ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การกลับมาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนในรอบ 22 ปี ของ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ช้างไทยที่ไปทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีที่ประเทศศรีลังกา ปลุกกระแสอนุรักษ์ช้างสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่โบราณ
หลังจากช่วงเดือน พ.ค. 2565 เกิดเสียงร้องเรียนขององค์กร Rally for Animal Rights & Environment (RARE) ซึ่งเป็นองค์การด้านการพิทักษ์สิทธิสัตว์ในศรีลังกา เกี่ยวกับความกังวลต่อสุขภาพของ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ซึ่งเป็นช้างไทยที่รัฐบาลไทยมอบให้เห็นทูตสันถวไมตรีแก่รัฐบาลศรีลังกา ตั้งแต่ปี 2544 จากการดูแลที่ไม่เหมาะสม จนเกิดอาการป่วย เครียด เชื่องซึม รวมทั้ง มีอาการบาดเจ็บตามร่างกายและจำเป็นต่อการเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน
กลายเป็นประเด็นใหญ่ระดับชาติที่อยู่ในกระแสสนใจของสังคมไทย เกิดคำถามถึงการใช้งานสัตว์เป็นตัวแทนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในฐานะ “ทูตสันถวไมตรี” ต้องตระหนักให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันไม่ให้เกิดการทารุณกรรม รวมทั้ง สถานการณ์ปัญหาความเป็นอยู่ของช้างไทยซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
-1-
ย้อนกลับไปราวๆ ปี 2544 รัฐบาลไทยได้ส่งมอบ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ให้รัฐบาลศรีลังกา ในฐานะ “ทูตสันถวไมตรี” หลังจากประธานาธิบดีของประเทศศรีลังกา มีหนังสืออย่างเป็นทางการขอลูกช้างตัวผู้จากประเทศไทย เพื่อนำไปฝึกสำหรับอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นงานใหญ่ของศรีลังกาที่จัดเฉลี่ย 30 ครั้งต่อปี โดยมีการจัดอย่างต่อเนื่องมากว่า 270 ปี
“พลายศักดิ์สุรินทร์” จากเมืองไทยไปอยู่ที่ประเทศศรีลังกาตั้งแต่เป็นลูกช้างอายุไม่ถึง 10 ปี จัดเป็นช้างคชลักษณ์โดดเด่นตรงตามความต้องการของศรีลังกา โดยรัฐบาลศรีลังกาได้โอนกรรมสิทธิ์ช้างเชือกนี้ให้กับ “วัดคันเดวิหาร (Kande Vihara)” เป็นผู้รับช่วงดูแลต่อ เพื่อให้ทำหน้าที่ในขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในงานแห่พระธาตุประจำปีของศรีลังกา ซึ่งหลังจากเดินทางไปศรีลังกาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “มธุราชา (Muthu Raja)”
ทั้งนี้ ในเวลานั้นรัฐบาลไทยส่งช้าง 2 เชือกไปเป็นทูตสันถวไมตรี ได้แก่ “พลายศรีณรงค์” และ “พลายศักดิ์สุรินทร์” โดยก่อนหน้าในปี 2523 ไทยได้ส่งช้างเชือกแรกไปเป็นทูตสันถวไมตรีในศรีลังกา คือ “พลายประตูผา”
สำหรับ “พลายศักดิ์สุรินทร์” จากเมืองไทยไปอยู่ที่ประเทศศรีลังกาตั้งแต่เป็นลูกช้างอายุไม่ถึง 10 ปี จนปัจจุบันมีอายุราว 30 ปี อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ โดยเรื่องราวของพ่อพลายหายไปจากการรับรู้ของคนไทยมานับสิปี จนกระทั่งปี 2565 องค์กร Rally for Animal Rights & Environment (RARE) ซึ่งเป็นองค์การด้านการพิทักษ์สิทธิสัตว์ในศรีลังกา ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้แรงงานพลายศักดิ์สุรินทร์ที่ค่อนข้างหนัก ว่าช้างเชือกนี้ไม่ได้รับการดูแล ถูกล่ามโซ่ มีสภาพผอมโซ มีบาดแผลฝีที่สะโพก และขาบาดเจ็บ ควรได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้ มีการตรวจสอบพบว่า พลายศักดิ์สุรินทร์ อายุ 30 ปี มีขนาดตัวที่ผอมแห้ง กระดูกหลังโก่งนูน ผิวหนังแห้งหยาบ งายาวถึง 50 ซม. ขาหน้าด้านซ้ายผิดปกติ งอขาไม่ได้มานานกว่า 8 ปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีฝีหนองที่สะโพกด้านขวาและซ้าย มีลักษณะเป็นก้อนแข็งๆ มีหนองภายใน พบว่ามีอาการดังกล่าวมาตั้งแต่ 2563
การร้องเรียนขององค์กร RARE ซึ่งเป็นองค์การด้านการพิทักษ์สิทธิสัตว์ในศรีลังกา ทำให้เรื่องราวของ “พลายศักดิ์สุรินทร์” มาเป็นกระแสสนใจในเมืองไทยอย่างกว้างขวาง โดยในเดือน ส.ค. 65 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ของพลายศักดิ์สุรินทร์ ก่อนส่งทีมสัตวแพทย์ไปตรวจสอบสุขภาพของพลายศักดิ์สุรินทร์ในเดือนถัดมา และผลจากการตรวจสอบพบว่าพลายศักดิ์สุรินทร์มีปัญหาด้านสุขภาพจริง ควรให้ช้างหยุดการทำงานและส่งตัวกลับมารักษาอาการป่วยที่ประเทศไทย
