xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทะลุวัง” ถ่อยแล้ว ถ่อยอยู่ ถ่อยต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเลยทีเดียวสำหรับพฤติกรรมของ “กลุ่มทะลุวัง” ที่ “ดิบและเถื่อน” ชนิดที่สังคมยากจะยอมรับได้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุด ที่ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม แกนนำคนสำคัญ นำคณะบุกไปขัดขวางแกนนำพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ออกจากพรรคเพื่อไทยหลังแถลงข่าวร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งตะโกนคำหยาบคายใส่หน้า “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ลงจากรถไปขอร้องให้ถอยออกไปก่อน ซ้ำยังจุดพลุแฟลร์โยนเข้าใส่อย่างไร้บุกสติ จนพลุแฟลร์ไปโดนนักข่าวรายหนึ่งและเกือบมีเรื่องชกต่อยกัน

กระทั่ง “สุนัย ผาสุก” ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ฮิวแมนไรตส์วอตช์ (Human Rights Watch) ประจำประเทศไทย ที่มักจะให้ท้ายนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ต้องออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “พฤติกรรมคุกคามคนเห็นต่าง และใช้ความรุนแรง ล้ำเส้นการใช้เสรีภาพแสดงออกอย่างสันติ...ควรขอโทษ และรับปากว่าจะไม่ทำอีก ไม่ใช่แค่ทำให้เสียแนวร่วม และการยอมรับจากสังคมในประเทศ แต่ยังเสียความคุ้มครองภายใต้กติกาสากลที่เคยได้รับในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญช่วยคุ้มครองเวลาถูกรัฐเล่นงานด้วยมาตรการต่างๆ”

หรือแม้กระทั่ง “ศาสดาซ้ายตกขอบ” อย่าง “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ถึงกับเอ่ยปากว่า “ไม่เห็นด้วย” กับการเคลื่อนไหวของพวกเขา พร้อมกับนำ “คลิปวิดีโอ” การแสดงออกของกลุ่มทะลุวังมา “แขวนประจาน” ในเฟซบุ๊กของตัวเอง

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่เหตุการณ์แรก ด้วยก่อนหน้านี้ไม่นานนัก “กลุ่มทะลุวังและสาวก” ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปลด “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” ออกจากศิลปินแห่งชาติ หน้ากระทรวงวัฒนธรรม แต่แทนที่จะแสดงเหตุผลถึงการเคลื่อนไหวเยี่ยงปัญญาชนคนรุ่นใหม่ ทั้งๆ ที่แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีการศึกษา ทว่า กลับทำลายสถานที่จนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและสร้างความเสียหาย และที่ผ่านมาไม่ว่าไปที่ไหน ทะลุวังก็มีพฤติกรรมในทำนองนี้เสมอ

หลายคนถึงกับให้คำจำกัดความแบบเนื้อๆ เน้นๆ ว่า “ถ่อยแล้ว ถ่อยอยู่ ถ่อยต่อ”

แน่นอน มีคำถามพุ่งตรงไปที่ “พรรคก้าวไกล” ว่า ม็อบที่ออกมาแสดงพฤติกรรมซึ่งสังคมรับไม่ได้นั้น พรรคก้าวไกลอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะเป้าหมายการเคลื่อนไหว ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี

หรือที่บางคนให้คำจำกัดความพวกเขาว่าคือ “ยุวชนส้ม” หรือ “ORANGE GUARDS” โดยนำไปเทียบเคียงกับ RED GUARDS ซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วง “การปฏิวัติวัฒนธรรมจีน” กันเลยทีเดียว




ทว่า “ด้อมส้มตัวแม่” อย่าง “เจี๊ยบ-อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ที่เคยใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวแกนนำทะลุวัง และม็อบสามนิ้วมาแล้วหลายครั้ง ก็ให้สัมภาษณ์อย่างไม่เหลือเยื่อใยว่า ไม่อยากรับบทแม่-ครู สั่งสอนกลุ่มทะลุวัง พร้อมปฏิเสธว่า “พรรคก้าวไกล” ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง

ถึงแกนนำพรรคก้าวไกลจะปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปัดสวะให้พ้นตัวได้ โดยกูรูการเมืองอย่าง “รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นแบบฟันธงไปเลยว่า พรรคก้าวไกลเกี่ยวข้องแน่นอน โดยมองว่า ในความเป็นพรรคก้าวไกล มันมีเรื่องของ “กลุ่มทะลุวัง” ที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ ไปจนถึงเรื่องของคณะก้าวหน้า

ทั้งนี้ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ทะลุวังคือ “ผลผลิต” ที่กำเนิดขึ้นในช่วงที่เวลาที่พรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า กำลังเบ่งบาน พร้อมทั้งสร้างให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเข้ามาสนใจการเมือง ปลุกปั่นให้คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวท้าทายกฎหมายของรัฐและกฎเกณฑ์ของสังคม และพรรคก้าวไกลก็ไม่เคยห้ามปราบการแสดงออกของพวกเขาให้เห็นต่อสาธารณชน

กลุ่มทะลุวัง ตั้งขึ้นมาโดย “ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, ใบปอ-ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ และสายน้ำ-นภสินธุ์” ชื่อของกลุ่มก็ชัดเจนว่า พวกเขาต้องการท้าทายความดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวัง ทำให้หลายคนในกลุ่มนี้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และเมื่อคนเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 “ผู้ใหญ่” ที่แอบผลักดันอยู่ข้างหลังก็กล่าวหาว่า รัฐใช้กฎหมายและดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการจัดการกับคนที่เห็นต่าง

ขณะเดียวกันเมื่อถูกตำรวจดำเนินคดีหรือควบคุมตัว สังคมก็จะเห็นพฤติกรรมการทำลายข้าวของในห้องควบคุมตัวเท่าที่จะหยิบฉวยทำลายได้ หรือแม้แต่ในห้องควบคุมตัวของศาลก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน ดังเห็นได้ตามคลิปต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ออกมา
“ไชยันต์ ไชยพร” ได้โพสต์เฟซบุ๊กจุดประเด็นให้สังคมได้ตระหนักคิดเอาไว้ว่า ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง จนน่าเป็นห่วงสุขภาพจิตของพวกเยาวชนเหล่านั้น คือผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก ใช้ช่วงชีวิตและอนาคตของเด็กเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกตนต้องการ โดยพวกตนเท่านั้น คือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง ส่วนเด็กเหล่านั้น ได้แค่เศษ ที่ไม่มีวันคุ้มค่ากับช่วงชีวิตและอนาคตที่จะต้องเสียไป

“ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังนี้ ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติดที่ทำให้เด็กติดยา แล้วใช้เด็กวิ่งยา ขายยา เด็กเหล่านี้ถูกทำให้ไม่เชื่อว่า จะมีใครที่จะดีหรือหวังดีต่อพวกเขาจริงๆ นอกจากผู้ที่ให้การสนับสนุนเหล่านั้น เด็กจะทำทุกอย่างเพื่อได้รับคำชมและค่าขนมจากศาสดา ผู้ที่ทำตัวเป็นศาสดาทางการเมือง-ผู้นำมาซึ่งแสงอันเจิดจรัส ที่ทำให้เยาวชนได้ตาสว่าง ปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกกดทับกดขี่ พวกศาสดาเหล่านี้ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติด”

เช่นเดียวกับ “คริส โปตระนันทน์” หัวหน้าพรรคเส้นด้าย และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ผมเคยคิดนะ ว่ามันแปลกมากที่กลุ่มนี้ทำกิจกรรมได้ตรงจังหวะการเมือง คล้ายๆกับเป็น organized group แต่ผมยังเชื่อว่า มีเด็กบางส่วนที่อาจจะเข้าร่วมด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆ แต่คำถามคือ แล้วส่วนที่ organized เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้เราเจอ organizer (คนจัดการ) แล้ว คำถามที่สำคัญที่สุดคือ แล้ว ใครคือ financier ใครให้ทุนบุ้ง และกลุ่มทะลุวัง”

แต่คนที่สังคมให้น้ำหนักเป็นพิเศษก็คือ “น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือพลอย” อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง

วันที่ 9 สิงหาคม 2566 ทวิตเตอร์ของ “พลอย” อดีตสมาชิกทะลุวัง ออกมาเคลื่อนไหวหลังกลุ่มดังกล่าวได้แสดงพฤติกรรมต่อการชุมนุมที่เกินเลย โดยพุ่งเป้าไปที่แกนนำคนสังคมซึ่งสังคมรู้จักกันดีอย่าง “น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ทะลุวัง”

“พลอย” บอกว่า “เราเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่บุ้งเอามาดูแลเหมือนหยก รจ.กันตั้งแต่สมัยอยู่นักเรียนเลว ตอนนั้นที่บ้านเรามีปัญหาทำให้ไม่มีบ้านอยู่+โดนคดีมันต้องมี ผปค. บุ้งมาเป็น ผปค.แทนพ่อแม่ที่ดูแลเราไม่ได้ บุ้งก็รับปากเรากับแม่เราว่าจะดูแลเราอย่างดี บุ้งดูแลเราอย่างดีในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เรายังคงอยู่กับบุ้งเพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน บ้านก็ไม่มีให้กลับ ตอนนั้นเราเริ่มสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในบ้านที่อยู่กับบุ้ง การถูก child grooming การโดนแมนิพูเลต และการขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชนเพราะเราอายุแค่ 16 ตัวโต บุ้งมักจะชอบดูแลเด็กที่มีปัญหากับที่บ้าน หรือมีปัญหาในชีวิตและมีแสง บุ้งจะรับเด็กมาดูแล อาสาเป็นผปค. และค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากเด็กคนนั้น เรากับเพื่อนโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเรา เพื่อนหลายคน และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบุ้งได้”




“เรื่องการใช้ความรุนแรงของบุ้งกับเราและเพื่อนๆ เขาทำเหมือนที่ทำกับยามหน้า พท. ตอนโมโห เขาจะใช้อารมณ์ทำให้เรา รส.หวาดกลัว ด้อยค่า ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตามสไตล์แมนิพูเลต ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราโดนแมนิพูเลตจนทุกวันนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตยาก บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทกแอ็กชั่นแรงๆ โดยบุ้งบอกกับเราว่าเรายังเด็ก ต่อให้โดนคดีก็ยังไม่โดนหนักเพราะยังมีศาลเยาวชน และเด็กถ้าเจอความรุนแรง เช่น ตำรวจจับ บลาๆ จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัพพอร์ตน้องๆ อยู่ข้างหลังแทน”

“พลอย” เล่าด้วยว่า “เราลาออกจาก ร.ร.เพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง ตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาแค่บุ้งเท่านั้น สุดท้ายหลุดออกมาได้เพราะเพื่อนรอบตัวให้ความช่วยเหลือ เป็น ผปค.ให้แทน จนปัจจุบันเราอยู่ ตปท. เราก็ยังโดนเขาโจมตีในขบวนเสียๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ ทั้งกล่าวหาว่าเรายักยอกเงิน หนีคดี ขโมยของ ตอแห_ โดนแช่งให้ตายระหว่างลี้ภัย บางคนก็เกลียดเราจริงๆ ไปแล้วก็มี เรารู้มาเสมอว่าเรามีปัญหากับหลายฝ่ายในขบวน เรื่องหลายๆ เรื่องที่เราอยากคุยเพื่อคลี่คลาย ขอโทษ ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะเรายังโดนโจมตีอยู่ตลอดเวลา

