xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับตา “ทั่นประธาน 3 นิ้ว” ที่เคารพ ดัน “กม.เสี่ยง” สร้างความแตกแยกคนในชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตประธานสภาผู้แทนราษฎร
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ดูเหมือนประเด็นตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับเส้นทางปั้น “รัฐบาลส้ม-แดง”

ทั้งที่อุตส่าห์เคลมความเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ด้วย “มติมหาชน” ที่เทเสียงให้ในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 จนสามารถโค่น “ฝ่ายลุง” ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

รายของ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่คว้าแชมป์ ส.ส.มาเป็นลำดับที่ 1 อย่างเหนือความคาดหมาย ขณะที่ “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย เต็งจ๋าในสนามเลือกตั้ง เข้าป้ายเพียงอันดับ 2

เมื่อสมการรัฐบาลผสมที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ ที่ถือว่าพลิกธรรมเนียมการเมืองที่ผ่านๆ มา เมื่อพรรคอันดับ 1-2 มาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน

ด้วยปกติแล้ว เมื่อพรรคอันดับที่ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่ 2 ก็ต้องไปเป็นแกนนำฝ่ายค้าน แต่หากพรรคที่ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะเป็นสิทธิ์ของพรรคที่ 2 ในการรวบรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลแทน

พลันที่สมการ “8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” สิริรวม 312 เสียง นำโดยพรรคที่ 1-2 “ก้าวไกล-เพื่อไทย” อะไรๆก็เลยดูประดักประเดิดไปเสียหมด

ชัดเจนในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ต้อง “เล่นตามน้ำ” หน้าฉากวางมาด “สุภาพบุรุษ” ปล่อยให้พรรคก้าวไกลฉายเต็มที่ ส่วนหลังฉากต้องเก็บงำ “ความแค้น” จากความพ่ายแพ้ให้ “พรรครุ่นหลาน” เอาไว้

ทำให้เดือนเศษที่ผ่านมา หลังการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีอาณัติสัญญาในการสนับสนุน “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ดูจะไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ทั้งๆ ที่พรรคก้าวไกลสามารถรวบรวม ส.ส.เสียงข้างมาก 312 เสียงได้อย่างรวดเร็ว ก่อนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แรมเดือน มีการตั้งคณะทำงานช่วงเปลี่ยนผ่าน จัดการประชุมสารพัด เพื่อเลี้ยงกระแสมาอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งฝ่ายเสียงข้างน้อยที่เหลืออยู่เพียง 188 เสียง ก็ไร้วี่แววการก่อหวอดจัดตั้งรัฐบาลแข่ง แต่เป็นฝ่ายว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ที่ทำ “สงครามประสาท” กันเรื่อยมา

กระทั่งมาส่อแตกหักกันเอง จากการชิงเก้าอี้ “ประมุขนิติบัญญัติ” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ยังไม่ลงตัว

ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ตอกย้ำ 3 วาระที่ต้องการผลักดันในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรมาตลอด ประกอบด้วย

วาระที่ 1 เพื่อผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า โดยมีการพูดถึงร่างกฎหมายอย่างน้อย 45 ฉบับของพรรคก้าวไกลที่จะผลักดันในช่วงรัฐบาล และสภาผู้แทนราาฎรชุดนี้

วาระที่ 2 เพื่อผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเดินหน้าอย่างราบรื่น

และวาระที่ 3 เพื่อผลักดันหลักการ “รัฐสภาโปร่งใส” และ “ประชาชนมีส่วนร่วม” ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

“พรรคก้าวไกลต้องการให้ ส.ส.ของเราดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่เพื่อตำแหน่ง แต่เราต้องการอำนาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงรัฐสภาไทยให้สามารถออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ สามารถแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้จริง และเป็นรัฐสภาที่เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็ง” แถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล เคยระบุไว้

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยแถลง “หลักการ” ในการให้พรรคอันดับ 1 ครองเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็เกิดมา “กลับลำ” ผ่านการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 โดยอ้างความเห็นอย่างเป็น “เอกภาพ” ของคณะกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ของพรรค ที่มอบหมายให้คณะเจรจาของพรรค ยื่นข้อเสนอต่อ พรรคก้าวไกล ว่า ต้องการตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 14 ตำแหน่ง ตาม “สูตร 14+1” โดยทิ้งท้ายไว้ว่า ตามหลักเป็นธรรม และเสมอภาคต่อกัน

