ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดูประเทศแม่แบบประชาธิปไตย เจ้าของคำขวัญ สโลแกน “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภารดรภาพ” อันโด่งดังไปทั่วทั้งโลก จนเป็นที่หวัง ที่ปรารถนาและต้องการ อย่างชนิดกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดาพวก “นักประชาธิปไตย” บ้านเรา อย่างประเภทคุณน้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-และช่อ” อะไรประมาณนั้น นั่นคือฝรั่งเศส หรือเศษฝรั่ง ก็แล้วแต่จะเรียก ที่เพิ่งเกิดจลาจลระดับ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” หรือระดับ “เผามันเลยครับพี่น้อง...ผมรับผิดชอบเอง” โดยแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพอคลายๆ ลงไปมั่งแล้ว แต่ก็น่าจะยังพอหลงเหลือข้อคิด สะกิดใจ อุทาหรณ์ สอนใจ ให้สามารถนำมาใคร่ครวญ พิจารณา กันไปตามสภาพ...
คือการจลาจลลงถนน ก่อความรุนแรง อันเนื่องมาจากความไม่ชอบใจ-ไม่ถูกใจ ของบรรดาชาวฝรั่งเศสทั้งหลาย ทั้งปวง อันที่จริงก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น อย่างเมื่อวัน-สองวันมานี้ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ต้องเรียกว่าลากยาวว์ว์ว์กันมาระดับ 4 ปี 5 ปีเอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ไล่มาตั้งแต่พวกที่ถูกเรียกขานในนาม “เสื้อกั๊กเหลือง” หรือ “Yellow Vest” ที่ออกจะหงุดหงิดงุ่นง่านต่อ “ความไม่เสมอภาค” ไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ชนิดถึงกับต้องสรุปว่าผู้นำของตัวเองอย่างประธานาธิบดี “มาครง คนหนุ่ม” ที่ได้รับการเลือกตั้งมาสักกี่สิบล้านเสียงก็แล้วแต่ สุดท้าย...ก็คือ “President of the Rich” หรือ “ประธานาธิบดีของคนรวย” ไม่ใช่ของบรรดาชาวฝรั่งเศสที่ต้องตกงาน ว่างงาน ต้องเจอภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา เจอกับวิกฤตพลังงาน ฯลฯ จนต้องดาหน้าออกมาลงถนนกันเป็นล้านๆ และต้องถูกพวกเจ้าหน้าที่ไล่ทุบ ไล่ตี แบบไม่ต้องสนใจ “ภราดรภาพ” ใดๆ อีกต่อไป ต่อเนื่องนับเป็นเดือนๆ ถึงจะ “เอาอยู่” ได้มั่ง...
มาจนการปฏิรูปกฎหมายบำเหน็จ-บำนาญ ที่ทำให้บรรดานักประชาธิปไตยในฝรั่งเศส ต่างรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ได้มีส่วนร่วม” กับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยทั้งหลายเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะอ้างเหตุ อ้างผล ในการปฏิรูปกฎหมายลักษณะใดก็ตาม แต่การที่ผู้นำประเทศตัดสินใจใช้อำนาจประธานาธิบดี ตามมาตรา 49.3 ผ่านกฎหมายฉบับดังกล่าวโดยไม่จำเป็นต้องผ่านรัฐสภาเอาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เป็นกฎหมายที่ก่อให้เกิด “ผลกระทบ” ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนแทบทั่วทั้งประเทศ ที่อาจต้องยืดเวลาการได้รับบำนาญไปอีกเป็นปีๆ เลยหนีไม่พ้นต้องลงถนน ต้องเกิดการลุกฮือของบรรดาชาวฝรั่งเศสนับล้านๆ อีกคำรบหนึ่ง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องเก็บ “ภราดรภาพ” ใส่ลิ้นชักไว้ชั่วคราว หันมาไล่ทุบ ไล่ตี บรรดาผู้ชุมนุม ชนิดหนักซะยิ่งกว่าพวกเจ้าหน้าที่บ้านเราเล่นงานพวกม็อบทะลุแก๊ส ทะลุวัง ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า และกว่าจะ “เอาอยู่” ก็ลากยาวเป็นเดือนๆ อีกเหมือนกัน โดย ณ ขณะนี้...ก็ใช่ว่าจะนั่งพับเพียบ เรียบร้อย ก็หาไม่ ชนิดบางเมืองในฝรั่งเศส ถึงกับต้องออกคำสั่งห้ามการสุมหัว รวมตัว เกินกว่า 5 คน ต้องเซ็นเซอร์ข่าวคราวโดยเฉพาะทางโซเชียล มีเดียทั้งหลาย หรือถึงกับต้องให้ผู้คิดชุมนุมแจ้งขออนุญาตต่อรัฐมนตรีมหาดไทยเพิ่มอำนาจตำรวจ ให้สามารถตบกะโหลกใครต่อใครได้ถนัดมือยิ่งๆ ขึ้นไป ฯลฯ จนบรรดานักสิทธิมนุษยชนจำนวนไม่น้อย ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ถือเป็นการ “ละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล” กันเห็นๆ...
