ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - น่าสนใจอย่างยิ่งว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้บริษัท อนันดาฯ ก่อสร้างคอนโดหรู “แอชตัน อโศก” จะร่วมผ่าทางตันกรณีศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้อย่างไร
ทางแก้ที่กทม.ให้บริษัทไปจัดการขออนุญาตใหม่ และปฏิบัติตามเงื่อนไขให้หาทางออกเชื่อมกับถนนสาธารณะเพื่อให้รถดับเพลิงเข้าออกสะดวกตามกฎหมาย ยังคงเป็น “ทางตัน” เพราะเจ้าของที่ดินข้างเคียงมีจุดยืนชัดคือไม่ขายที่ดินให้บริษัท อนันดาฯ ส่วน รฟม.ที่มีข้อตกลงให้บริษัทใช้ที่ดินที่เวนคืนเป็นทางออกได้ตั้งแต่ต้นก็ชิ่งหนี เจ็บหนักสุดคือลูกบ้านและธนาคารที่ปล่อยกู้เสี่ยงหนี้สูญ
ต้องถือว่าสั่นสะเทือนวงการอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย สำหรับคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแอชตัน อโศก ที่ออกให้แก่บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด โดยให้มีผลย้อนหลังนับจากวันที่ออกหนังสืออนุญาตทุกฉบับ
เหตุผลสำคัญที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมาก มีคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้น มีประเด็นสำคัญ คือ ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของอาคารโครงการแอชตัน อโศก ไม่มีเขตที่ดินด้านหนึ่งด้านใดกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางไม่น้อยกว่า 18 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจนไปเชื่อมโยงจนถึงบริเวณที่ตั้งของอาคาร เพื่อสามารถใช้เป็นทางเข้าออกรถดับเพลิงได้สะดวก ตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 2 วรรคสอง และวรรคสาม
นอกจากนี้ ตาม พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รฟม.ไม่อาจกระทำการอนุญาตให้บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด นำที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนไปใช้ในโครงการแอชตัน อโศก อันเป็นประโยชน์แก่กิจการของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด และบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนที่ดินได้
คดีนี้ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมด้วยชาวบ้านในพื้นที่ถนนสุขุมวิท ซอย 19 แยก 2 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร (กทม.) รวม 16 ราย ยื่นฟ้อง ผอ.สำนักงานเขตวัฒนา ผอ.สำนักการโยธา กทม. ผู้ว่าการ กทม. ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการผู้ชาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด และบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด เป็นผู้ร้องสอด ในคดีหมายเลขดำที่ อส 67/2564 หมายเลขแดงที่ อส.188/2566
อนันดาฯ ยันหน่วยงานรัฐผู้อนุญาตต้องรับผิดชอบ
หลังจากศาลปกครองสูงสุด มีคำตัดสินว่าการออกใบอนุญาตให้บริษัท อนันดาฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อลูกค้าผู้ซื้อห้องชุดโครงการแอชตัน อโศก ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัท อนันดาฯ ก็ร่วงระนาว ทางบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด แถลงเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัท เพราะหากหน่วยงานราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่เห็นชอบและอนุมัติแล้วโครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่
บริษัทยืนยันว่า การทำโครงการแอชตัน อโศก ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมาย รวมทั้งข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่างๆ รวมทั้งสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม การทำโครงการยังได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติ และกำกับควบคุมจากหน่วยงานของรัฐไม่ต่ำกว่า 8 หน่วยงาน บริษัทจึงขอความเป็นธรรมจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เผยว่า ห้องชุดในโครงการแอชตัน อโศก มี 700 กว่ายูนิต มูลค่าโครงการ 6,481 ล้านบาท ส่งมอบไปแล้ว 668 ยูนิต มูลค่า 5,653 ล้านบาท แบ่งเป็น ลูกค้าคนไทย 438 ราย ลูกค้าต่างชาติ 142 ราย มูลค่าคงเหลือในมือ 828 ล้านบาท คิดเป็นความเสียหายในแอสเสทที่อนันดาฯ ถือหุ้นมีอยู่ 250-300 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของสต๊อกในโครงการ โดยบริษัทร่วมทุน “อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย” อนันดาฯถือหุ้น 51% และมิตซุย ฟุโดซัง 49%
นายประเสริฐ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า แอชตัน อโศก ผ่านการขออนุญาตมาจาก 8 หน่วยงาน มี 9 ใบอนุญาต และบริษัทฯ ยังรับผิดชอบการจ่ายค่าตอบแทนให้ รฟม.เกือบ 100 ล้านบาท สำหรับการเชื่อมทางระหว่างโครงการฯ กับ รฟม.
