ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ความเดือดดาล
วันต่อมาเรายังคงอยู่ที่กว่างโจว โดยมื้อเที่ยงวันนั้นเรายังคงได้พบกับนักวิจัยฝ่ายจีน แต่คราวนี้มีผู้บริหารจากต่างมหาวิทยาลัยมาร่วมด้วย เราสนทนากันในแบบต่างแนะนำหน่วยงานของกันและกัน
แต่สิ่งที่เรารู้สึกได้ก็คือ ผู้บริหารของหน่วยงานที่ว่าแม้จะโอภาปราศรัยดี แต่สีหน้าของท่านก็ดูนิ่งเฉยไม่มีรอยยิ้ม จนดูผิดปกติไป ตอนแรกผมเข้าใจว่าท่านอาจจะไม่สบายก็ได้
แต่หลังจากที่เวลาบนโต๊ะอาหารผ่านไปพักใหญ่ๆ นักวิจัยฝ่ายเราท่านหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ท่านนิ่งอยู่สักพักคล้ายจะครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี จากนั้นท่านก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า...
ท่านในฐานะครูบาอาจารย์ย่อมมีความรักความเข้าใจในศิษย์ของท่าน ก็เหมือนกับพวกเราที่ต่างก็เป็นครูบาอาจารย์ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัวท่านเองย่อมไม่ยินดีเป็นธรรมดา
พอพูดถึงตอนที่ว่า น้ำเสียงของท่านก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจัง และเสียงเริ่มดังขึ้นจนรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวเดือดดาล ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่ากับใครหรือประเทศไหน และตัวท่านจะต่อต้านเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด
ตอนนั้นเอง สีหน้าของท่านก็แดงกร่ำจนเห็นได้ว่า ท่านพูดด้วยความอัดอั้นตันใจ และด้วยความเดือดดาล จนทำเอาพวกเราฝ่ายไทยตกใจและนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ได้เห็นถึงความโกรธของคนจีนในเวลาที่ค่อนข้างเป็นทางการ ว่าเมื่อโกรธแล้วเขาแสดงกันอย่างไรต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะกับแขกชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเก็บอาการของตนเอาไว้ มากกว่าที่จะแสดงต่อหน้าแขกแบบนี้ โดยที่หลังจากนั้นอีกนานนับปีผมยังได้เห็นภาพแบบนี้จากคนจีนอีกครั้งสองครั้ง
ในที่สุด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เปลี่ยนไปเป็นความเงียบงันไปอึดใจใหญ่ จากนั้นนักวิจัยจีนก็ทำลายความเงียบด้วยการพูดถึงกำหนดการถัดไปว่าเราจะไปไหนกัน จนเวลาผ่านไปกระทั่งอาหารมื้อนั้นจบลง เราจึงได้กล่าวล่ำลาผู้บริหารท่านนี้ก่อนที่ท่านจะขอตัวเดินออกไปก่อน ด้วยว่ายังมีงานที่จะต้องไปปฏิบัติต่อ
จนเมื่อพวกเราเดินออกมาหน้าอาคารที่เรารับประทานอาหารแล้ว เราก็เห็นท่านปั่นจักรยานด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ท่านก้มหน้าปั่นจักรยานโดยไม่แม้แต่มองพวกเรา ทั้งๆ ที่ท่านก็เห็นพวกเรายืนอยู่ตรงที่ท่านผ่าน แต่พวกเราไม่แปลกใจ เพราะรู้ว่าท่านเครียดจนไม่มีแก่ใจจะส่งยิ้มหรือทักทายอีกครั้ง
แต่ที่เราไม่รู้เลยก็คือว่า หลังจากนั้นท่านถูกลงโทษอันเนื่องมาจากความคิดทางการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ เรามารู้เรื่องนี้หลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี เมื่อท่านได้เดินทางมาเยือนหน่วยงานของเราที่เมืองไทย ภาพที่เราเห็นท่านที่เมืองไทยไม่เหมือนตอนที่เห็นที่เมืองจีน
นั่นคือ รูปร่างของท่านดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าก็ซีดเซียวจนไร้เลือดฝาด อากัปกิริยาที่ดูคล่องแคล้ว (แบบตอนที่ท่านปั่นจักรยาน) ก็เฉื่อยชาลง คำพูดคำจาก็ไม่ฉะฉานดังแต่ก่อน เห็นได้ชัดว่าท่านต้องผ่านเรื่องเลวร้ายมาแน่ๆ
เรามารู้ทีหลังว่า หลังจากคณะของเราเดินกลับมาเมืองไทยแล้ว ท่านถูกหน่วยเหนือลงโทษทางวินัย และเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารวันนั้นเป็นหนึ่งในตัวอย่างหลักฐานที่ท่านถูกกล่าวหา เราไม่รู้ว่าท่านถูกลงโทษอย่างไร แต่เมื่อดูจากท่าทีและท่วงทำนองที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากที่เห็นที่เมืองจีน ก็เดาได้ว่าคงหนักเอาการ
