xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (4)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เป็ดตุ๋นมะนาวดอง
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


 เรื่องกินเรื่องใหญ่ 


 อาหารเช้ามื้อแรกในวันแรกที่ไปถึงนั้น บนโต๊ะมีกับข้าวนับสิบอย่างเห็นจะได้ ซึ่งสำหรับพวกเราคนไทยแล้วถือว่าเยอะมาก แต่ในขณะนั้นเราคิดแต่เพียงว่า ฝ่ายจีนคงต้องการให้เราเห็นว่าเขาต้อนรับเราได้ดี ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งสำหรับจีนแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ 

หรือไม่ก็อาจคิดว่า เมื่อคืนเราโดยสารเรือมาทั้งคืนและพักผ่อนไม่เต็มที่ เราคงจะหิวกันอยู่ไม่น้อย จึงจัดอาหารเช้าให้เราเป็นอย่างดี
แต่หลังจากมื้อเช้ามื้อแรกผ่านไปแล้ว มื้อต่อๆ มาปริมาณอาหารมิได้ลดลงแต่อย่างไร แต่ละมื้อล้วนมีกับข้าวนับสิบอย่าง แต่ละอย่างก็มากันแบบจานใหญ่ชามใหญ่จนฝ่ายเราตกใจ และต้องบอกฝ่ายจีนว่าไม่ต้องสั่งมามากมายขนาดนั้น

คำตอบที่ได้คือ ทางจีนได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนที่เราจะเดินทางมาถึง ซึ่งไม่ต่างกับเราที่เวลาแขกไปใครมาเราก็ต้องตั้งงบประมาณเลี้ยงรับรองเป็นปกติ แต่ที่ต่างออกไปคือ อาหารที่ฝ่ายไทยเตรียมต้อนรับแขกนั้น รับรองได้ว่าทุกคนรับประทานกันอิ่มอย่างแน่นอน

ดังนั้น ที่ต่างกันจริงๆ ระหว่างจีนกับไทย (และชาติอื่นๆ) ก็คือ ปริมาณอาหารที่ทางจีนจะจัดมาอย่างมากมาย

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็ต้องยอมรับอย่างที่มิอาจปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่ผมต้องบอกไว้ก่อนก็คือ แม้เราจะยอมรับเช่นนั้นก็จริง แต่นั่นย่อมก็ไม่เกี่ยวกับรสชาติอาหาร ซึ่งสำหรับผมแล้วแทบไม่มีจานไหนที่ไม่อร่อย คืออร่อยหมดทุกจาน อร่อยจนไม่หยุดที่จะใช้ตะเกียบคีบมารับประทานมากกว่าหนึ่งครั้ง

พอรับประทานจานแรกพร่องลงไป อาหารจานใหม่ก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ทยอยกันมาอย่างนี้ทุกมื้อ และรสชาติก็ดีทุกมื้อทุกจาน

ถึงตรงนี้ผมก็มีเรื่องที่จะเล่าต่อว่า เรื่องแรก ด้วยความที่เราคนไทยไม่ได้รับประทานอาหารด้วยปริมาณที่มากมายขนาดนั้น พอผ่านไปมื้อหนึ่งเราต่างก็รู้สึกอิ่มไปนานหลายชั่วโมง ยิ่งบางคนด้วยแล้วอาจอิ่มไปถึงเย็นก็ได้ แต่หลายชั่วโมงที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับมื้ออาหารของคนจีน เพราะพอถึงเวลาอาหารแต่ละมื้อ (เช้า เที่ยง เย็น) ฝ่ายจีนก็จะพาเราไปรับประทานตามเวลา ทั้งๆ ที่มื้อก่อนหน้านั้นยังย่อยไม่หมด

ที่ผมขำก็คือ ผู้ใหญ่ฝ่ายเราท่านหนึ่งพอได้ยินฝ่ายจีนบอกว่า ไปรับประทานอาหาร ท่านก็อุทานขึ้นมาว่า กินอีกแล้วเหรอ
 