ต่อมา เดือน พ.ย. 2565 ได้มีการย้ายพลายศักดิ์สุรินทร์มาดูแลในเบื้องต้นที่ “สวนสัตว์แห่งชาติศรีลังกา” หรือ “สวนสัตว์เดฮิวาลา” (Dehiwala) กรุงโคลัมโบ จากนั้นในเดือน ก.พ. 2566 รัฐบาลศรีลังกาเห็นชอบว่าพลายศักดิ์สุรินทร์ ควรได้รับการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมโดยเร่งด่วน เห็นชอบให้นำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมามารักษาอาการเจ็บป่วยที่ประเทศไทย งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 19 ล้าน
โดยมีข้อตกลงกับเจ้าอาวาสวัดคันเดวิหาร ซึ่งเป็นผู้ดูแลและเจ้าของกรรมสิทธิ์ในตัว “พลายศักดิ์”สุรินทร์ ความว่า “ยอมส่งพลายศักดิ์สุรินทร์ไปรักษา ภายใต้ข้อตกลงและคำสัญญาว่า ช้างจะถูกส่งไปไทย และ เมื่อรักษาเสร็จ ก็ส่งกลับศรีลังกา โดยไทยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด”
กระทั่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2566 พลายศักดิ์สุรินทร์ เดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินแบบอิลยูชิน อิล-76 ซึ่งเดินทางจากสนามบินบันดารานายาเก กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ถึงสนามบินเชียงใหม่ เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. และเคลื่อนย้าย ส่งพลายศักดิ์สุรินทร์ไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้พลายศักดิ์สุรินทร์เป็นช้างในพระบรมราชานุเคราะห์
เบื้องต้นทางศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยได้ประกาศงดเยี่ยมพลายศักดิ์สุรินทร์อย่างน้อยเป็นเวลา 30 วัน เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการ รวมถึงให้ช้างได้พักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงสร้างความคุ้นเคยกับควาญช้างไทย และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่หลังจากห่างหายไปนานนับสิบปี ซึ่งเมื่อพลายศักดิ์สุรินทร์ทำความคุ้นเคยกับที่อยู่ใหม่ และได้รับการดูแลรักษาจนมีสุขภาพแข็งแรงทางศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยจะประกาศเชิญชวนให้คนรักช้างและผู้สนใจได้เข้าเยี่ยมพลายศักดิ์สุรินทร์อีกครั้ง
สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของทูตสันถวไมตรีในศรีลังกาอีก 2 เชือก “พลายประตูผา” และ “พลายศรีณรงค์” มีรายงานว่าแม้การใช้งานไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการขอไปจากไทย แต่มีสภาพความเป็นอยู่ดีกว่า “พลายศักดิ์สุรินทร์” สำหรับ “พลายประตูผา” แก่ชราไปตามอายุขัย ได้รับการดูแลและมีความเป็นอยู่ดี ส่วน “พลายศรีณรงค์” ได้รับการดูแลค่อนข้างดี มีสภาพอ้วนท้วนสมบูรณ์
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ทำให้สังคมเกิดคำถามถึงความจำเป็นเพียงใดที่ต้องส่งสัตว์ไปทูตสันถวไมตรี และหากมีความจำอย่างยิ่งในประเด็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น รัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องแก้ไขออกมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพของสัตว์ให้รัดกุมมากกว่าเดิม
กรณีพลายศักด์สุรินทร์ชัดเจนว่านับตั้งแต่ส่งไปเป็นทูตสันถวไมตรีที่ศรีลังกานานกว่า 20 ปี แทบไม่มีข้อมูลการติดตามความเป็นอยู่ของช้าง ท้ายที่สุดเกิดปัญหาด้านสุขภาพรุนแรง นายภานุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เผยว่าการส่งสัตว์ของไทยให้ประเทศอื่น ไม่ว่าจะด้วยการเป็นไปเพื่อการสานความสัมพันธ์ หรือเพื่อการศึกษาวิจัย ในความเป็นจริงแล้วจะต้องมีการกำหนดเงื่อนไข หรือข้อตกลงที่ชัดเจนก่อน ข้อสำคัญต้องสามารถติดตามได้ว่า หลังจากส่งไปให้แล้วประเทศปลายทางปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่ เพื่อให้ไม่ให้เกิดการใช้งาน หรือนำสัตว์ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นจนส่งผลเสียต่อสวัสดิภาพสัตว์
เลขาธิการมูลนิธิสืบฯ มองว่าการส่งสัตว์ไม่ว่าจะเป็นช้างหรือสัตว์อื่นๆ ของไทยไปให้อีกประเทศหนึ่งนั้น มีความจำเป็นในแง่การทำการศึกษาและวิจัย สิ่งสำคัญต้องมีระบบการติดตามที่ดี ให้ประเทศต้นทางตรวจสอบทราบว่าเอาไปใช้อย่างถูกวิธีหรือไม่ ต้องมีการคุ้มครองดูแลคุณภาพชีวิตของสัตว์จนสิ้นอายุขัย
