถว (ซัวเถา) ของเมืองจีน
ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยตรงที่อยากรู้ว่ารถไฟเมืองจีนเหมือนรถไฟเมืองไทยไหม?
วันรุ่งขึ้นหลังจากรับมื้อเช้าที่มหาวิทยาลัยจงซันแล้ว นักวิจัยฝ่ายจีนก็ขึ้นรถพร้อมกับเราเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟ เมื่อไปถึงก็กล่าวอำลากันด้วยความรู้สึกที่ดี และต่างก็เชื่อว่าเราจะได้พบกันอีก เพราะงานวิจัยที่เราทำร่วมกันยังไม่แล้วเสร็จ และที่มาครั้งนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการเก็บข้อมูลเท่านั้น
สถานีรถไฟกว่างโจวมีผู้คนพลุกพล่านมิใช่น้อย แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราด้วยดี ทั้งนี้มิใช่เพราะเราเป็นชาวต่างชาติ แต่เพราะเวลานั้นป้ายบอกสถานที่สาธารณะของจีนยังใช้ภาษาจีนเท่านั้น ถึงแม้จีนจะเปิดประเทศมาสิบแล้วก็ตาม จึงยากที่คนต่างชาติจะหาทางไปได้ถูกหรือสะดวก
เมื่อไปถึงเราก็พบว่า ฝ่ายจีนคิดถูกแล้วที่พาเรามาถึงสถานีและนำเราเข้าไป และเนื่องจากเวลานั้นคนต่างชาติยังเข้าไปในจีนไม่มากเท่าทุกวันนี้ การไปของเราจึงค่อนข้างสะดวก เพราะเขามีช่องทางการตรวจลงตราเอกสารเดินทางให้เฉพาะคนต่างชาติเอาไว้ คณะของเราจึงใช้เวลาไม่นานจึงเข้าไปนั่งในที่นั่งของเราบนรถไฟเป็นที่เรียบร้อย
ตอนที่รถไฟออกจากสถานีนั้นผมจำเวลาไม่ได้ว่ากี่โมง จำได้แต่ว่าเป็นช่วงเช้าและรถจะใช้เวลาวิ่งประมาณสองชั่วโมงก็จะถึงฮ่องกง หลังรถออกไปไม่นานก็มีพนักงานเข็นรถมาร้องขายเครื่องดื่มและอาหาร เนื่องจากเราอิ่มกันแล้วจึงไม่ได้ซื้ออะไร จะมีก็แต่ผมเท่านั้นที่เกิดสงสัยว่า เบียร์จีนมีรสชาติเป็นอย่างไร ผมจึงซื้อมาดื่มหนึ่งกระป๋อง
โดยหารู้ไม่ว่าในเวลาอีกไม่นานหลังจากนี้ ผมต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าเข็ดไปจนตาย
เรื่องของเรื่องก็คือว่า พอได้เบียร์มาแล้วผมก็เปิดดื่มตามปกติ และดื่มไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดอะไรมากจนเบียร์หมด จากนั้นก็นั่งคิดอะไรเพลินๆ ไปสักพัก ตอนนั้นรถไฟวิ่งมาราวหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ผมเห็นมีเจ้าพนักงานหญิงจีนแต่งตัวคล้ายตำรวจมายืนประจำตามช่วงรอยต่อของแต่ละตู้ ก็ไม่คิดอะไรมาก
แต่ตอนนั้นเองที่เบียร์ที่ผมดื่มเข้าไปเริ่มทำให้ผมรู้สึกปวดเบาขึ้นมา ผมจึงเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่งมากนัก พอเดินไปถึงหน้าห้องน้ำเจ้าพนักงานหญิงก็ยกมือห้ามไม่ให้ผมเข้า ผมก็เถียงว่าทำไม
เธอบอกด้วยเสียงขึงขังจริงจังว่า นี่คือมาตรการป้องกันมิให้ผู้โดยสารชาวจีนใช้หน้าต่างห้องน้ำกระโดดหนีเข้าฮ่องกง เพราะขณะนี้รถไฟวิ่งเข้าเขตฮ่องกงแล้ว
ถึงตอนนั้นผมก็ถึงบางอ้อ ว่าตอนที่เจ้าพนักงานหญิงมายืนประจำแต่ละตู้บริเวณห้องน้ำนั้น ก็เพราะรถไฟได้วิ่งเข้าเขตฮ่องกงแล้ว ซึ่งถ้านับจากที่รถไฟออกจากสถานีกว่างโจวก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
คราวนี้แหละที่ความทุกข์ทรมานได้ถาโถมเข้ามาหาผมจากอาการปวดเบา เพราะผมต้องอั้นมันไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง เป็นการอั้นที่กินเวลายาวนานที่สุดในชีวิต ตอนนั้นเวลาที่ผ่านมาไปแต่ละนาทีดูไม่ต่างกับหนึ่งชั่วโมง จนผมร่ำๆ คิดที่จะปล่อยมันออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ซึ่งถ้าทำจริงก็หมายความว่าผมต้องยอมรับความอับอาย และอาจต้องยอมถูกลงโทษ ซึ่งก็คงถูกปรับเป็นเงินสักจำนวนหนึ่ง
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้าทำ ครั้นเดินไปต่อรองกับเจ้าพนักงานโดยให้เหตุผลว่า ผมเป็นคนต่างชาติ ยังไงเสียผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะหนีอยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมอยู่ดี ผมจึงต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปจนกว่าจะถึงฮ่องกง