และที่ผมจำได้ถนัดใจก็คือ มื้อที่ท่านอุทานว่า กินอีกแล้วเหรอนั้น เป็นมื้อที่มีเป็ดตุ๋นมะนาวดองที่ผมเคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเป็นเพียงอาหารรายการเดียวที่เมืองไทยก็มี แต่ที่จะบอกก็คือ เป็ดตุ๋นมะนาวดองของจีนนั้นรสชาติดีกว่าของไทยมาก 

ก่อนที่จะตักอาหารรายการนี้ผมคิดแต่เพียงว่า ขอแค่ชิมดูก็พอ แล้วไปตักรายการอื่นที่ไม่เคยกินดีกว่า แต่พอได้ชิมแล้วก็ให้ประหลาดใจที่รสชาติไม่เหมือนที่เมืองไทย หลังจากนั้นก็มีคำที่สองคำที่สามตามมาด้วยติดใจในรสชาติ

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในเมื่อต่างก็คืออาหารรายการเดียวกันกับที่เมืองไทย

อีกหลายปีต่อมาผมถึงได้รู้จากเพื่อนชาวจีนคนหนึ่งที่เกิดและโตที่ซัวเถาหรือแต้จิ๋ว ซึ่งไม่ใช่ชาวจีนโพ้นทะเล แต่เป็นชาวจีนรุ่นปัจจุบันที่เข้ามาไทยหลังจีนเปิดประเทศในปี 1979 เพื่อนคนนี้บอกว่า ที่ผมรู้สึกว่ารสชาติแตกต่างกันนั้น มาจากมะนาวดองที่ต่างพันธุ์กันระหว่างของไทยกับของจีน

 เพื่อนคนนี้บอกว่า มะนาวจีนไม่เปรี้ยวจี๊ดแบบของไทย และเวลานำไปดองแล้วจะมีกลิ่นหอมกว่าของไทย และให้รสชาติที่ละมุนกว่า ผมฟังที่เพื่อนชาวจีนคนนี้บอกแล้วก็ถึงบางอ้อ ด้วยหัวใจสำคัญของเป็ดตุ๋นมะนาวดองอยู่ที่มะนาวดองจริงๆ 

นับแต่ที่รู้เช่นนั้นเป็นต้นมาผมก็มีความตั้งใจว่า หากได้ไปซัวเถาอีกครั้ง ผมจะซื้อมะนาวดองติดมือกลับมาให้ได้

กลับมาที่เรื่องกินที่ชวนขำกันอีกครั้ง คือนอกจากเรื่องขบขำที่เล่าไปข้างต้นแล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่จะเล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่า อาหารแต่ละรายการมากันแบบจานใหญ่นั้น แต่มีอยู่รายการหนึ่งที่เขาไม่ได้เสิร์ฟมาเป็นจานกลาง แต่เสิร์ฟมาให้คนละจาน

อาหารจานนี้มาเป็นอันดับที่สามหรือที่สี่ คือเป็นรายการต้นๆ ประเด็นก็เป็นดังที่ผมได้บอกไปแล้วว่า แม้แต่จานต้นๆ เราก็รู้สึกอิ่มแล้วนั้น พอมาถึงรายการนี้เราก็ตกใจ เพราะที่เขาเสิร์ฟมาให้แต่ละคนและคนละที่นั้น เป็นแป้งรูปหัวใจ (ที่ถอดจากบล็อกรูปหัวใจ) ขนาดใหญ่กว่าบ๊ะจ่างราวเท่าตัว แต่มีรูปทรงแบน และสูงประมาณสองนิ้ว ซึ่งสำหรับเราคนไทยแค่จานนี้จานเดียวก็อิ่มแล้ว

