xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (10)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ลิ้นจี่กว่างตง (แฟ้มภาพซินหัว)
 คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


 ไปกว่างโจว 

พูดถึงชีวิตยามราตรีที่ซัวเถาแล้วมีเรื่องหนึ่งที่ผมอดรู้สึกเสียดายไปไม่ได้ นั่นคือ มีอยู่คืนหนึ่งที่นักวิจัยจีนได้พาเราไปพบกับนักเขียนบทงิ้วที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในซัวเถา งิ้วที่ว่านี้เป็นงิ้วที่ร้องเป็นเสียงจีนแต้จิ๋วแบบงิ้วที่แสดงในย่านเยาวราชบ้านเราในสมัยหนึ่ง

ที่ว่าเสียดายก็คือ ตอนที่เราได้สนทนากับนักเขียนบทงิ้วท่านนี้ผมไม่มีความรู้เรื่องงิ้วเลย ครั้นเวลาผ่านไปอีกนับสิบปี ผมจึงรู้ว่า งิ้วแต้จิ๋วเป็นงิ้วที่บทไพเราะกินใจมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครฟังจีนแต้จิ๋วได้ก็จะดื่มด่ำไปกับบทงิ้วได้ด้วย
ส่วนผมฟังไม่รู้เรื่องก็หมดสิทธิ์ที่จะดื่มด่ำไปกับเขา

 การที่ทางฝ่ายจีนจัดให้เราได้พบปะสนทนากับนักเขียนบทงิ้วท่านนี้นั้น ส่วนหนึ่งถือเป็นการเข้าเยี่ยมตัวท่านด้วย เพราะตอนที่ไปพบท่านมีอายุมากแล้ว แต่สติสัมปชัญญะยังดีอยู่ และที่จัดให้เข้าเยี่ยมคงเพราะสมัยที่เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น ท่านเคยถูกพวกเรดการ์ดเล่นงานในข้อหาที่ขลุกอยู่กับ “สิ่งเก่า” ซึ่งก็คือบทงิ้วที่เป็นเรื่องราวในยุคศักดินา และการปฏิวัติวัฒนธรรมเห็นว่าควรกำจัด 

แต่ท่านจะโดยเล่นงานอย่างไรเป็นเรื่องที่เราไม่พูดและไม่ถาม ประเด็นนี้จะว่าเป็นเรื่องมารยาทก็คงจะได้ เพราะบางคนถูกพวกเรดการ์ดเล่นงานด้วยวิธีที่ทำให้ได้รับความอับอาย ดังนั้น เรื่องแบบนี้จึงย่อมต้องให้เจ้าตัวเล่าเอง ซึ่งก็มีไม่น้อยที่เล่าโดยไม่อาย แต่เล่าด้วยความคับแค้นใจ

ที่สำคัญ ต้องการเปิดโปงความเลวร้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรมกับพวกเรดการ์ด

พ้นไปจากนี้แล้วก็ยังมีอีกที่หนึ่งที่เราได้เดินทางไปเยือนด้วยก็คือ โรงงานที่นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนได้เข้าไปลงทุนในซัวเถา ซึ่งทางฝ่ายจีนนอกจากจะต้องการให้เราได้เห็นว่า ปฏิสัมพันธ์ของชาวจีนโพ้นทะเลกับประเทศไทยเป็นอย่างไรแล้ว จีนก็ยังต้องการแสดงให้เห็นด้วยว่า ตอนนี้จีนเปิดกว้างให้กับการลงทุนของต่างชาติแล้วด้วย ซึ่งก็ถือเป็นการโฆษณานโยบายเปิดประเทศของจีนว่าจีนเปิดจริงๆ

ข้อมูลที่เหลือนอกนั้นก็เป็นสิ่งละอันพันละน้อยที่เราสัมผัสด้วยสายตา และการสนทนาระหว่างเดินทางไปยังที่ต่างๆ กับนักวิจัยจีน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลไปด้วยในตัว เราอยู่ที่ซัวเถา 2-3 วันก็ได้เวลาที่ต้องเดินทางไปมหาวิทยาลัยจงซัน เพื่อไปพบกับนักวิจัยของสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หน่วยงานที่ร่วมมือกับเราในโครงการวิจัยนี้

