ผู้จัดการสุดสัปดาห์- สถานการณ์การจ้างงานโดยรวมที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ตามรายงานสภาวะสังคมไตรมาส 2/2566 ของสภาพัฒน์ เมื่อล้วงลึกลงไปอาจไม่ใช่อย่างที่ว่าเพราะมีความย้อนแย้ง เนื่องจากคุณภาพของแรงงานไม่สอดคล้องกับความต้องการของนายจ้างจนกลายเป็นปัญหาขาดแคลนแรงงาน ยิ่งคนจบปริญญาตรี มีการจ้างงานต่ำ เงินเดือนน้อย ว่างงานพุ่ง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ออกมาเตือนว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยข้อมูลจากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2566 ระบุว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนมิถุนายน 2566 ตำแหน่งงานว่างเฉลี่ยอยู่ที่ 8.3 หมื่นตำแหน่ง ขณะที่มีแรงงานที่ได้บรรจุงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 หมื่นตำแหน่ง หมายความว่าผู้สมัครงาน 1 คน มีตำแหน่งงานรองรับถึง 5 ตำแหน่งโดยภาคส่วนที่พบปัญหาดังกล่าวเป็นพิเศษคือภาคบริการ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน เลขาธิการสภาพัฒน์ วิเคราะห์ว่า อาจมาจากปัญหาแรงงานมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง “สิ่งที่เป็นกังวลคือตำแหน่งงานที่ว่างไม่เหมาะกับผู้ที่ได้รับการจ้างงาน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากหลักสูตรการศึกษา หรือจำนวนผู้ที่จบการศึกษาในไทย ซึ่ง 40-50% จบมาจากสายบริหาร ขณะที่ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการส่วนใหญ่คือแรงงานที่จบมาในสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือการผลิต”
ในภาพรวม สภาพัฒน์รายงานว่า สถานการณ์ด้านแรงงานปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวในสาขานอกภาคเกษตรกรรม ขณะที่ภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ส่วนชั่วโมงการทำงาน ค่าจ้างแรงงาน และอัตราการว่างงาน ยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ตัวเลขการจ้างงาน ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 1.7 จากการขยายตัวของการจ้างงานสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ร้อยละ 2.5 โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการเข้ามาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นเดียวกับสาขาก่อสร้างที่มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 6.0 และสาขาการผลิต การค้าส่งและค้าปลีก และการขนส่งและเก็บสินค้า เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 0.3 0.5 และ 1.1 ตามลำดับ
ขณะที่ภาคเกษตรกรรม การจ้างงานหดตัวลงเล็กน้อยจากปี 2565 ที่ร้อยละ 0.2 ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภัยแล้ง
สำหรับชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานภาพรวมและเอกชนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ 42.7 และ 46.7 ตามลำดับ
ทางด้านค่าจ้างแรงงาน ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมและภาคเอกชนอยู่ที่ 15,412 บาท และ 14,032 บาทต่อคนต่อเดือน อัตราการว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 1.06 หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.3 แสนคน
ประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป นอกจากการขาดแคลนแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแล้ว ยังต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเกษียณอายุของแรงงานทักษะต่ำ โดยไตรมาสสองปี 2566 มีแรงงานทักษะต่ำในภาคเอกชนที่กำลังจะเกษียณอายุกว่า 1.3 ล้านคน ขณะที่แรงงานที่จะเข้ามาทดแทนมีแนวโน้มลดลง และผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ของเกษตรกรจากภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยปริมาณฝนสะสมในปัจจุบันมีค่าน้อยกว่าค่าปกติในทุกภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร
ยังมีประเด็นความท้าทายของตลาดแรงงานที่สืบเนื่องมาจากการย้ายถิ่นของประชากรในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากการปิดโรงงานและสถานประกอบการ
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจการย้ายถิ่นของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระหว่างปี 2562 – 2565 พบว่า ในช่วง COVID-19 เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรมากขึ้น โดยในช่วงปี 2563 – 2564 มีลักษณะการย้ายออกจากพื้นที่/จังหวัดขนาดใหญ่ที่เป็นตลาดงาน สำหรับภูมิภาคที่มีการย้ายเข้าจะเป็นพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ขณะที่ในปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จึงเริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายไปยังเมืองใหญ่มากขึ้น
สำหรับการย้ายถิ่นในช่วง COVID-19 ซึ่งกำหนดให้เป็นผู้ที่เคลื่อนย้ายมาอาศัยในพื้นที่ปัจจุบันมากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ในปี 2565 พบว่า คนกลุ่มนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2.1 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งของประชากรต้องการจะอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ตลอดไป หรือเป็นประชากรย้ายถิ่นถาวร ที่มีประมาณ 1.1 ล้านคน ขณะที่อีก 1.0 ล้านคน เป็นประชากรย้ายถิ่นชั่วคราว ซึ่งต้องการย้ายไปที่อื่นในระยะเวลาอันสั้น (น้อยกว่า 2 ปี) เพียง 1.9 แสนคน เท่านั้น