ต่อมา นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังถูกเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว ว่า บริษัทได้เตรียมรวบรวมความเสียหาย แนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อเจรจากับภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน
ส่วนมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมินร่วมกับผู้สอบบัญชีบริษัทและผู้เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาตั้งสำรองในไตรมาส /22566 และแม้ศาลปกครองสูงสุด จะเพิกถอนใบอนุญาตแต่ความเสียหายนี้ยังสามารถแก้ไขได้ตามแนวทางที่ผู้แทนหน่วยงานรัฐเสนอ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยการรื้อถอน บริษัทจะนัดพบหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น รฟม. และ กทม. ภายใน 14 วัน หลังจากศาลฯ มีคำตัดสินเพื่อหาแนวทางแก้ไขความเสียหายซึ่งจะทำควบคู่กันไปหลายแนวทาง
ซีอีโอของอนันดาฯ ยังระบุว่า ขณะนี้ไม่ใช่แค่ลูกบ้านที่ได้รับกระทบ แต่ผลกระทบลามไปถึงลูกค้าทั้งหมดของอนันดา ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ อยากให้ภาครัฐ เช่น กทม. รฟม. ช่วยหาทางออก เพราะนี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่โครงการนี้ แต่ยังมีอีกหลายโครงการและเป็นประเด็นของสังคม
แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ความเห็นว่า ตามคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดนั้นหมายความว่า ห้องชุดที่เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินจะมีปัญหา ไม่มีราคา เหมือนเป็นคอนโดฯกระดาษ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ความเดือดร้อนของเจ้าของร่วมในด้านสินเชื่อที่มีมากกว่า 348 ครอบครัว มีการขอสินเชื่อจาก 9 สถาบันการเงิน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยมี 9 ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรี ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน
ความมั่งคั่งของหุ้น ANAN ลดฮวบไม่ต่ำกว่าพันล้าน
นับตั้งแต่รับทราบคำพิพากษา หุ้น ANAN ผันผวนหนัก เพียงแค่สองวันหลังคำตัดสินของศาลฯ ความมั่งคั่งของหุ้น ANAN หายไปมากกว่าพันล้านบาท โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ลดลง 1,249.88 ล้านบาท จากมูลค่า 4,749.53 ล้านบาท (26 กรกฎาคม 2566) เหลือ 3,499.65 ล้านบาท และลดลง 42.07% จากสิ้นปี 2565 ที่มี Market Cap 6,041.06 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุว่า ผลแห่งคดีแอชตัน อโศก ครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายอื่นที่กำลังก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมบนที่ดินที่ไม่มีทางเข้าออกที่เหมาะสม อีกทั้งยังอาจทำให้การขายคอนโดมิเนียมในอนาคตล่าช้าลง เนื่องจากผู้ซื้อมีแนวโน้มจะขอศึกษาโครงการโดยละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาที่คล้ายกัน ประเด็นนี้อาจส่งผลเสียต่อแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในอนาคตในสายตานักลงทุนต่างชาติ เพราะประมาณ 20% ของยูนิตของโครงการ มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ
สำหรับผลกระทบต่อ ANAN นั้นประเมินว่ากรณีเลวร้ายสุดคือลูกบ้านฟ้องร้อง ANAN และพันธมิตร เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งในกรณีนี้หากต้องการรักษาพันธมิตร ANAN อาจเป็นผู้แบกรับเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากส่วนผู้ถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 1.24 หมื่นล้านบาท หากหักด้วยผลขาดทุนตามมูลค่าโครงการดังกล่าวราว 6 พันล้านบาท จะมีผลต่อราคาหุ้นให้สามารถปรับตัวลงได้อีก 30% สะท้อนมาที่ราคาระดับ 0.60 บาท
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปในอนาคต คือความเชื่อมั่นต่อแบรนด์สินค้าในอนาคต และสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งมีเงินสดในมือประมาณ 8.4 พันล้านบาท หากเกิดกรณีเลวร้ายสุดจะเหลือเงินสดราว 2 พันล้านบาท ขณะที่มีหนี้มีภาระดอกเบี้ยจ่าย 2.67 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์) เป็นหุ้นกู้ 2.06 หมื่นล้านบาท มีกำหนดชำระใน 1 ปี มูลค่า 9.4 พันล้านบาท และมากกว่า 1 ปี 1.12 หมื่นล้านบาท
ในช่วง 3 ปี (2563-2565) ที่ผ่านมา ANAN มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องที่ 206.58 ล้านบาท 457.34 ล้านบาท และ 295.78 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 59.56 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ANAN วางแผนงานในปี 2566 เปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในระดับแฟลกชิป มูลค่ากว่า 14,600 ล้านบาท คือ New Branded Residence มูลค่า 6,500 ล้านบาท และ โครงการไอดีโอ พหลโยธิน-สะพานควาย มูลค่า 8,100 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2565 ที่ผ่านมา และคาดอัตรากำไรขั้นต้นแตะ 30.6% จากเดิมที่ 25% จากการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น และตั้งงบซื้อที่ดินทั้งปีประมาณ 7,120 ล้านบาท เพื่อการลงทุน 10 โครงการ มูลค่ารวม 21,200 ล้านบาท เพื่อเปิดขายในปีถัดไป
โมเดล “แอชตัน อโศก” เชื่อมทาง รฟม. มีอีกนับสิบ
แรงสะเทือนจากคดีแอชตัน อโศก ที่ใช้ทางเชื่อมร่วมกับ รฟม. ยังน่าจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ตามแนวรถไฟฟ้าด้วยหรือไม่ ตามที่นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ระบุว่า ยังมีโครงการที่ขอผ่านทางในลักษณะคล้ายกันกับโครงการแอชตันอโศก ในกรุงเทพฯอีก 13 โครงการทั้งคอนโดมิเนียมและศูนย์การค้า ยังไม่นับโครงการที่ใกล้เคียงกันอีกเป็นร้อย ที่เป็นลักษณะขอเชื่อมทางกับหน่วยงานของรัฐ
แวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่างรับรู้กันว่า มี 14 โครงการอาคารชุดที่มีการทำสัญญาเชื่อมทางเข้า-ออกกับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าของ รฟม. โดยนำใบอนุญาตผ่านทางมาใช้ประกอบการขอใบอนุญาตก่อสร้างกับ กทม. ที่น่าจับตาคือทำเลในเมืองที่มีแนวรถไฟฟ้าพาดผ่าน โดยเฉพาะรัชดาภิเษก สุขุมวิท และอโศกมนตรี หลายโครงการต้องทำทางเข้า-ออก โดยขอเช่าที่ดินของ รฟม.ในการเข้าออก
อย่างไรก็ดี เจ้าของโครงการคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้า ที่ใช้ที่ดินของรัฐเป็นทางผ่านหลายราย ต่างออกมายืนยันถึง “ความถูกต้อง” โดย นายธงชัย บุศราพันธ์อ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ติดกับรถไฟฟ้าที่ใช้ทางเข้า-ออกของรัฐ แต่ไม่เหมือนกับโครงการแอชตัน อโศก เพราะไม่ได้ขอเพิ่มขนาดทางหรือขยายพื้นที่ ไม่ว่าโครงการ นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว บริเวณอาคารจอดรถสถานีลาดพร้าว , โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ตรงอาคารจอดแล้วจร สถานีศูนย์วัฒนธรรม ซึ่ง รฟม.อนุญาตให้ใช้ทางเข้าออกอาคารจอดรถแบบไม่กำหนดระยะเวลา โดยทางเข้าออกที่ รฟม.อนุญาตให้ใช้ยังคงสภาพเป็นทางเข้าออกเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดินเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลใด
อนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เบส การ์เดนท์ พระราม 9 ชี้แจงว่า เจ้าของที่ดินเดิมถูกการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เวนคืนที่ดินด้านหน้าโครงการ ซึ่งเป็นการเวนคืนแบบรอนสิทธิ์ ทำให้ที่ดินเดิมยังสามารถใช้สิทธิเข้าออกได้เหมือนเดิม ส่วนอีกโครงการคือ เดอะ เบส เพชรเกษม ซึ่งที่ดินบริเวณด้านหน้าโครงการ ทางรฟม.เวนคืนในรูปแบบรอนสิทธิ์เช่นกัน จึงยังสามารถเข้าออกได้เหมือนเดิม บริษัทยืนยันว่าทั้ง 2 โครงการนี้ ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันโครงการขายหมดแล้ว
ด้าน นายอัษฎา แก้วเขียว กรรมการบริษัท วิซดอม พินนาเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท แมคโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) ผู้พัฒนาโครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว แจกแจงว่า โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 13046 และ 13062 ซึ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 13046 เป็นที่ดินที่มีการเชื่อมทางเข้า-ออกของโครงการสู่ถนนลาดพร้าว มีสิทธิสามารถขึ้นอาคารขนาดใหญ่พิเศษและอาคารสูงตามกฎหมายควบคุมอาคารอย่างถูกต้อง เพราะมีด้านหน้าของที่ดินเกินกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะคือถนนลาดพร้าว ถือเป็นสิทธิดั้งเดิมที่เจ้าของที่ดินมีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
รฟม.ชิ่งหนี โยนอนันดาฯ -กทม.แก้ปัญหากันเอง
ประเด็นการขอเชื่อมทางออกของอนันดาฯ กับ รฟม. ซึ่งผู้บริหารของอนันดาฯ บอกว่ายังมีอีกหลายโครงการที่มีลักษณะในทำนองเดียวกันนั้น นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. ชี้แจงว่าแต่ละโครงการมีข้อเท็จจริงแตกต่างกัน อย่าเหมารวม การสร้างทางเชื่อมหรือสกายวอล์กกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นการเชื่อมสถานีเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าไปยังอาคารต่างๆ โดยไม่ต้องลงมาเดินทางเท้า
ส่วนการเชื่อมทางของบริษัท อนันดาฯ ซึ่งได้รับอนุญาตเมื่อปี 2557 เป็นการเชื่อมจากอาคารหรือที่ดินของเอกชนเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะตามกฎกระทรวงของพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ไม่ได้ถือเป็นการเชื่อมกับบริการรถไฟฟ้า และรฟม.จะไม่มีการอนุญาตในลักษณะนี้อีกแล้ว
นายภคพงศ์ ย้ำด้วยว่า รฟม.ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเพราะศาลไม่ได้ถอนใบอนุญาตของ รฟม.ที่อนุญาตให้ใช้ที่ดินเป็นทางผ่าน แต่เพิกถอนใบอนุญาตในการก่อสร้าง ดังนั้นบริษัทต้องหาทางออกร่วมกับ กทม. หากบริษัทต้องการฟ้องร้องให้ รฟม.ร่วมรับผิดชอบก็เป็นสิทธิ์ และสู้กันไปตามกฎหมาย แต่คำพิพากษายืนยันอยู่แล้วว่า รฟม.ไม่ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต จะให้รับผิดชอบอะไร ทางนั้นเอาใบอนุญาตเราไปประกอบการขออนุญาตสร้างอาคารไม่ได้ เพราะที่ดินที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนที่เป็นภาระจำยอม มีความกว้าง 6.4 เมตร ไม่สามารถสร้างตึกสูงได้ และทางผ่านด้านถนนอโศกมนตรีของ รฟม. ก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโครงการ อีกทั้งทางบริษัทก็ยังไม่ได้จ่ายค่าเช่า 97 ล้านบาท แต่อย่างใด
