xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ดรามา “รัฐบาลลุง” ตัดจบเบี้ยผู้สูงอายุ “ถ้วนหน้า” จับตา “ประกันสังคม” ย่ำรอยลดบำนาญชราภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังเป็นที่ถกเถียงและสงสัยกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “เบี้ยผู้สูงอายุ” คนละ 600 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่ได้พอยาไส้อะไรเลย เมื่อถึงตอนแก่อายุครบ 60 ปี จะยังได้รับกัน “ถ้วนหน้า” อย่างที่เคยเป็นมาตลอด 14 ปี หรือไม่ อย่างไร บ้างก็ว่าได้รับเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่รอฟังคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติก่อน บ้างก็ว่าถ้ามีรายได้พอเลี้ยงตัวเองแล้วก็จะไม่ได้ แล้วแต่ว่าใครรับรู้ข้อมูลกันมาอย่างไร 

แต่ที่แน่ ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ “รัฐบาลลุง”  เจอปาก้อนอิฐแทนดอกไม้ มีเสียงก่นด่าจากประชาชน และพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่ “พวกเดียวกันเอง” อย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งกำลังนำทีมฟอร์มรัฐบาลใหม่ ก็ยังไม่เอาด้วย

การ “ปรับเกณฑ์ใหม่”  ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้ว และเมื่อมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา นั่นหมายความว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้มีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายแล้ว นับจากวันที่ 11 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ที่รอตอนนี้ก็คือรายละเอียดที่จะตามมาเท่านั้น เช่น ต้องเป็นคนจนระดับไหน ซึ่งไกด์ไลน์ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ไว้ก็คือ เป็นคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนที่กำหนดโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ คือ ประมาณ 2,800 บาทต่อเดือน

หากดูตามหลักเกณฑ์เดิม “ผู้สูงอายุ” หรือคนแก่อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินผู้สูงอายุ จะต้องเป็นผู้ที่ไม่รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อย่างอื่นจากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือ อปท. ผู้ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือ อปท. ให้เป็นประจำ ยกเว้นผู้พิการ และผู้ป่วยเอดส์ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพของอค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548

ส่วนหลักเกณฑ์ใหม่ ตาม “ประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566” คนที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ 600 บาทต่อเดือน ต้องมีสัญชาติไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตองค์กรปกครองส่วนท้อนถิ่น มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเป็นผู้ที่ยืนยันสิทธิขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด

ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียน และรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต่อไป และระหว่างที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังไม่ได้กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยึดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติมไปพลางก่อน

สำหรับเกณฑ์ใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแล้วกลายเป็นประเด็นร้อน อยู่ตรงข้อความที่ว่า  “เป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด”  ก่อให้เกิดวิวาทะกันดุเดือด ทั้งฝั่งการเมือง และขบวนประชาชนโดยเฉพาะเครือข่ายผลักดันบำนาญถ้วนหน้า มีการล่ารายชื่อคัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุระบบถ้วนหน้ากันคึกคัก เพราะต้องไม่ลืมว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย จากสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยปี 2565 มีจำนวนมากถึง 12,116,199 คน คิดเป็น 18.3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด

ที่สำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ผู้ชราชาวไทยไม่ใช่พวกที่รวยก่อนแก่ แต่เป็นพวกที่แก่ก่อนรวย ไม่มีเงินออม ซ้ำยังมีหนี้สินพะรุงพะรัง หาเงินใช้หนี้จนตายก็ยังไม่หมด มาตรการลดดอกลดต้นอะไรต่อมิอะไรก็เอาไม่อยู่

สำหรับเหตุผลของการปรับลดเบี้ยคนชราลงนั้น  นางสาวรัชดา ธนาดิเรก  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ 50,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาทต่อปี และแตะ 90,000 ล้านบาทแล้ว ในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้น หากลดการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงที่อาจไม่มีความจำเป็นต้องได้รับเบี้ย ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังเพื่อช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนกว่า เป็นการสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ขอฝ่ายการเมืองอย่ามองเป็นการลักไก่ เพราะไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะทำเช่นนั้น