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กว่างโจว (กวางเจา) อันเป็นเมืองเอกของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ตอนที่เดินทางไปนั้น เวลาได้ล่วงสู่เดือนมิถุนายนแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่ซัวเถานั้น เราแทบไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงของนักศึกษาที่ปักกิ่งเลย

รู้แต่ก่อนออกจากเมืองไทยเพียงว่า ผู้ชุมนุมยังไม่ได้รับชัยชนะ เพราะรัฐบาลกลางไม่ยอมเจรจาด้วย แต่ก็ยังไม่ได้จัดการกับการชุมนุมแต่อย่างไร

เราเดินทางไปกว่างโจวด้วยเครื่องบิน ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ตอนที่ไปถึงภาพที่ทำให้ผมงงงันก็คือ สายพานที่ลำเลียงสัมภาระของผู้โดยสารตั้งอยู่ในที่ที่แทบจะเรียกว่ากลางแจ้งก็ว่าได้ คือไม่ได้อยู่ในตัวอาคารดังสนามบินทั่วไป แต่อยู่บนพื้นสนามบินที่ไม่ไกลจากที่เครื่องบินลงมากนัก และมีแค่หลังคาคุมให้พอกันแดดกันฝนได้เท่านั้น ไม่มีผนังหรือแม้แต่เพดาน

ดังนั้น ในขณะที่ยืนรอรับสัมภาระอยู่นั้นจึงมีลมโชยมาเป็นระยะๆ

ลองคิดดูว่า เวลานั้นจีนมีฐานะเศรษฐกิจเช่นไรไม่ต้องบอกก็รู้ แต่ที่เป็นเช่นที่เห็นก็ดังได้กล่าวมาโดยตลอดแล้ว ว่าตอนนั้นจีนเพิ่งเปิดประเทศมาได้เพียงสิบปี และจีนเองก็ไม่ได้คิดว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางมาจีนกันมากมาย การจัดเตรียมสนามบินให้ได้มาตรฐานจึงไม่ทันการ

แต่ถ้าถามว่า จีนได้เตรียมการหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า เตรียม แต่ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ว่าควรจะทำเช่นไรจึงจะสามารถตั้งรับได้อย่างมีมาตรฐาน และจีนก็ทำได้จริงๆ เพราะหลังจากนั้นอีกสิบกว่าปีผ่านไป สนามบินที่กว่างโจวก็โอ่อ่าใหญ่โตและทันสมัยสมฐานะ ไม่เหลือร่องรอยแบบที่ผมเห็นอีกเลย

หลังจากได้รับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมาด้านนอกและได้เห็นนักวิจัยฝ่ายจีนจำนวนหนึ่งมายืนต้อนรับอยู่แล้ว ครั้นทักทายกันพอเป็นพิธี ล่ามก็นำเราไปยังรถที่จอดรอเราอยู่ ล่ามคนนี้เป็นลูกจีนในไทย แต่ทางญาติที่เมืองไทยได้ส่งเธอมาเรียนที่กว่างโจว โดยอาศัยอยู่กับญาติที่กว่างโจวนั้นเอง

เธอจึงพูดไทยได้คล่องแคล่ว เวลาแปลไทยเป็นจีนหรือแปลจีนเป็นไทยจึงไม่มีปัญหา

ล่ามคนนี้เราเคยเจอเธอที่เมืองไทย เมื่อคราวที่เธอมากับนักวิจัยจีนในฐานะล่าม จากเหตุนี้ เราจึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเธอไม่น้อย ซึ่งกับผมแล้วเธอคุ้นเคยจนเรียกชื่อเล่นของผมมาจนบัดนี้ (ผมได้คุยกับเธอผ่านโทรศัพท์ทางไกลระหว่างไทย-จีนเมื่อปี 2020 ในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดไปทั่วโลก) ครั้นเจอหน้ากันเราต่างก็ดีใจ และเธอก็คงรู้ว่า เรื่องที่เราอยากรู้ก็คือ สถานการณ์การชุมนุมของนักศึกษาในขณะนั้น