จนกระทั่งรถไฟมาถึงฮ่องกงในที่สุด พอรถจอดเท่านั้น ผมซึ่งต้องลากสัมภาระของตัวเองไปด้วยก็รีบวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟฮ่องกงทันทีพร้อมถามหาห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ฮ่องกงซึ่งยังสาวอยู่พอรู้ว่าผมปวดเบาอย่างหนักก็ร้องออกมาว่า “ตายจริง...ไม่ทันการณ์แล้วหรือ?” พร้อมกับชี้ทางให้ผม ผมมองไปตามนิ้วที่ชี้ของเธอก็เห็นป้ายบอกที่ตั้งห้องน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นก็รีบวิ่งไปปลดปล่อยมันออกมา
พร้อมกับบันทึกเอาไว้ในใจเป็นสถิติว่า นี่คือการอั้นปัสสาวะที่ยาวนานและทนทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิต
ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะทั้งก่อนหน้าและหลังจากวันนั้นแล้ว ผมก็ประสบกับเหตุการณ์ปวดเบาอยู่อีกเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยยาวนานและทนทุกข์ทรมานเท่าครั้งนั้น จนอยากบอกใครต่อใครว่า ถ้าต้องเดินทางแบบผมก็ขอให้ระวังเรื่องนี้ให้จงดี
คืออย่าดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มใดๆ แบบผมเป็นอันขาด โดยที่ในอีกหลายปีต่อมาที่ผมต้องเดินทางระหว่างฮ่องกงกับกว่างโจวโดยรถไฟอีกครั้งสองครั้ง ก็ยังคงเห็นการปฏิบัติเช่นนี้อยู่ เห็นแล้วก็อดขำในเหตุการณ์ที่ผมเจอไม่ได้ ที่ดีหน่อยก็คือว่า ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปกับผมต่างก็เชื่อผม
จะมีก็แต่ผู้ร่วมทางที่เป็นหญิงบางคนเท่านั้นที่เชื่อผมเหมือนกัน แต่เธอก็เกิดปวดเบาขึ้นมาแบบทันทีทันใดแล้วทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อั้นเอาไว้ แต่ดูไปแล้วเธอไม่ได้ทนทุกข์ทรมานเท่าผมในครั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม หลังออกจากสถานีรถไฟแล้วเราก็เดินทางไปพักยังห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่ง เพื่อรอเวลากลับเมืองไทย ซึ่งยังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมง ระหว่างนั้นเราต่างแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย ส่วนผมก็ออกไปหาอะไรกินแบบนักชิม ซึ่งก็เจอร้านบะหมี่เนื้อ ที่ปกติแล้วเราจะไม่พบใครขายที่เมืองไทย
ผมเห็นคนขายลวกบะหมี่แล้วเทใส่ชาม จากนั้นก็เอาเนื้อวัวสดๆ วางเรียงบนบะหมี่เป็นแผ่นเป็นชิ้นพอคำจนเต็มหน้าบะหมี่ จากนั้นก็ยกกาน้ำซุปที่ตั้งบนเตาเดือดตลอดเวลารินราดลงบนเนื้อช้าๆ จนน้ำซุปท่วมบะหมี่แล้วก็ยกมาเสิร์ฟไว้ตรงหน้าผม
นั่นคือ บะหมี่เนื้อที่ผมได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกในชีวิต รสชาติดีมาก บะหมี่ก็ลวกมาสุกพอดี
จากนั้นผมก็กลับมายังที่พักแล้วก็นั่งดูโทรทัศน์ ปรากฏว่าเป็นข่าวคำแถลงของนายกเทศมนตรีปักกิ่งที่ชื่อ เฉินซีถง (1930-2013) เกี่ยวกับเหตุการณ์นองเลือดที่เทียนอันเหมิน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำเหยียดหยามเยาะเย้ยกลุ่มผู้ชุมนุม และการแสดงตนเป็นผู้จงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แม่บ้านในห้องพักเห็นแล้วก็กล่าวขึ้นว่า คนคนนี้คนจีนเกลียดชังมาก เขาแสดงท่าทีเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่มที่นักศึกษาชุมนุม แต่ทำไมต้องฆ่ากันด้วย ต่างคนต่างก็เป็นคนจีนด้วยกัน ผมฟังแล้วก็พยักหน้ารับทราบ
จนถึงปี 1995 เฉินซีถงก็ถูกจับกุมในข้อหาคอร์รัปชั่น และถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 16 ปีในปีถัดมา ทั้งที่วงเงินที่เขาโกงไปนั้น ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใหญ่จริงแล้วโทษจะถึงขั้นประหารชีวิต และพอถึงปี 2004 เขาก็ได้รับการปล่อยตัวให้ออกมารักษาอาการป่วยและอยู่มาได้อีกเก้าปี
คล้ายกับใครบางคนในเมืองไทย