เกี่ยวกับเรื่องการลงโทษทางการเมืองของจีนแล้ว มักเป็นความลับที่ไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก เราจะรู้ก็ต่อเมื่อคนที่เคยถูกต้องโทษออกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คนเล่าหากไม่ลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนก็จะเล่าแบบปิดเป็นความลับอยู่ในจีน
อย่างหลังนี้ก็คือ การเล่าให้คนต่างชาติที่เข้าไปติดตามเรื่องนี้ในจีนอย่างลับๆ คือเข้าไปในแบบนักท่องเที่ยว แต่จริงๆ แล้วไปปฏิบัติภารกิจในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
และจากเท่าที่มีการเปิดเผยทำให้เรารู้ว่า ผู้ต้องโทษคดีทางการเมืองจะถูกลงโทษผ่านการกดดันในรูปแบบต่างๆ ที่มิใช่การทรมานทางกายภาพหรือทางร่างกาย เช่น การทุบตีหรือซ้อม หากแต่เป็นการกดดันทางจิตใจ เช่น เปิดเพลงเสียงดังในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้หลับไม่ให้นอน เป็นต้น
เมื่อผู้ต้องโทษถูกกดดันหนักเข้าก็จะยอมสารภาพว่าตนผิดไปแล้ว ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองเช่นนั้น ต่อไปจะไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว ฯลฯ จนเมื่อแน่ใจว่าผู้ต้องโทษคนนั้นหมดพิษสงทางการเมืองแล้วก็จะปล่อยตัวออกมา จากเหตุนี้ พิษสงใหม่ที่ผู้ต้องโทษได้รับก็คือ หมดสภาพการเป็นบุคคลจนดูเหมือนคนสติเลื่อนลอย
อย่างเช่นครั้งหนึ่งผมเคยเจอคนแบบนี้โดยบังเอิญในไทย (หลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินผ่านไปแล้วหลายปี) นั้น ระหว่างที่สนทนากันผมก็เห็นท่านสามารถสื่อสารเหมือนคนปกติทั่วไป แต่พอเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ การสนทนาของท่านก็เริ่ม “เป๋” ด้วยการพูดเรื่องเหนือจริงขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
คือท่านว่า ระหว่างที่อยู่ในคุกได้มีหญิงงามที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีนมาหาท่านถึงในห้องขัง
ฟังตอนแรกก็ไม่เชื่อหูตัวเอง คิดว่าฟังผิด แต่พอถามย้ำกับท่านก็ชัดเจนว่าท่านพูดเช่นนั้นจริงๆ ผมจึงรู้ทันทีว่าท่านเพี้ยนไปแล้ว แต่ก็เพี้ยนเฉพาะเรื่องนั้นเท่านั้น เรื่องอื่นไม่เพี้ยน กล่าวคือ ท่านคุยเรื่องที่เป็นงานเป็นการได้ดีเป็นปกติ แต่กับเรื่องหญิงงามที่ว่าแล้วดูท่านจริงจังมาก
คือพอผมตั้งสติได้แล้วก็ทำตัวลื่นไหลแบบเนียนๆ ไปกับท่านโดยถามว่า แล้วหญิงท่านนั้นงามสมคำร่ำลือไหม ท่านก็ว่า งามจริงๆ งามจนน่าหลงใหลเลยล่ะ ตอนที่พูดใบหน้าของท่านยิ้มละไมอย่างมีความสุข
กลับมาที่ผู้บริหารท่านนั้นอีกครั้ง ว่าพอเจอกันในสภาพเช่นนั้นเราก็งงในตอนแรก จากนั้นล่ามที่มากับท่านก็แอบกระซิบบอกพวกเราถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ให้เรารู้ เราจึงเข้าใจ แต่กรณีของท่านนั้นไม่เพี้ยนแบบตัวอย่างที่ผมเล่ามา คือนอกจากสภาพร่างกายภายนอกของท่านตามที่เล่าไปแล้ว เนื้อหาที่สนทนากันก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อแยกกันแล้วเราก็ไปเยือนหน่วยงานวิชาการอีกบางแห่ง แล้วหน่วยงานนั้นก็เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อเย็นแก่พวกเรา คราวนี้พวกเราซึ่งอารมณ์ค้างมาจากมื้อเที่ยงก็เลยถือโอกาสถามฝ่ายเจ้าภาพบ้างว่า คิดอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คราวนี้ไม่มีใครเดือดดาลแม้แต่คนเดียว และคำตอบที่เราได้รับจึงเป็นคำตอบแบบสูตรสำเร็จ คือแทบทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่รัฐบาลทำไปเช่นนั้นก็เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง ถึงตอนนั้นเราก็รู้ว่า รัฐบาลกลางคงมี “คำชี้นำ” ลงมาแล้วว่าในเบื้องต้นให้ตอบเช่นนั้น พ้นไปจากนี้ค่อยว่ากันทีหลัง
นี่แสดงว่ารัฐบาลกลางเริ่มตั้งตัวได้แล้ว