 เธอเล่าว่า ยากที่ฝ่ายนักศึกษาจะเอาชนะได้ เพราะว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมในรัฐบาลเข้มแข็งมาก จนจำนวนผู้ชุมนุมลดลงเรื่อยๆ ด้วยความอ่อนล้า ได้ฟังเพียงเท่านั้นเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีก จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยจงซัน ตอนนั้นเวลาได้ล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นของวันแล้ว 

พอไปถึงห้องรับรอง เราก็ได้พบกับนักวิจัยฝ่ายจีนที่เคยพบกันที่เมืองไทยครบทุกคน

เวลาพบกันเช่นนี้ทางจีนจะต้อนรับแขกด้วยชาจีนดังที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว แต่มีนักวิจัยท่านหนึ่งได้ซื้อลิ้นจี่พวงใหญ่มาต้อนรับพวกเราด้วย ซึ่งตอนนั้นในไทยยังไม่มีแพร่หลายดังปัจจุบัน แต่พอเห็นเข้าผมก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ด้วยเปลือกลิ้นจี่แทบทั้งพวงดูกระดำกระด่างเหมือนช้ำ เห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจท่านที่ซื้อมาฝาก ว่าท่านคงซื้อได้แต่ลิ้นจี่คุณภาพเช่นที่เห็น

เกษตรกรเก็บลิ้นจี่ในสวนที่เขตฉงฮว่า นครกว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกว่างตงทางตอนใต้ของจีน (แฟ้มภาพซินหัว)
แต่เราก็เด็ดลิ้นจี่มากินตามมารยาท ผมซึ่งเด็ดมาด้วยก็ปอกเปลือกลิ้นจี่ด้วยความรู้สึกที่ว่า แต่พอป้อนเข้าปากตัวเองแล้วเคี้ยวโดยได้หวังอะไร ผมถึงกับตะลึงกับความหวานกรอบของลิ้นจี่ จนบอกกับตัวเองว่า ตั้งแต่กินลิ้นจี่มา ไม่เคยได้กินลิ้นจี่ที่อร่อยเท่านี้มาก่อน

ดังนั้น แม้จะพยายามรักษามารยาทด้วยการฟังการสนทนาอย่างตั้งใจอย่างไร แต่มือของผมก็อดไม่ได้ที่จะเด็ดลิ้นจี่กินไปด้วย กินไปแล้วก็ทำให้คิดถึงหยังกุ้ยเฟย (ค.ศ.719-756) สนมเอกของจักรพรรดิจีนในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ที่ชอบลิ้นจี่ทางภาคใต้ของจีนอย่างมาก มากจนจักรพรรดิต้องเอาอกเอาใจพระนางด้วยการให้ม้าเร็วควบมาทางภาคใต้ เพื่อนำเอาลิ้นจี่กลับไปให้พระนางได้ทันเสวยก่อนที่จะช้ำหรือเน่า เพราะระยะทางจากเมืองหลวงกับภาคใต้จีนห่างกันนับพันกิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมในเย็นวันนั้นจบลง ฝ่ายจีนก็นำเราไปยังหอพักของมหาวิทยาลัยเพื่อให้เราพำนัก หอพักนี้เป็นแบบสมัยเก่า เพราะเป็นอาคารเก่าในยุคอาณานิคม ภายในห้องยังต้องกางมุ้งนอนกันอีกด้วย

คืนนั้นผมนอนหลับสนิท ในใจยังคิดถึงรสชาติอาหารกวางตุ้งมื้อเย็นวันนั้น ว่าอร่อยสมกับที่ถูกยกให้เป็นอาหารชั้นเลิศของจีน โดยหารู้ไม่ว่ามื้อข้างหน้ายังมีที่เลิศกว่านี้อยู่อีก พอหยุดคิดถึงเรื่องกินก็คิดถึงเรื่องงานในวันรุ่งขึ้นที่เราจะเดินทางไปยังเมืองหนึ่ง ที่ซึ่งต่อไปจะเป็นที่รู้จักกันดีของชาวไทย

 นั่นคือ เซินเจิ้น 


กำลังโหลดความคิดเห็น