 แป้งก้อนนี้เนื้อเนียนเหมือนขนมเข่ง และตั้งอยู่บนจานขนาดย่อมแล้วราดด้วยน้ำมันร้อนจัด แต่ดูใสแวววาวไหลเยิ้มอยู่ก้อนรูปหัวใจ ทั้งขนาดและน้ำมันที่เยิ้มก็หนักหนาพอที่เราคนไทยจะเบือนหน้าหนีแล้ว แต่ในเมื่อถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้าแล้วจะไม่ลิ้มลองนั้น หากไม่ดูเป็นการเสียมารยาทแล้วก็คงเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองแบบกินทิ้งกินขว้างโดยใช่เหตุ  

พวกเราจึงนอกจากจะอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจแล้ว ก็ยังพร้อมใจกันยอมรับสภาพด้วยการใช้ตะเกียบบิก้อนแป้งก้อนนั้นด้วยความเหนื่อยใจ พอบิออกเห็นเนื้อในแล้วก็พบว่า ข้างในคือไส้ที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลักและผักอื่นเป็นรอง คราวนี้ผมจำต้องเบือนหน้าเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็ลงมือคีบเข้าปาก

พอเข้าปากคำแรกเท่านั้น ผมก็อุทานขึ้นมาเบาๆ ว่า โอ้ว...อร่อยมาก และทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น

ตอนนั้นเองที่ผมได้บอกกับตัวเองว่า จากนี้ไปคงต้องยอมรับสภาพกับการต้องรับประทานอาหารแบบนี้จนกว่าจะกลับไทย แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมฝ่ายจีนจึงต้องต้อนรับเราด้วยอาหารปริมาณอาหารที่มากขนาดนั้น ซึ่งบ่อยครั้งอาหารก็เหลือเพราะไม่มีใครรับได้หมด แม้แต่คนจีนเองก็ตาม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมมารู้อีกทีหลังจากนั้นไม่นานว่า นั่นเป็นเพียงโอกาสเดียวที่คนจีนในเวลานั้นจะได้สัมผัสอาหารเลิศรส ด้วยมีแขกต่างชาติมาเยือน ที่เหลือนอกนั้นยากที่จะสัมผัสอาหารเช่นนี้ เพราะในเวลานั้นเศรษฐกิจของจีนยังไม่ดีเท่าตอนนี้ การจะได้รับอาหารดีๆ เป็นเรื่องยาก เมื่อโอกาสมาถึงจึงได้จัดอาหารมาดังที่เห็น

 แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากเล่าเพิ่มเติมคือ อาหารทุกมื้อนอกจากจะจัดมาแบบที่ผมเล่ามาแล้วก็ยังมีอาหารปิดท้ายด้วย อาหารปิดท้ายนี้จะเน้นผักเป็นหลัก ซึ่งก็เสิร์ฟมาสามสี่อย่างพร้อมกับข้าวต้ม ผมถามว่า ในเมื่อที่จัดมาก่อนหน้านั้นก็อิ่มจนไม่รู้จะอิ่มยังไงแล้ว ทำไมจึงยังจัดชุดข้าวต้มมาอีก 

 ฝ่ายจีนตอบว่า ที่จัดมานี้เป็นอาหารอย่างเบาเพื่อให้กระเพาะทำงานน้อยลง หลังจากที่ต้องย่อยอาหารหนักก่อนหน้านี้ อาหารเบาที่เน้นผักนี้เขาเรียกว่า อาหารจานผัก (ซู่ไช่) ผมฟังแล้วก็ได้แต่นึกชมในใจว่า ช่างสรรหาเหตุผลมาอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เสียจริง 

เฉพาะเรื่องอาหารการกินก็ทำให้เราเข้าใจเลยว่า สำหรับคนจีนแล้วเรื่องกินเรื่องใหญ่จริงๆ แต่สำหรับผมแล้วถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเคยคิดกลัวจะอดตาย จะมีก็ครั้งนี้แหละที่รู้สึกว่า ถ้าจะอิ่มตายนั้นอาการจะเป็นอย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น