หลังจากทวีต “พลอย” ที่เวลานี้อยู่ที่ประเทศแคนาดาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเพิ่มเติมว่า ก็เป็นไปตามที่ได้ทวีตข้อความไว้ ซึ่งบุ้งจะพยายามทำตัวเป็นคนปกป้องเด็กที่มีความอ่อมแอจากสถานะครอบครัวหรือทางจิตใจ มาเช่าคอนโดฯกันอยู่ ซึ่งเป็นทั้งที่พักอาศัย และที่ทำงานในเวลาเดียวกัน แรกๆ ก็ดีได้มีที่อยู่ ได้มีคนให้คำปรึกษา แต่จะไม่มีเวลาส่วนตัวในการใช้ชีวิต ทุกอย่างจะถูกโยงกับงานทั้งหมด และให้ทำกิจกรรมทางการเมือง เพื่อนำไปขอรับทุนหลักๆ คือจากทุนต่างประเทศ และการขายของที่ทำกันเอง โดยที่เมื่อได้เงินมาแล้วไม่มีการตรวจสอบยอดว่าได้มาเท่าไร เหลือเท่าไร แต่เงินนั้นจะนำมาเติมน้ำมัน ค่ารถ ค่าอุปกรณ์ ค่ากินอยู่ และบุ้งจะทำให้เด็กที่มาอยู่ด้วยรู้สึกว่า โดดเดี่ยว ต้องพึ่งพาบุ้งเสมอ

นอกจากนั้น “พลอย” ยังเล่าถึง “สายน้ำ” ด้วยว่า มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและออกจากกลุ่มทะลุวังไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะมีคนไม่เห็นด้วยเนื่องจากพฤติกรรมขัดต่อวัตถุประสงค์ แต่ภายหลังที่พวกตนออกจากกลุ่มทะลุวัง สายน้ำก็กลับมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิม และตอนนี้ตนเองก็ไม่แน่ใจว่า จุดประสงค์ของทะลุวังคืออะไรกันแน่

สอดรับกับสิ่งที่ “นายนิธิวัต วรรณศิริ หรือ จอม ไฟเย็น” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักร้อง และนักดนตรีวงไฟเย็น ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีสาระสำคัญคือ ปัญหาความพยายามแย่งสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองของ “หยก” ในบางช่วงบางตอนว่า

“เมื่อเปิดเทอมไปได้สักพักหนึ่ง หยกได้รับการปล่อยตัว บุ้งซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าไปเยี่ยมหยกหลายครั้ง ก็ได้ไปรับตัวและพาหยกกลับคอนโดมิเนียม โดยตอนแรกแจ้งกับสาธารณะว่าแค่จะรีบพาไปหาหมอ พอได้ออกมาแม่หยกได้คุยกับหยกทางโทรศัพท์ตั้งแต่คืนแรก และสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด แต่แม่หยกไม่เคยคุยกับบุ้งเพราะไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าบุ้งคือใคร ซึ่งการที่บุ้งกล่าวกับสื่อมวลชนว่าติดต่อแม่หยกไม่ได้ หาแม่หยกไม่เจอ หยกไม่มีผู้ปกครองนั้นเป็นเรื่องโกหก วันแรกหยกขอพักกับพี่ๆ ก่อน แม่หยกก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ปรากฏว่าวันต่อมาบุ้งพยายามแนะนำให้หยกแอบไปคัดทะเบียนบ้านออกจากบ้านแม่ไปอยู่บ้านบุ้ง โดยไม่บอกแม่หยกก่อน

“แม่หยกได้ทราบก็ตกใจว่า ทำไมจู่ๆ จะให้หยกคัดทะเบียนบ้านออก แล้วไม่มาถามแม่หยกซึ่งเป็นเจ้าบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายก่อนสักคำว่ายินยอมหรือไม่ บุ้งอ้างกับหยกว่า ตอนแรกจะให้หยกย้ายมาอยู่กับบุ้งเพราะจะใช้ในการมอบตัวเข้าเรียน รับหมายเรียก เอกสารต่างๆ ซึ่งความจริงมาทราบภายหลังว่า บุ้งก็ใช้วิธีการคล้ายกันนี้กับพลอย คือให้คัดทะเบียนบ้านออกมาอยู่กับบุ้ง เพื่อได้สิทธิในการดูแลเป็นผู้ปกครอง หรือดำเนินธุรกรรมต่างๆ แทนผู้ปกครองจริงได้หากอยู่ทะเบียนบ้านเดียวกัน ซึ่งหยกก็อยากมีอิสรภาพมากกว่าเดิมตอน ม.ต้น หลังจากถูกกระทบกระเทือนจิตใจเพราะถูกคุมขังมา 51 วัน และหยกอยากเคลื่อนไหวการเมืองต่อแบบหนักๆ ซึ่งก็เข้าทางบุ้งพอดี