นอกจากนี้ หากพิจารณาสถานะการทำงานของประชากรย้ายถิ่นในช่วง COVID-19 พบว่า 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65.2 เป็นกำลังแรงงาน ในจำนวนนี้มีงานทำแล้วกว่า 1.3 ล้านคน โดยร้อยละ 58.1 อยู่ในภาคบริการ ซึ่งเกือบ 1 ใน 4 ไม่มีหลักประกันทางสังคม และส่วนใหญ่เป็นแรงงานอายุน้อยและมีทักษะสูง
สถานการณ์แรงงานย้ายถิ่นข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การคาดหวังว่าจะให้แรงงานเคลื่อนย้ายช่วง COVID-19 กลับมาชดเชยการขาดแคลนแรงงานในปัจจุบันคงทำได้ยาก มีประชากรเพียง 1.9 แสนคน ที่ต้องการย้ายถิ่นภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกำลังแรงงานเพียง 8.4 หมื่นคน ส่วนแรงงานที่กลับภูมิลำเนาจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาท้องถิ่น โดยกำลังแรงงานย้ายถิ่นมีระดับการศึกษา/ทักษะที่ค่อนข้างสูง ร้อยละ 39.1 เป็นผู้จบการศึกษาระดับปวช. ขึ้นไป แรงงานที่เคลื่อนย้ายในช่วง COVID-19 ส่วนใหญ่ไม่มีสวัสดิการรองรับ ซึ่งไม่เพียงจะกระทบต่อแรงงาน แต่ยังกระทบต่อครอบครัวของแรงงานที่จะขาดหลักประกันอีกด้วย
แนวทางที่ต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ภาคเอกชนต้องมีมาตรการจูงใจให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ภาครัฐอาจใช้โอกาสในช่วงการขาดแคลนแรงงานให้สถานประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อทดแทนแรงงานที่หายไป ขณะเดียวกัน บางอาชีพซึ่งเป็นอาชีพที่คนไทยไม่ทำ หรืองานที่ใช้ทักษะต่ำอาจจำเป็นต้องพิจารณานำเข้าแรงงานต่างด้าวเพิ่มเติมหากปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะต่ำมีความรุนแรงขึ้น
ภาพรวมสถานการณ์การจ้างงานของสภาพัฒน์ นับว่ามีหลายประเด็นที่น่าเป็นห่วง สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจความต้องการแรงงานจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงปี 2561 - 2565 พบว่าความต้องการแรงงานรวมเพิ่มขึ้นจาก 95,566 คนในปี 2561 เป็น 168,992 คนในปี 2565 แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้น ลดลงจาก 30.1% ของความต้องการแรงงานรวม ในปี 2561 เหลือเพียง 17.2% ในปี 2565 เท่านั้น
ส่วนสัดส่วนความต้องการแรงงานในการศึกษาระดับ ปวช. - ปวส. ลดลงเล็กน้อยจาก 23.7% ในปี 2561 เป็น 22.5% ในปี 2565 ขณะที่สัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มขึ้นจาก 41.1% ในปี 2561 เป็น 57.3% ในปี 2565
อีกทั้งเมื่อพิจารณาเฉพาะความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปและระดับ ปวช. และ ปวส. พบว่า สัดส่วนเฉลี่ยของความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปลดลง โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 45.6% ขณะที่ในระดับ ปวช. และ ปวส. เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 54.4%
ส่วนข้อมูลความต้องการแรงงานของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC ในปี 2565 จำแนกตามการศึกษา จำนวน 419 โครงการ ความต้องการแรงงานรวม 52,322 คน พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการมากที่สุดอยู่ที่ระดับ ป.6 ถึง ม.6 มีสัดส่วนถึง 59.1% ระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 25.2% ขณะที่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป อยู่ที่ 14.7% เท่านั้น
และเมื่อพิจารณาถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการมากที่สุด คือแรงงานระดับ ป. 6 ถึง ม.6 มีสัดส่วน 63.9 และ 63.2% ตามลำดับ ส่วน ระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 22.5% และ 23.6% ตามลำดับ ขณะที่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปอยู่ที่ 13.5% และ 12.9% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากำลังแรงงาน โดยอ้างอิงจากจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในภาคอุดมศึกษา (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) พบว่า ในปี 2564 มีจำนวนนักศึกษา ในระดับอุดมศึกษารวม 1,902,692 คน ลดลงจากจำนวน 2,171,663 ในปี 2561 แต่ยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับนักเรียนที่อยู่ในระดับ ปวช. และ ปวส. ในปี 2564 ที่มีจำนวน 374,962 คน
ตัวเลขดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ตลาดแรงงานที่เผชิญปัญหาความไม่สอดคล้องกันระหว่างกำลังแรงงานที่ผลิตออกมาและความต้องการของตลาด นั่นคือ มีแรงงานจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดที่จบอุดมศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสัดส่วนสูงมาก ขณะที่ความต้องการต่ำ ส่งผลให้แรงงานในระดับปริญญาตรีต้องทำงานต่ำกว่าระดับการศึกษามากขึ้น ทำให้สัดส่วนผู้ว่างงงานในระดับปริญญาตรีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจตลาดแรงงานไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ด้วยระบบ Big Data และการวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้โครงการ “วิเคราะห์การประกาศหางานออนไลน์” จาก 14 เว็บไซต์หางานในประเทศไทย ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ พบว่า มีการประกาศรับสมัครงานทั้งหมด 154,595 ตำแหน่งงาน เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรก ที่มีการลงประกาศรับสมัครงานทั้งหมดจำนวน 178,159 ตำแหน่งงาน สะท้อนว่าจำนวนตำแหน่งงานมีการปรับตัวลดลง
ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขณะที่มีผู้ว่างงานโดยเฉพาะระดับปริญญาตรีเพิ่มมากขึ้น เป็นความย้อนแย้งที่เป็นโจทย์ใหญ่ให้รัฐบาลใหม่ได้ขบคิดและถอดสลักระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ท้าทายยิ่ง