ดังนั้น หากส่งไปตามเงื่อนไข หรือเป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปเพื่อการศึกษาวิจัย ส่งไประหว่างองค์กรสวนสัตว์ต่อองค์กรสวนสัตว์ ไม่ได้ส่งไปในนามส่วนบุคคล การส่งสัตว์ไปต่างแดนก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการส่งช้างไทยไปต่างแดน เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรีมากกว่า 20 เชือก ซึ่งปัจจุบันไม่มีการส่งช้างไปนอกประเทศแล้ว นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันว่าปัจจุบันไม่มีนโยบายการนำช้างส่งออกไปนอกราชอาณาจักรแบบในอดีต แต่หากมีประเทศต้องการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างกัน จะมีการนำมาพิจารณากันอย่างละเอียด ภายใต้เงื่อนไขรัดกุม ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าสัตว์ที่ถูกส่งออกไปจะต้องได้รับการดูแลที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีอายุยืนยาว
โดยล่าสุด มีการกล่าวถึงการทำ MOU ให้กรมอุทยานฯ เป็นผู้ลงนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของศรีลังกา เพื่อทำความตกลงแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ความรู้ทางการแพทย์เกี่ยวกับการดูแลช้างไทยที่ทำหน้าที่อยู่ในศรีลังกา เพื่อการดูแลช้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องยาวนาน
-2-
สำหรับช้างในประเทศไทยมีอยู่ 2 สถานะ คือ 1. ช้างป่า และ 2. ช้างเลี้ยง หรือ ช้างบ้าน ซึ่งช้างป่า อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ส่วนช้างบ้านหรือช้างเลี้ยง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. 2482
ปัจจุบันช้างป่ามีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ประมาณ 4,013-4,422 ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน จำนวน 91 แห่ง (ข้อมูลวันที่ 9 มี.ค. 2566 ซึ่งเป็นข้อมูลที่อยู่ระหว่างการสำรวจและการประเมินประชากรช้างป่าทั่วประเทศ ปี 2566) และภายในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบางแห่ง ในแต่ละพื้นที่การกระจายสามารถพบช้างป่าได้ตั้งแต่น้อยกว่า 10 ตัว ไปจนถึง 200 – 300 ตัว โดยกลุ่มป่าที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ประชากรช้างป่าได้แก่ กลุ่มป่าตะวันตก กลุ่มป่าตะวันออก กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ กลุ่มป่าภูเขียว-น้ำหนาว และกลุ่มป่าแก่งกระจาน แม้ว่าในประเทศไทยแนวโน้มประชากรช้างป่าโดยรวมค่อนข้างคงที่
จากการสำรวจติดตามและศึกษาประชากรช้างป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งในประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ทั้งนี้ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งที่เป็นถิ่นอาศัยของช้างป่าถูกแบ่งแยกเป็นหย่อมป่า (Habitat Fragmentation) ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ช้างออกมาทำลายพืชผลทางการเกษตรของประชาชนที่อาศัยใกล้ชิดตามแนวขอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์กว่า 49 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวและมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
ขณะที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีนโยบายเกี่ยวกับการช้างป่าและการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อการอนุรักษ์ช้างป่าตลอดจนลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า นอกจากนี้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2565 เพื่อการบูรณาการความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการอนุรักษ์ จัดการ และแก้ไขปัญหาช้างให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
สอดคล้องกับร่างแผนการจัดการช้างป่าแห่งชาติ (แผน 20 ปี) เพื่ออนุรักษ์และการจัดการช้างป่า ควบคู่กับจัดทำแผนการจัดการช้างป่าระดับกลุ่มป่า (แผน 10 ปี) และแผนการจัดการช้างปาระดับพื้นที่ (แผนการจัดการช้างปาระยะเร่งด่วน) ใน 3 พื้นที่ คือ ป่าอนุรักษ์แนวเขตป่าอนุรักษ์และแนวกันชน และชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า