 “ลักไก่” ออกเกณฑ์ใหม่ รัฐบาลรักษาการไม่ควรทำ 

แน่นอน เมื่อมีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุกันใหม่ ก็ย่อมตกเป็นประเด็นการเมือง และกลายเป็นกระแสสังคม เพราะกระทบกับประชาชนหลายล้านคน

หัวหมู่ทะลวงฟันจากพรรคก้าวไกล  นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร  ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกมาฟาดผ่านการโพสต์เฟซบุ๊กว่าเป็นเรื่องใหญ่ ลักไก่เปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากเดิมจ่ายแบบถ้วนหน้า ตั้งแต่ 12 สิงหาคม 2566 ต้องมาพิสูจน์ความจน เป็นเรื่องที่กระทบกับสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรง หลักเกณฑ์ใหม่นี้ แม้จะระบุว่าผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป แต่หลักเกณฑ์นี้จะส่งผลกระทบกับสิทธิของประชาชนทุกคนที่จะทยอยอายุครบ 60 ปี ในอนาคต และประชาชนที่จะมีอายุครบ 70 ปี 80 ปี 90 ปี ที่ต้องได้รับการปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ก็มีคำถามต่อว่า จะได้รับการปรับเพิ่มหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่แต่เดิมพอจะมีรายได้จุนเจือตนเองบ้าง ซึ่งตามหลักเกณฑ์ใหม่จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ หากในเวลาต่อมารายได้ที่เคยดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเกิดหดหายไป ผู้สูงอายุคนนั้นจะไปติดต่อขอรับเบี้ยยังชีพได้ที่ไหนอย่างไร

นายวิโรจน์ ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60+ ปี) อยู่ 11 ล้านคน ทราบข่าวมาว่า จะมีการใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน ในการพิจารณาจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้มีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพเพียงแค่ 5 ล้านคนเท่านั้น โดยผู้สูงอายุอีก 6 ล้านคน จะถูกรัฐลอยแพ

ที่สำคัญ คือ เราก็รู้อยู่แล้วว่าฐานข้อมูลของบัตรคนจน นั้นมีความมั่วอยู่พอสมควร มีคนจนถึง 46% ที่ไม่ได้รับบัตร ในขณะที่ 78% ของคนที่ถือบัตร เป็นคนที่ไม่ยากจนแต่อยากจน ข้อมูลตกหล่นมากมายแบบนี้ แล้วจะเอามาใช้เป็นเกณฑ์ในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้อย่างไร

การปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุในครั้งนี้ ถือเป็นการลักไก่ของรัฐบาลรักษาการที่แย่มาก ๆ เป็นการวางยาทิ้งทวนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งโดยปกติวิสัยของรัฐบาลรักษาการนั้นไม่ควรทำ ประชาชนคงต้องจับตาดูต่อไปว่ารัฐบาลที่กำลังจะเข้ามารับไม้ต่อ จะจัดการอย่างไรกับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับนี้

ด้าน  นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด  สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การเพิ่มเงื่อนไขผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นการทำลายหลักการรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ตอกย้ำระบบรัฐสงเคราะห์ที่เลือกปฏิบัติ เลือกให้เฉพาะคนจน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักสากล ถือเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิของประชาชนอย่างรุนแรง รัฐบาลรักษาการควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการจะถูกต้องเหมาะสมกว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปากประกาศวางมือ แต่ใจเหมือนคิดวางยาหรือไม่ อย่าผูกขาดทวงบุญคุณกับประชาชนว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เท่านั้นที่จะดูแลผู้สูงอายุได้