ไล่มาจนกระทั่งการจลาจลเมื่อวัน-สองวันมานี้...ที่ว่ากันว่าเป็นเพราะเด็กอายุ 17 ปีชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย ที่พยายามหลบหนีหลังเข้าไปขโมยของในร้านค้า เลยถูกตำรวจฝรั่งเศสสาดกระสุนเข้าใส่แบบเหี้ยมๆ โหดๆ พอๆ กับตำรวจอเมริกันที่ใช้เข่ากดคอพวกผิวสีอย่าง “นายGeorge Floyd” จนหายใจไม่ออก ตายคาแข้ง คาเข่า ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อคลิปวิดีโอของเหตุการณ์คราวนี้ ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านบรรดาโซเชียล มีเดียทั้งหลาย เลยเกิดการลุกฮือ ลงถนน ของบรรดาพวก “คนรุ่นใหม่” ในฝรั่งเศส โดยเฉพาะพวกที่มีเชื้อสายโยงใยกับครอบครัวผู้อพยพลี้ภัย ที่ไหลทะลักแผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรปนับตั้งแต่ความเป็น “อาณานิคม” ของนักล่าอาณานิคมในยุโรปได้หมดสภาพลงไปเป็นรายๆ รวมทั้งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ “Arab Spring” หรือเหตุการณ์ที่คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรป ร่วมเข้าไปปลุกปั่น ยุแยงตะแคงรั่ว สร้างความแตกแยกให้กับประเทศในโลกอาหรับ โลกมุสลิม ในแถบตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ ไปจนถึงซีเรีย ฯลฯ โน่นเลย จนเกิดการ “บ้านแตก-สาแหรกขาด” ในแต่ละประเทศ บรรดาชาวอาหรับมุสลิม ไม่รู้จะกี่ล้านต่อกี่ล้านเลยต้องไหลทะลักเข้าสู่ยุโรป และนำมาซึ่งความแปลกแยกทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา กลายเป็น “ปัญหา” ที่ไม่ใช่เฉพาะฝรั่งเศส แต่หลายต่อหลายประเทศในยุโรป ต่าง “คิดไม่ออก-บอกไม่ถูก” จวบจนตราบเท่าทุกวันนี้...
การจลาจล...ลากรถออกมาเผานับร้อยๆ คัน เผาอาคาร-ร้านค้า หรือคว้าปืนยาว ปืนสั้นออกมายิงขึ้นฟ้า ยิงใส่เจ้าหน้าที่ ชนิดแทบไม่ต่างไปจาก “สงครามกลางเมือง” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยส่วนใหญ่จะอุบัติขึ้นมาในแถบถิ่นที่อยู่ของพวกผู้อพยพทั้งหลายนั่นแหละเป็นหลัก โดยอาศัยโซเชียล มีเดีย เป็นตัวกระพือฮือโหมให้เกิดการลุกลามแบบ “ประกายไฟไหม้ลามทุ่ง” หรือทำให้ประธานาธิบดี “มาครง คนหนุ่ม” ต้องหันไปกล่าวโทษ “TikTok” หันไปกล่าวโทษวิดีโอเกม ว่าเป็นตัวยกระดับความรุนแรงขึ้นมาในสังคม การรับมือกับ “คนรุ่นใหม่” เหล่านี้ จึงกลายเป็นปัญหาที่คงต้องดำเนินต่อไปอีกนานเท่านาน...
ภายใต้ความสับสน ปั่นป่วน ระส่ำระสาย ที่ต่อเนื่องมานานนับเป็นปีๆ และยังไม่อาจปิดฉาก ปิดกล่อง เอาง่ายๆ เลยทำให้บรรดาพวกนักสังเกตการณ์ต่างประเทศแต่ละรายหยิบเอามาตั้งเป็น “ทฤษฎี” ไว้เยอะแยะมากมาย ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ปัญหา “เศรษฐกิจ” ที่เกิดความซบเซา ตกต่ำ นับแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” แต่ก็ยังมิอาจรื้อฟื้น คืนทุน แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตพลังงาน ฯลฯ หลังจากบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย หันไปเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกา แทนที่จะเจียดเงินมาช่วยเหลือผู้คนภายในประเทศ กลับต้องขนเงิน ขนอาวุธ ไปช่วยรัฐบาลและกองทัพยูเครนเพื่อให้เล่นงานมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างหมีขาวรัสเซียอยู่ในทุกวันนี้ ไปจนปัญหา “เชื้อชาติ” การเหยียดผิว เผ่าพันธุ์อันเป็น “มรดกบาป” มาตั้งแต่ยุคอาณานิคม รวมทั้งการก่อหนี้เวร-หนี้กรรมขึ้นมาใหม่ ด้วยการเข้าไป “แทรกแซง” โลกอาหรับโลกมุสลิม จนเกิดการไหลบ่าของผู้อพยพที่มีทัศนคติ วัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา ต่างไปจากชาวยุโรป หรือกระทั่งปัญหา “การเมือง” เพราะไม่ว่าครั้งใดก็ตาม ที่ประเทศฝรั่งเศส เกิดคิดต่าง-เห็นต่างไปจากคุณพ่ออเมริกาในบางเรื่อง-บางกรณี มักต้องเจอกับการประท้วง จลาจล อุบัติขึ้นมาซะแทบทุกครั้งไป เรียกว่า...ตั้งแต่จลาจลปี ค.ศ. 1968 ยุคประธานาธิบดี “ชาร์ส เดอ โกล” โน่นเลย หรือปี ค.ศ. 2005 ยุคประธานาธิบดี “ฌาคส์ ชีรัค” เป็นต้น ดังนั้น...เมื่อ “มาครง คนหนุ่ม” พยายามหันมาเรียกร้องให้บรรดาประเทศในยุโรป เลิกตามก้นอเมริกา หลังจากเดินทางไปเยือนจีนเมื่อไม่นานมานี้ มันก็เลยอาจเป็นไปอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านฝรั่งเศสศึกษา แห่งสถาบัน “The China Institute of Fudan University” ของเมืองจีน “นายZheng Roulin” เขาสรุปไว้น่าคิด น่าสะกิดใจ ตามสมควร นั่นคือ... “แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นโยบายฝรั่งเศสส่งผลให้อเมริกาไม่ชอบใจ...มักต้องเกิดการประท้วงตามมาเสมอๆ”...
อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่า “ทฤษฎี” แบบไหน แนวไหนน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อมาก-น้อยไปกว่ากันแต่ภายใต้ความสับสน ระส่ำระสาย ที่ทำท่าว่าอาจลุกลามไปถึงอีกหลายประเทศในยุโรป ซึ่งมีสภาพไม่ต่างไปจากฝรั่งเศสมากมายสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะสวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลี สเปน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึง “ความเสื่อม” ของ “ระบอบประชาธิปไตย” ในยุโรป อันเคยถือเป็น “แม่แบบ” ของประชาธิปไตยทั่วโลกมาโดยตลอด ประชาธิปไตยที่แทบไม่หลงเหลือ “อำนาจอธิปไตย” พอที่จะเป็นตัวของตัวเอง หรือดำเนินนโยบายใดๆ โดยมี “ผลประโยชน์แห่งชาติ” เป็นที่ตั้ง ต้องก้าวเดินไปตามความต้องการของ “ประมุขโลก” อย่างมิอาจปฏิเสธ ประชาธิปไตยที่ต้องหันมาปฏิเสธ “การมีส่วนร่วม” ของผู้คนภายในประเทศ แต่กลับมุ่งส่งเสริม สนับสนุน พวกพ่อค้าหรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่อาศัยความเป็น “ทุนนิยมเสรี” หรืออาศัย “โลกาภิวัตน์จากด้านบน” พยายามเปลี่ยนโลกให้อยู่ภายใต้อำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง จนสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยทั้งหลายกลายเป็นประชาธิปไตยของพ่อค้า โดยพ่อค้าและเพื่อพ่อค้ายิ่งๆ ขึ้นไป ส่งผลให้ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ค่อยๆ เลือนหายไปจากโลกตะวันตกจนยากที่ฟื้นฟูให้กลับคืนได้ง่ายๆ ยิ่งเมื่อเจอกับ “ผลกรรม” ที่ตัวเองเคยก่อไว้ในอดีต-ปัจจุบัน ไม่ว่าโดยการ “ล่าอาณานิคม” หรือการ “แทรกแซง” กิจการภายในของแต่ละประเทศ ก็ยิ่งเป็นตัวกัดกร่อน ทำลาย “เอกภาพ” ภายในสังคมตัวเอง เกิดความแตกแยกทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา ชนิดต่อยังไงก็ต่อไม่ติด โดยมีกลไกการสื่อสารที่ก้าวหน้า ก้าวไกลในโซเชียล มีเดีย ช่วยกระพือฮือโหมความแตกแยก แตกต่างเหล่านี้ ให้ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ยิ่งขึ้นไปอีก...
“ความเสื่อม” ของประชาธิปไตยที่อุบัติขึ้นมาในบรรดาประเทศยุโรปทุกวันนี้ จึงกลายเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปของโลกในอนาคตอันใกล้ ว่าน่าจะใกล้ถึงจุดจบ จุดอวสานของกระบวนการ “Westernization” หรือการครอบงำโลกให้ต้องกลายเป็นโลกตะวันตกมานานนับศตวรรษ ที่นับวันชักออกอาการ “Westlessness” ยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุนี้...ใครที่ยังยึดมั่นอยู่กับ “มาตรฐานตะวันตก” ยังคิดลอกแบบ เลียนแบบ พยายามเดินตามก้นตะวันตก เพื่อสูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจอย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิกโอกาสที่จะต้อง “ก้าวสะเปะสะปะ” ไปโดยตลอด โอกาสที่ต้อง “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ลูกเดียวเท่านั้นเอง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!