xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (12)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


การเดินขบวนของนักศึกษาในกว่างโจวเมื่อเย็นวันที่ 4 มิถุนายน 1989 หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อเช้าวันเดียวกันที่กรุงปักกิ่ง
คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 การเดินขบวนในกว่างโจว 


พวกเราเดินฝ่าผู้คนออกจากสถานีรถไฟกว่างโจวด้วยความหดหู่ไม่ต่างกับตอนไปเซินเจิ้น ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมามีสีหน้าไม่ต่างจากพวกเรา มีน้อยคนที่พูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ครั้นเดินมาถึงด้านนอกเราก็ขึ้นรถที่มารับเพื่อเข้าไปยังตัวเมืองกว่างโจว

เนื่องจากตอนที่กลับไปถึงกว่างโจวเวลายังวันอยู่ ทางฝ่ายจีนจึงให้ล่ามเป็นคนดูแลคณะของเราก่อนเวลาอาหารเย็น ล่ามพาเราเดินเล่นในใจกลางเมือง ซึ่งมีผมกับนักวิจัยอีกคนที่สมัครใจจะไปเดินเล่น ส่วนคนอื่นขอตัวไปพัก

เมืองกว่างโจวที่เราได้เดินชมนั้น สำหรับผมแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจพอสมควร เพราะอาคารบ้านเรือนของกว่างโจวเวลานั้นมีรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีบ้างที่ถูกแทรกด้วยอาคารที่มีรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบสังคมนิยมที่สร้างขึ้นหลังจากนั้น แต่ก็มีอยู่ไม่มากเท่าแบบแรก

 ที่ผมตื่นตาตื่นใจเช่นนั้นก็เพราะว่า ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมชอบดูหนัง แต่กล่าวเฉพาะหนังจีนในยุคที่ผมได้ดูนั้นส่วนใหญ่คือหนังจากฮ่องกง ที่มักสร้างโดยบริษัทชอว์ บราเดอร์ (Shaw Brothers) ส่วนน้อยสร้างโดยบริษัทอื่นหรือไม่ก็โดยทางไต้หวัน 

หนังเหล่านี้มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เป็นหนังย้อนยุคไปในช่วงที่จีนยังเป็นสาธารณรัฐ (1911-1949) ที่แม้ไม่ได้ถ่ายทำในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ก็มีหลายฉากที่มีอาคารแบบอาณานิคมให้เห็น อาคารเหล่านี้อยู่ในฮ่องกง เพียงแต่มีไม่มากเท่าจีนแผ่นดินใหญ่

ดังนั้น ทางผู้สร้างจึงเนรมิตอาคารเหล่านี้ขึ้นมาในโรงถ่าย ตอนที่ดูตอนเด็กๆ นั้นผมจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แต่พอมาดูตอนเป็นผู้ใหญ่ในขณะนี้ (ที่แก่แล้ว) จึงจับได้ไล่ทันว่า ฉากที่ว่าแม้จะทำได้เหมือนจริงก็ตาม แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมเห็นว่ามันโคลงเคลง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

 แต่ถ้าฉากไหนจำลองไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้ภาพจริงที่เป็นภาพนิ่ง เช่น ภาพหอบูชาฟ้า (เทียนถัน) หรือกำแพงเมืองจีน เป็นต้น เป็นฉากหลังโดยมีตัวละครสนทนาเป็นฉากหน้า ฉากแบบนี้ต้องการบอกว่าตัวละครอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น บางฉากเป็นภาพนิ่งเหมือนกัน แต่ใช้เทคนิคซูมเข้าซูมออกเพื่อสื่อว่าในขณะนี้กำลังอยู่ที่เมืองนั้น ถ้าเป็นภาพเมืองแล้วภาพที่ใช้บ่อยมากคือ ภาพเมืองเซี่ยงไฮ้ที่เป็นอาคารในยุคอาณานิคมที่เรียงรายอยู่ตรงริมฝั่งแม่น้ำฮว๋างผู่ หรือที่นิยมเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า บันด์ (bund)  

ภาพอาคารดังกล่าวผมเคยเห็นที่บ้านญาติสนิทคนหนึ่งสมัยเด็ก เห็นแล้วก็รู้สึกใจหวิวๆ เหมือนตอนที่ผมรู้สึกเมื่อได้เหยียบเมืองซัวเถาครั้งแรกตามที่ผมเคยเล่าไปแล้ว ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพนี้ผมมักยืนจ้องดูอยู่เป็นเวลานาน

ภาพนี้บันด์นี้ผมจึงได้เห็นคู่กันไประหว่างภาพนิ่งในหนังกับภาพที่เห็นที่บ้านญาติ

จนเวลาผ่านไปนับสิบปี ผมได้เจอญาติคนนี้อีกครั้งหนึ่งจึงถามว่าภาพนี้ยังอยู่ไหม เขาตอบว่ายังอยู่ แล้วรีบไปเอามาให้ผมได้ดู แล้วบอกว่า ตอนนี้เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมรู้สึกยินดีที่ได้ยินเช่นนั้นและบอกเขาไปว่า ต่อไปภาพนี้จะเป็นภาพที่หายากและจะมีราคาสูง

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า หลังจากนั้นอีกนับสิบปีเหมือนกัน ผมจะได้ไปเดินเล่นที่บันด์หลายครั้งจนจำไม่ได้ว่าไปมาแล้วกี่ครั้ง แถมบางครั้งยังได้ล่องเรือในแม่น้ำฮว๋างผู่ในยามราตรีอีกด้วย ซึ่งก็มากกว่าหนึ่งครั้งเช่นกัน

ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับที่ผมใจหวิวๆ เมื่อเห็นภาพนิ่งภาพนี้หรือไม่