ทางด้าน  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่าเกณฑ์ใหม่เป็นการทำลายหลักการสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ตอกย้ำรัฐสงเคราะห์ ให้เฉพาะคนจนหรือคนอนาถา ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักสากล แต่เป็นระบบที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถนัด นั่นคือการเลือกปฏิบัติ และสร้างบุญคุณในการช่วยเหลือ เช่น บัตรคนจน หรือเงินอุดหนุนบุตร เป็นต้น ทั้งที่จริงมันคือสวัสดิการที่รัฐพึงจัดหาให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษีทุกคนอยู่แล้ว แนวคิดนี้นอกจากจะสะท้อนปัญหารัฐบาลหาไม่ได้ ใช้เงินไม่เป็น ต้องมาลดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปกว่า 6 ล้านคน ด้วยการเพิ่มเงื่อนไขการรับเงินแล้ว ยังลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพลเมืองไทย ต้องไปยืนยันตัวตนว่าเป็นคนจนถึงจะได้รับสิทธิ

คุณหญิงสุดารัตน์ ยืนยันว่า พรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยเครือข่ายบำนาญประชาชน กว่า 3.2 ล้านคน จะคัดค้านระเบียบกระทรวงนี้อย่างเต็มที่ และจะสนับสนุนให้เกิดบำนาญประชาชนที่มอบเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท ตามที่ได้หาเสียงเลือกตั้งไว้อย่างสุดความสามารถ ซึ่งตอนนี้ร่างกฎหมายบำนาญประชาชนถูกยื่นไปยังรัฐสภาเรียบร้อยแล้วก่อนการเลือกตั้ง และรอบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณา

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “บำนาญแห่งชาติ” ของเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ โพสต์ข้อความระบุว่า รอบใหม่นี้ เราจะไป #บึ้มๆ กว่าเดิม!!! [ปกป้องสวัสดิการประชาชน ค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ] โดยเครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) นัดชุมนุมกันวันที่ 17 สิงหาคม 2566 ที่หน้ากระทรวงการคลัง จากนั้นไปยังกระทรวงมหาดไทย ตามด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ทางด้านสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) นำโดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน  ประธาน สสรท. ได้เคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ยื่นหนังสือถึงรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คัดค้านการหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่และขอให้ทบทวนยกเลิก เพราะเป็นการทำลายหลักการรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ทำให้สวัสดิการผู้สูงอายุในไทย “ถอยหลัง” ไปจากปี 2552 เป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

  ผู้สูงอายุในอัตราเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 800 บาทต่อเดือน จะใช้งบประมาณ 9,600 ล้านบาท ทั้งปีจะใช้งบประมาณ 115,200 ล้านบาท หากคิดเป็นสัดส่วนจากงบประมาณแผ่นดินปีละประมาณ 3,200,000 ล้านบาท สัดส่วนประมาณร้อยละ 3.6 ซึ่งไม่มากเลย และที่สำคัญเมื่อเงินจ่ายออกไปแล้วเงินก็จะหมุนกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ 

ยิ่งไปกว่านั้นถ้ารัฐบาลกล้าพอที่จะเก็บภาษีในอัตราที่ก้าวหน้า ทั้งภาษีที่ดิน-ทรัพย์สิน ภาษีมรดก ภาษีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในแต่ละปีซื้อขายกันกว่า 20,000,000 ล้านบาท แต่ไม่เก็บภาษีกันเลยนับตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา รวมทั้งลดการอุดหนุนกลุ่มทุนภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนปีหนึ่งกว่า 300,000 ล้านบาท หรือแม้กระทั่งการบริหารจัดการงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้มีการทุจริต รั่วไหลก็สามารถนำงบประมาณไปจัดรัฐสวัสดิการได้อย่างดีและเพียงพอ

 รอหลักเกณฑ์ใหม่ “บิ๊กป๊อก” ย้ำต้องตัดสูงวัยร่ำรวยออก 
หลังจากกระแสคัดค้านการเปลี่ยนเกณฑ์จ่ายเบี้ยชราร้อนแรงขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงที่มาที่ไปกรณีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ว่า เรื่องเงินดูแลผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเจ้าของเรื่อง โดยมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ แต่งบประมาณส่วนนี้นำมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จ่าย เรื่องจึงเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย เป็นที่มาว่าโดยกฎหมาย อปท.จะจ่ายได้นั้น กระทรวงมหาดไทย จะต้องออกระเบียบเพื่อที่ให้ดำเนินการได้