ในคำแถลงของพรรคเพื่อไทยยังระบุด้วยว่า การที่พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. 141 เสียง ขณะที่พรรคก้าวไกลได้ ส.ส. 151 เสียง ห่างกัน “เพียง” 10 เสียง ถือว่าไม่ห่างกันมาก ดังนั้นควรจะยึด “สูตร 14+1” อย่างเท่าเทียมกัน

กล่าวคือพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีอีก 14 ตำแหน่ง ส่วนพรรคเพื่อไทย “ขอ” ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกับรัฐมนตรีอีก 14 ตำแหน่ง

ซึ่ง “ผู้สันทัดกรณี” ก็อ่านท่าทีของ พรรคเพื่อไทยเป็น 2 ทาง

ทางหนึ่ง พรรคเพื่อไทย หวัง “เล่นแง่” ฮุบทั้งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร และเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่ถึงวันนี้ยังเชื่อว่า ไม่สามารถหาเสียงสนับสนุน “พิธา” ได้ถึงกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา หรือ 376 เสียง และอาจต้องเปลี่ยนแผนมาเสนอชื่อแคนดิเดตพรรคเพื่อไทย

กระทั่งไปไกลถึงขั้นบีบให้พรรคก้าวไกลประกาศถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้าน เลยทีเดียว
ท่ามกลางกระแสข่าว “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ว่ากันกว่าเป็น เจ้าของพรรคเพื่อไทย มี “ดีลลับ” กับฝ่ายอำนาจปัจจุบัน เพื่อแลกกับการเดินทางกลับประเทศไทย ที่ประกาศไว้ว่าจะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 นี้

อีกทางหนึ่ง ก็อ่านกันว่าพรรคเพื่อไทยพยายามใช้ลูกเล่น “ต่อรอง” เพื่อให้สมประโยชน์ โดยขยี้ประเด็นเก้าอี้ใหญ่อย่าง “ประมุขนิติบัญญัติ” เพื่อบีบให้พรรคก้าวไกล ยอม “คลาย” เก้าอี้ “กระทรวงเกรดเอ” ให้เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ทางหลังนี้ สอดคล้องกับท่าทีของ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งระบุทำนองว่า หากไม่ได้เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรตามที่ “ขอ” ไปก็ต้องกลับมาพิจารณาอีกครั้งแต่ไม่ถึงกับถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล เพราะมี “อาณัติ” จากประชาชน อันหมายถึงคะแนนเสียงเลือกตั้งผูกไว้กับพรรคก้าวไกล

รวมทั้งมี “กระแสข่าว” ที่ว่า “ผู้มีอำนาจในประเทศ” ของพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจแล้วว่า จะยอมถอยในส่วนของเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้กับพรรคก้าวไกล ตามหลักการที่เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า พรรคอันดับที่ 1 ควรได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

อันเป็นความปรารถนาของ “ผู้มีอำนาจในประเทศ” ของพรรคเพื่อไทย ให้การจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้า “ตามครรลอง” ที่มีโอกาสสูงว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรี อาจจะตกมาถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

ขณะที่พรรคก้าวไกลเองก็ถือว่ามีชั้นเชิงในการต่อรองไม่ธรรมดา เพราะพลันที่แกนนำพรรคเพื่อไทย แถลงข่าว “ขอ” เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ไม่นาน ก็ตัดสินใจยกเลิกกำหนดการประชุมร่วมระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 28 มิถุนายน 2566 และการประชุม 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ทันที

อ่านไม่ผิดว่า เป็นการส่งสัญญาณ “ประท้วง” ไปถึง พรรคเพื่อไทย ที่เล่นแง่ในเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่เคยประกาศถอยไปแล้วครั้งหนึ่ง

ก่อนที่จะมีการประกาศนัดหมายพูดคุยกันอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 ซึ่งถือว่า “กระชั้นชิด” เพราะมีหมายกำหนดการรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 และการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566

เสมือนหนึ่ง พรรคก้าวไกล มั่นใจว่า การประชุมในวันที่ 2 ก.ค.66 จะสามารถสรุปปัญหาเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมไปถึงการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงกำหนดการประชุมแบบหลังชนกำหนดการสำคัญ โดยไม่เผื่อว่า ต้องมีการประชุมอีกครั้ง