 แต่ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับภาพอาคารดังกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้คนแตกตื่นกันขึ้นมา ผมฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะคนกว่างโจวเขาแตกตื่นกันด้วยภาษาจีนกวางตุ้งที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่ล่ามก็บอกเราว่า ข้างหน้านักศึกษากำลังเดินขบวนตรงมาทางนี้

พอได้ยินเท่านั้น ผมก็อยู่ไม่ติด รีบถลันออกไปที่ริมถนน แล้วก็เห็นภาพที่ว่าจริงๆ ผมจึงไม่รอช้าที่จะกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพดังกล่าว แม้ตั้งใจว่าจะกดไม่ยั้งมือ แต่ก็ทำไม่ได้มากนัก ด้วยเวลาในการเดินของขบวนนักศึกษาไปด้วยกันไม่ได้กับการเลือกจุดที่จะถ่ายรูปของผม ด้วยต้องเสียเวลาวิ่งไปมาเพื่อเลือกจุดที่ดีที่สุด ผมจึงถ่ายได้ไม่กี่ภาพ  

แต่ที่เสียมากที่สุดก็คือ เสียมารยาท เพราะผมทำให้ล่ามต้องคอยเป็นห่วง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เป็นเจ้าภาพให้ความสำคัญมาก ด้วยหากแขกของตนเป็นอะไรไป คนที่ซวยไม่เพียงจะเป็นล่ามในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเท่านั้น หากเจ้าภาพทั้งคณะจะพลอยซวยไปด้วย

ผมจึงขอโทษขอโพยล่ามเสียยกใหญ่ แต่ด้วยความที่เราคุ้นเคยกันผมจึงรู้ว่า อันที่จริงแล้วเธอตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือด้านหนึ่งก็อยากให้ผมได้ภาพเหล่านั้นเพื่อนำไปบอกเล่าให้คนอื่นได้รับรู้ แต่อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่า หากเธอถูกจับได้ว่าเป็นคนปล่อยให้ผม (ซึ่งเป็นคนต่างชาติ) ถ่ายภาพที่ว่า หรือหากผมเป็นอะไรไปในระหว่างนั้น ตัวเธอเองจะถูกลงโทษเอาได้

ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เธอติดตามเราตลอดนั้น ถึงแม้ผมจะรู้สึกไม่อิสระ แต่ก็ต้องเข้าใจภารกิจที่เธอถูกมอบหมาย แต่นั้นมาผมก็เก็บเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียนในการดูแลแขกต่างชาติเรื่อยมา ครั้นมีตำแหน่งบริหารในอีกหลายสิบปีต่อมา ผมก็มักกำชับกับเพื่อนร่วมงานทั้งรุ่นน้องและรุ่นลูกทุกครั้งที่มีชาวต่างชาติมาเป็นแขกของเรา ซึ่งสำหรับงานของผมแล้วแขกที่ว่ามักจะเป็นชาวจีน




อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินเล่นพอสมควรแก่เวลาแล้ว ล่ามก็พาเราไปพบกับคณะนักวิจัยจีนเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่รถแล่นผ่านวงเวียนใหญ่ใจกลางเมืองนั้น เราก็พบนักศึกษานั่งชุมนุมอยู่กลางวงเวียนนั้นนับพันคน ซึ่งก็คือนักศึกษาที่เดินขบวนที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้

นี่แสดงว่าตอนนั้นทางการกว่างโจวยังตั้งตัวไม่ติด ว่าจะจัดการกับเรื่องแบบนี้อย่างไร เพราะเหตุการณ์นองเลือดเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ทางรัฐบาลกลางที่ปักกิ่งก็กำลังวุ่นวายอยู่ จึงยังไม่มีคำสั่งใดๆ มาถึงรัฐบาลท้องถิ่น

อาหารมื้อเย็นวันนั้นยังคงเป็นมื้ออร่อยเช่นเคย แม้จะเป็นอาหาร “ขึ้นโต๊ะ” แบบพื้นๆ แต่ก็เป็นอาหารที่หรูในเวลานั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ บรรยากาศที่ค่อนข้างหงอยเหงา เพราะทุกคนต่างรู้แก่ใจว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวันนั้น

ดังนั้น วิธีทำลายบรรยากาศที่หงอยเหงาก็คือ การคุยเรื่องงานวิจัยเรื่องชาวจีนโพ้นทะเล ว่าที่เราได้ไปซัวเถามานั้นได้ข้อมูลเป็นที่พอใจหรือไม่ และผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกถาม แต่เรื่องที่ผมเล่ากลับเป็นเรื่องอาหารมื้อหนึ่งที่ซัวเถา ที่มีเจ้าภาพเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำท้องถิ่น ว่าท่านเป็นจีนฮากกาหรือจีนแคะเหมือนผม

ท่านจึงให้ความเป็นกันเองโดยยกนิ้วชี้สองข้างมาแนบกันเพื่อบอกว่าเราใกล้ชิดกัน

ตอนที่รู้ว่าท่านเป็นจีนแคะนั้นผมไม่คิดอะไรนอกไปจากว่าเป็นพวกเดียวกัน จนอีกหลายปีต่อมาจึงรู้ว่า เวลานั้นมณฑลกว่างตงมีจีนแคะเป็นใหญ่เป็นโต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนรัฐประหารโค่นล้มแก๊งสี่คนเมื่อเดือนตุลาคม 1976 นั้น ผู้ที่ทำคือ  เย่เจี้ยนอิง (1897-1986)  นายทหารชาวจีนแคะ หลังรัฐประหารจึงมีความดีความชอบ

และบำเหน็จที่ได้รับก็คือ ลูกหลานและเครือข่ายของเย่เจี้ยนอิงในกวางตุ้งต่างก็ได้ดิบได้ดีไปตามๆ กัน


กำลังโหลดความคิดเห็น