แต่อย่างไรก็ตาม เคยมีปัญหาเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา อปท.ก็จ่ายเงินตามปกติ ให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ทางกรมบัญชีกลาง ทักท้วงว่าคนที่มีรายได้ส่วนอื่นจากของรัฐจะรับอีกไม่ได้ ในช่วงนั้นก็มีการแก้ไขปัญหากัน สรุปว่าที่จ่ายไปแล้วก็ไม่เรียกคืน ที่เรียกคืนไปแล้วเราก็ไปจ่ายเงินคืนให้เหมือนเดิม มาถึงตอนนี้จะจ่ายอย่างไรนั้น จึงอยู่ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นคนกำหนด หลังจากนั้นกระทรวงมหาดไทย จะไปออกระเบียบให้สอดคล้องกับที่กำหนดมา หากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังไม่กำหนด อปท. ก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่อายุจะครบ 60 ปี

 “ผมก็เป็นข้าราชการเกษียณแล้ว มีบำนาญ 60,000 กว่าบาท คุณคิดว่าผมควรได้ไหม นั่นแหละเป็นสิ่งที่เขาจะพิจารณาว่า คนแบบใดไม่ควรได้ คนแบบใดควรได้ จึงย้ำว่าเป็นเรื่องที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นคนกำหนดเรื่องนี้ มหาดไทย ก็ออกระเบียบให้สอดคล้องกับเขาเท่านั้นเอง อย่ามองด้านเดียวว่าไปตัดสิทธิ สรุปแล้วจะตัดไม่ตัดอย่างไร อยู่ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จะกำหนดเกณฑ์มา แต่คิดว่าต้องตัด คนอย่างผมไม่ควรจะได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว  

หากตีความระหว่างบรรทัดตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์สื่อ เป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการล้มเลิกระบบสวัสดิการ “ถ้วนหน้า” ผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพ 600 บาทต่อเดือน ต้องพิสูจน์ “ความจน” กันก่อน ตามเกณฑ์ใหม่

 นายจุติ ไกรฤกษ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เผยว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่แก้มาเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2560 เดิมทีระเบียบกฎหมายมันออกมาปี 2553 แต่พอมีรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ก็ต้องแก้ให้สอดคล้อง ซึ่งระบุว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ รัฐต้องให้การสนับสนุนตามสมควร ซึ่งการจำกัดความหรือเกณฑ์การพิจารณานั้น คณะกรรมการผู้สูงอายุ ต้องเป็นคนกำหนดตามกฎหมาย จากนั้นก็จะนำเกณฑ์นั้นมาใช้ ขณะนี้เมื่อยังไม่มีเกณฑ์ก็ให้ใช้เกณฑ์เก่าไปก่อนตามบทเฉพาะกาล

 นายปกรณ์ นิลประพันธ์  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่าหลักเกณฑ์ใหม่ออกตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 เรื่องเสร็จที่ 611/2564 เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 48 วรรคสอง ที่ระบุว่า…“บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ”


สำหรับปัญหาของการหารือ เนื่องจากระเบียบเดิมที่จ่ายไปเขียนเพิ่มว่า ใครที่ได้รับเงินจากรัฐไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบำเหน็จ บำนาญ ห้ามมารับเบี้ยผู้สูงอายุอีก กฤษฎีกาบอกว่าไม่ได้ ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 บัญญัติไว้ว่าอายุ 60 ปีขึ้นไปและเป็นผู้ยากไร้ เพราะฉะนั้นกฤษฎีกา จึงมีความเห็นไปว่า เป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 วรรคสอง จึงต้องไปออกเกณฑ์ว่า หนึ่ง ต้องอายุ 60 ปี และสองเป็นผู้ยากไร้ ไม่มีรายได้พอแก่การดำรงชีพ โดยให้ไปอ้างอิงระดับเส้นความยากจน คือ มีเกณฑ์อ้างอิงที่ชัดเจน