ขณะที่อดีตบอร์ด รฟม. ซึ่งเป็นชุดทำงานในปี 2557 เป็นปีที่ออกใบอนุญาตผ่านทางหรือใบอนุญาตขยายถนนจากความกว้าง 6.4 เมตร เป็น 13 เมตร ให้กับแอชตัน อโศก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า การฟ้องร้องคดีแอชตัน อโศก ของสมาคมสภาวะโลกร้อนและพวก ไม่ได้มีเรียกตัวแทนบอร์ด รฟม. ปี 2557 ไปร่วมให้ข้อมูลกับศาลปกครองแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ากระบวนการอนุญาตใบผ่านทางเข้า-ออกในปี 2557 เป็นไปอย่างถูกต้องตามประกาศ รฟม. ทุกประการ ซึ่งได้มีการออกประกาศ รฟม. ตั้งแต่ปี 2547 สำหรับเจ้าของที่ดินแปลงติดกับที่ดินเวนคืน รฟม. ให้สามารถขออนุญาตผ่านทางได้ทุกคน
“แอชตัน อโศก ขอใบผ่านทาง รฟม. แล้วนำไปยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างกับ กทม. ซึ่งมีกรณีเดียวกันนี้จำนวน 14 โครงการ ดังนั้น แอชตัน อโศก จึงไม่ใช่เคสแรกหรือเคสเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นการทั่วไป และอำนาจในการอนุมัติก็เป็นการอนุญาตตามปกติ ตามสิทธิของแปลงข้างเคียง โดยไม่ต้องมีการใช้ดุลพินิจแต่อย่างใด” อดีตบอร์ด รฟม. กล่าว
กทม.หาทางออกขออนุญาตใหม่ ไม่ง่ายอย่างที่คิด
ท่าทีของผู้บริหาร รฟม. ทำท่าว่าจะไม่ขอร่วมรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นจากผลแห่งคดีแอชตัน อโศก ส่วน กทม. ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้อนุญาตโดยตรง ก็แบะท่าเช่นกันว่าเป็นเรื่องที่บริษัท อนันดาฯ ต้องรับผิดชอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาล เพราะ กทม. พิจารณาอนุญาตโดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับคดีที่ค้างคาอยู่ในชั้นศาลตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. นำทีมผู้บริหาร กทม. แถลงแนวทางดำเนินการกรณีโครงการแอชตัน อโศก ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาต โดยยืนยันว่า กทม.ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และปฏิบัติตามคำสั่งศาล
นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. ชี้แจงลำดับขั้นตอนการขออนุญาตของโครงการแอชตัน อโศก โดยสรุป คือสำนักงานการโยธาของ กทม. ได้พิจารณาอย่างรอบคอบเรื่องการออกใบอนุญาต ซึ่ง กทม. ได้ทักท้วงตั้งแต่การรับทราบแบบแปลน จนถึงใบรับรอง อ.6 ที่ออกให้ โดยแจ้งเงื่อนไขคือเรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ถ้าศาลพิพากษาแล้วให้อาคารของโครงการขัดต่อกฎหมาย ผู้ได้รับใบรับรองจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตนเองและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และต้องแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
“สำหรับการขออนุญาตเปิดใช้อาคาร หรือ อ.5 (เดิมชื่อ อ.6) กทม. ก็ได้มีการทักท้วงไปและยังไม่ได้ออกใบรับรองอาคารให้ เนื่องจากมีประเด็นทางเข้า-ออกที่ศาลอยู่ บริษัทก็อุทรณ์ไปที่กรรมการควบคุมอาคาร ซึ่งกรรมการอุทรณ์แจ้งกลับต่อ กทม. ว่า “การไม่ออกใบรับรองโดยแจ้งเหตุว่ามีการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย” นายวิศณุ กล่าว