ส่วนสถานการณ์ช้างบ้านของไทย กำลังเผชิญมีปัญหาการลดจำนวนลงของช้าง เนื่องจากมีลูกช้างเกิดน้อย รวมถึงมีปัญหาเลือดชิดในหมู่ประชากรช้าง ขาดหน่วยงานที่ดูแลช้างบ้านโดยตรง และครอบคลุมทุกปัญหาของช้างบ้าน โดยจะดูแลแค่ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช้างที่ป่วยเพียงเท่านั้น ช้างบ้านไม่ถูกให้ความสนใจมากนักในระดับนโยบาย
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาคือ ช้างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยจัดเป็นศูนย์กลางในการใช้ช้างในธุรกิจท่องเที่ยวและความบันเทิงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection - WAP) เปิดเผยว่าปัจจุบันมีช้างไทยกว่า 3,000 ตัวที่ถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อยู่ทางองค์กรได้เดินหน้าโครงการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อเพิ่มระดับสวัสดิภาพช้าง “ปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้าง” ปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีใหม่อย่างรับผิดชอบและยั่งยืนแบบไม่ทำร้ายช้างคือทางออกและโอกาสของธุรกิจการท่องเที่ยวทั่วโลกในอนาคต
นอกจากนี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายฯ ได้เสนอ “ร่างพระราชบัญญัติปกป้องและคุ้มครองช้างไทย” หรือ “ร่าง พ.ร.บ.ช้างไทย” ฉบับภาคประชาสังคม ให้รัฐสภาพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐสภาได้มีหนังสือเลขที่ สผ. 0014/6906 ลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565 วินิจฉัยว่าร่างฯ ฉบับดังกล่าว แต่ที่ผ่านมายังไม่มีความคืบหน้าในขั้นตอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แต่อย่างใด
สำหรับ พ.ร.บ.ช้างไทยฉบับภาพประชาสังคมเกิดจากเจตจำนงค์ของภาคประชาชนที่ต้องการให้เกิดกฎหมายที่มีกลไกในการปกป้องดูแลสวัสดิภาพช้างไทยอย่างเป็นระบบและครอบคลุม ป้องกันการกระทำที่โหดร้ายทารุณแก่ช้าง การส่งออกช้าง การครอบครองซากของช้างและผลิตภัณฑ์ช้างซึ่งยังไม่มีกลไกในเชิงกฎหมายเข้ามารองรับ รวมทั้ง การจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาสวัสดิภาพช้างไทย
อีกทั้งประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวและมีช้างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากแต่สวัสดิภาพช้างไทยยังย่ำแย่ หากมี พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จะช่วยให้สวัสดิภาพช้างไทยดีขึ้นโดยเฉพาะหมวดว่าด้วยกองทุนที่จะพัฒนาสวัสดิภาพช้าง ที่จะเข้ามาช่วยจัดการความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่า ที่ในปัจจุบันมีเพียงระเบียบของกรมอุทยานฯที่เข้ามาช่วยเหลือเยียวยาได้เพียงสองพันบาทในทุกกรณี ซึ่งหากเรามีพ.ร.บ.ดังกล่าวจะช่วยเยียวยาได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
น.ส.อรกร ธนชลกรณ์ หัวหน้าโครงการรณรงค์องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว ที่ภาคประชาสังคมได้ร่วมยื่นร่าง พ.ร.บ.ปกป้องและคุ้มครองช้างไทย พ.ศ. .... แต่ยังไม่ถูกรับรองโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งชี้ให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหาให้กับช้างเลี้ยงในประเทศไทย ปัจจุบันมีกว่า 3,000 ตัวและลูกช้างที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์เพื่อการค้าอีกเป็นจำนวนมาก จนทำให้ข่าวการทำร้ายสัตว์ประจำชาติชนิดนี้กลายเป็นเหตุการณ์ปกติรายวันที่เห็นจนชินชา และด้วยสถานการณ์การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้นยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ช้างเลี้ยงเหล่านี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการหาเงิน สร้างความบันเทิง รวมถึงกลายเป็นสินค้า เช่น การนำช้างมาแสดงโชว์ที่ผิดธรรมชาติ การฝึกช้างที่ใช้ความโหดร้ายทารุณ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวทำร้ายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ท่ามกลางกระแสการคัดค้านการใช้สัตว์ป่าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยที่รัฐบาลไทยจะพิจารณาผลักดันกฎหมายเพื่อคุ้มครองสัตว์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของประเทศอย่าง “ช้าง”