 “ไม่มีใครลักไก่ใครได้หรอก คนจ้องดูจะตาย อย่าให้เป็นประเด็นการเมืองมากนักเลย ประเทศวุ่นวายพอแล้ว กฤษฎีกาทำเป็นข้อสังเกต แนะนำว่าต้องมีเกณฑ์ เช่น จำนวนรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร หรือจำนวนรายได้ตามเส้นแบ่งความยากจนจากฐานข้อมูลสภาพัฒน์ หรือจำนวนเงินตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนดตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำก็ได้ เป็นเพียงความเห็นกฤษฎีกา....” นายปกรณ์ กล่าว 


เว็บไซต์สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กำหนดเส้นความยากจนไว้ที่ 2,802 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบงบประมาณ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ - บำนาญข้าราชการ ปีงบประมาณ 2566 จากฐานข้อมูลของสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี จะพบว่า เบี้ยผู้สูงอายุ 11.03 ล้านคน จำนวน 87,580.10 ล้านบาท ส่วนเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญข้าราชการ 811,272 คน จำนวน 322,790 ล้านบาท

 กระทบสิทธิเบี้ยชราภาพประกันสังคม หรือไม่? 

ก่อนหน้านี้ มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ประกันตนที่รับเงินบำนาญชราภาพ ยังมีสิทธิที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อีกหรือไม่ ซึ่ง  นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึง การรับเงินบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม จะทับซ้อนกับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่า แม้ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม ก็มิใช่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ ผู้ประกันตนดังกล่าวจึงเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามข้อ 6 (4) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 ดังนั้น ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพ จึงเป็นผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี มีคำถามว่าเมื่อมีการเปลี่ยนเกณฑ์การรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งต้องพิสูจน์ “ความยากจน”  และเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด นั้น จะกระทบสิทธิผู้ประกันตนหรือไม่ เช่น ถ้าหากว่าผู้ประกันตนได้รับเงินบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม เดือนละ 3,000 บาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่มากกว่าเส้นความยากจน ตามที่สภาพัฒน์ กำหนดไว้ที่ 2,802 บาทต่อเดือน

 อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ประกันตนตาม ม. 33 เฝ้าติดตามก็คือ กระทรวงแรงงา เตรียมเสนอร่างกฎหมายปรับขึ้นเพดานเงินสมทบเป็นขั้นบันได ตั้งแต่ปี 2567 ผู้ประกันตน ม.33 ต้องจ่ายประกันสังคมเพิ่มจาก 750 เป็น 875-1,150 บาท/เดือน โดยคำนวณจากฐานเงินเดือน 17,500 บาทต่อเดือน (2567-2569) 20,000 บาทต่อเดือน (2570-2572) และ 23,000 บาทต่อเดือน (ปี 2573 เป็นต้นไป)

สำหรับสิทธิประโยชน์ หลังการปรับเพดานเงินสมทบ ในส่วนของเงินบำนาญชราภาพ จะได้รับไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน 


อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะกองทุนชราภาพจากหลากสำนักรวมทั้ง สปส. ต่างเห็นตรงกันอนาคตเงินกองทุนประกันสังคม จะไม่เพียงพอเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายบำนาญให้ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุ โดยงานศึกษาหลายชิ้นสรุปภาพรวมตรงกันว่า เงินกองทุนประกันสังคมที่ร่อยหรอลงและจะมีปัญหาในอนาคตหากไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ

 ถึงที่สุดแล้ว “รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า” ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น คงเป็นได้แต่เพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของประชาชนคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วน “ยากจน” กันถ้วนหน้า 



กำลังโหลดความคิดเห็น