นายวิศณุ แจกแจงว่า พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระบุไว้ในมาตรา 40 (3) ให้ กทม. สามารถออกคำสั่งตามมาตรา 41 ได้ นั่นคือ ถ้าการกระทำดังกล่าวสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ กทม.ก็ต้องออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารมายื่นคำขอใบอนุญาตใหม่ ซึ่งการออกคำสั่งดังกล่าวต้องให้เวลากับผู้ยื่นไม่น้อยกว่า 30 วัน หากมีเหตุอันควรก็สามารถขยายเวลาได้ แต่ถ้าทำตามมาตรา 41 แล้วผู้ยื่นไม่ทำตาม ก็ต้องไปถึง มาตรา 42 ซึ่งเป็นขั้นรื้อถอนอาคาร ดังนั้นจึงต้องให้เวลาผู้ยื่นทำตามมาตรา 41 ก่อน
นายชัชชาติ กล่าวเสริมว่า กระบวนการทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่เราจะเข้ามาดำเนินการ ทำให้ต้องทบทวนกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่วนการดูแลลูกบ้านของโครงการฯ เป็นเรื่องของบริษัท แต่ กทม. จะทำให้ยุติธรรมที่สุดตามกฎหมาย ดังนั้นเรื่องการดูแลลูกบ้านจึงเป็นความรับผิดชอบคนละส่วนกัน
ทั้งนี้ การหาทางเข้าออกทางอื่นของโครงการแอชตัน อโศก ที่ไม่ใช่ด้านรถไฟใต้ดิน จะเหลือพื้นที่ด้านซอย 19 ซึ่งปัจจุบันมีถนนซอยเล็กๆ กว้างประมาณ 4 เมตร อยู่แล้ว 2 ซอย จะต้องกว้านซื้อตึกแถวที่ติดกับถนนซอยนี้ลึกไปจนถึงโครงการ เพื่อเอามาทุบทำเป็นทางเข้าออกให้ได้กว้าง 12 เมตร สำหรับราคาประเมินตึกแถวย่านดังกล่าวมีราคาประมาณ 250-300 ล้านบาท ซึ่งหากบริษัท อนันดาฯ ต้องการซื้อต้องกว้านซื้อไม่ต่ำกว่า 16 คูหา หรือใช้เงินไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับมูลค่าโครงการ 6.4 พันล้านบาท
มีรายงานข่าวว่า เจ้าของอาคารบริเวณด้านหลังโครงการแอชตัน อโศก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกคาดการณ์ว่าทาง ANAN จะเจรจาซื้อเพื่อแก้ไขให้พื้นที่โครงการเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ปฏิเสธการขายอาคารแล้ว จึงต้องติดตามต่อว่า ANAN จะดำเนินการแก้ไขอย่างไรต่อไป
สำหรับความเดือดร้อนของลูกบ้านโครงการแอชตัน อโศก นั้น นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างอาคารผิดกฎหมายเกิดจากรัฐไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่บังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ต้น ปล่อยให้ผู้ประกอบการสร้างอาคารที่ผิดกฎหมาย เมื่อเปิดใช้อาคารแล้ว และศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตฯ ผู้เสียหายจากการที่อาคารต้องถูกรื้อถอนนั้น คือ ผู้บริโภค ฉะนั้นคนที่ต้องออกมารับผิดชอบ คือผู้ประกอบการต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้ผู้บริโภคในทุกกรณีก่อน ส่วนการที่ผู้ประกอบการจะไปเรียกร้องกับหน่วยงานที่อนุญาตก่อสร้างนั้นเป็นเรื่องคนละส่วนกัน
ทางด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้ฟ้องคดีดังกล่าว ออกมากระทุ้ง กทม.ว่า จะนำความตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ไปร้องเรียนให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เพื่อให้ดำเนินการสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบเอาผิดทางวินัย อาญา และทางแพ่งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นของ กทม.ซึ่งเป็นผู้รับแจ้งทั้งหมด ตามมาตรา 39 ทวิ ทั้งหมด รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวต่อไป
แรงสั่นสะเทือนจากผลแห่งคดีแอชตัน อโศก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้ามหาศาล เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการขอใช้พื้นที่ร่วมกับ รฟม.เป็นทางเข้า-ออก ที่ดินแปลงติดกับรถไฟฟ้าแทนที่จะสามารถนำมาพัฒนาสร้างที่อยู่อาศัย สะดวกต่อการสัญจรไป-มา ก็คล้ายกับจะถูกล็อกให้เป็น “ที่ตาบอด” แปรโอกาสให้กลายเป็นวิกฤตไปเสียอย่างนั้น