“แต่ปัญหาคือ แม่หยกในฐานะเจ้าของบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอม แผนให้หยกคัดทะเบียนบ้านออกเพื่อได้สิทธิเป็นผู้ปกครองใหม่ก็เป็นอันล่มไป แต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่หยกเริ่มถูกมานิพูเลต (Manipulate หรือถูกหลอกใช้) ให้รู้สึกไม่โอเคกับแม่ที่แม่ไม่ยอมให้เสรีภาพในการย้ายทะเบียนบ้านออกไปอยู่กับบุ้งตามที่คาดหวังไว้”

“ข้อสรุปในเรื่องนี้คือ การพาหยกไปอยู่ที่อื่นที่กำลังทำกันอยู่นี้ไม่ได้ผ่านการได้รับความยินยอมจากแม่ของหยก ซึ่งเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายที่ได้ทำเอ็มโอยูขอมอบตัวหยกล่าช้าไว้กับโรงเรียน เป็นปัจจัยเสริมทำให้สูญเสียสถานภาพนักเรียนไป จากที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามมาแต่แรกที่จะขังหยกจนเลยวันมอบตัว พูดถึงเรื่องสิทธิเด็กและเยาวชน ถ้าหยกยังอายุเพียง 15 ปี ไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ กฎหมายก็ไม่ได้ให้สิทธิ์หยกเลือกผู้ปกครองใหม่ได้ตามใจชอบ ต่อให้หยกไปด้วยอย่างเต็มใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎหมาย ถ้าผู้ปกครองไม่ยอม เทียบกับคดีพรากผู้เยาว์ การล่อลวงด้วยสิ่งใดให้เด็กรู้สึกเต็มใจไปด้วย หรือแม้แต่เด็กอยากไปด้วยเอง หากผู้ปกครองไม่ได้ยินยอมก็ผิดอยู่วันยังค่ำ

“ถ้าบุ้ง ทะลุวัง คือขบวน คุณคือขบวนที่เลวร้ายมากที่ใส่ร้ายครอบครัวน้องที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพื่อหวังกับประโยชน์เฉพาะหน้า และเป็นขบวนที่ทิ้งเหยื่อคนอื่นๆ อย่างแม่น้อง ครอบครัวน้องเอาไว้ข้างหลัง ในวันที่แม่น้องถูกข่มขู่ ขุดคุ้ย คุกคาม โดยไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่คิดจะช่วยเซฟสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจให้ครอบครัวน้อง ในขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากลูกเขาเต็มๆ” จอม ไฟเย็น ระบุ

ขณะที่ “บุ้ง ทะลุวัง” ตอบคำถามถึงกรณีที่มีการพาดพิงว่าเธอนำเด็กในความดูแลไปขอทุนสำหรับการเคลื่อนไหวว่า “อันนั้นเป็นข้อเท็จจริงของเขา แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น ทุกวันนี้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงจากการทำงาน เงินที่ดูแลน้องหยก เป็นเงินที่เราทำงานมาเอง และภายใต้การดูแลน้องหยก ก็มีแฟนบุ้ง มีพี่ๆ คนอื่นคอยดูแลด้วย”

“บุ้ง” ยืนยันว่า ในกลุ่มทะลุวัง นอกจากน้องหยกแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ลำบาก และเป็นครอบครัวที่ดูแลตัวเองได้ ส่วนตัวเองก็ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ลำบากเช่นกัน อย่างไรก็ดีส่วนตัวไม่อยากจะตอบโต้คนที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะจะไปกระทบหลายส่วน ทั้งผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ รวมถึงบุคคลที่ 3 ด้วย

ถึงตรงนี้ ต้องยอมรับว่า สังคมส่วนใหญ่ของประเทศเอือมระอากับพฤติกรรมของกลุ่มทะลุวังเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร ความจริงหนึ่งเดียวก็คือความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งประเทศ




กำลังโหลดความคิดเห็น