ไม่เท่านั้น พรรคก้าวไกลยังแสดงความมั่นใจด้วยการโยนชื่อ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารของพรรค เป็นแคนดิเดตในตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร แบบไม่สนใจว่า บทสรุปของการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยจะออกมาเช่นไร

เอาว่า ด้วยความเป็นปึกแผ่นของ 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล และท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทย ก็เชื่อว่า ที่สุดแล้ว พรรคก้าวไกล จะดัน “หมออ๋อง” สัตวแพทย์วัย 42 ปี แห่ง เมืองสองแคว พิษณุโลก ขึ้นเป็น “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” ได้สำเร็จ

ก็น่าจับตาว่า “สภาฯ หินอ่อน” ที่กำลังจะถูกฉาบด้วย “สีส้ม” และมี “ทั่นประธานอ๋อง” นั่งบนบัลลังก์จะมีทิศทางไปเช่นไร

เริ่มที่ตัว “ปดิพัทธ์” ซึ่งเป็น ส.ส.เขต 1 จ.พิษณุโลก ได้เป็นสมัยที่ 2 โดยสร้างชื่อตั้งแต่เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ที่สามารถหักปากกาเซียน เอาชนะ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส. 3 สมัย ที่ลงในสีเสื้อพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นไปได้

สำหรับการทำหน้าที่ ส.ส.สมัยแรกของ “หมออ๋อง” ถือเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรมากพอสมควร โดยเฉพาะการอภิปรายในสภาฯ หลายวาระ อาทิ กรณีรัฐบาลปกปิดโรคระบาดหมู ASF, กรณีกล่าวหารัฐบาลประยุทธ์หนุนเผด็จการเมียนมา ทำไทยเป็น “ตัวตลกแห่งอาเซียน” และการตีแผ่ทุจริตกองทัพ เส้นทางหักหัวคิวกู้บ้านพักทหาร จากเหตุการณ์กราดยิงโคราช เป็นต้น

ขณะเดียวกัน “ปดิพัทธ์” ยังมีโอกาสดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ด้วย ก่อนสลับให้ “บ่าวกาย” ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคเดียวกัน ขึ้นเป็นประธานแทน ส่วนตัวลงไปเป็นรองประธาน กมธ.คนที่ 2

นอกจากนี้ “หมออ๋อง” ยังถือเป็นขวัญใจ “ม็อบ 3 นิ้ว” คนหนึ่ง โดยปรากฎตัวไปร่วมการชุมนุมของเครือข่ายม็อบ 3 นิ้วหลายครั้ง รวมทั้งยังมักจะชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ให้เห็นจนชินตา

และยังได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะอนุ กมธ.ศึกษาผลกระทบของมาตรา 112 ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน ในช่วงที่นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวังไม่ได้รับการประกันตัวจากการถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ใน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ด้วย

ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า หาก “ปดิพัทธ์” ที่มีแนวคิดสนับสนุน “ม็อบ 3 นิ้ว” ซึ่งหมายรวมไปถึง “กลุ่มทะลุวัง” ที่ล้วนแล้วแต่ต้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นประธานสภาฯ จะมีการนำ “วาระสุ่มเสี่ยง” เข้าสู่สภาฯ มากน้อยเพียงใด

เพราะครั้งหนึ่ง ขณะที่ “ม็อบ 3 นิ้ว” เคลื่อนไหวอย่างหนัก ก็ได้มีการเสนอญัตติเกี่ยวกับการชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าสู่สภาฯ “ปดิพัทธ์” ก็เป็นผู้หนึ่งที่ลุกขึ้นอภิปราย โดยสนับสนุนให้ใช้พื้นที่รัฐสภาเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อพูดคุยข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

“ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า จากบทสนทนาที่เราคุยกันในโต๊ะอาหาร วงเหล้า หรือในกลุ่มเพื่อนสนิท ตอนนี้กลับมาเป็นประเด็นทางสาธารณะ มันหมายความว่านี่คือคำถามแห่งยุคสมัย แทนที่ผู้ใหญ่จะใช้วิธีปิดปากปิดตา ปิดหู ทำไมเราไม่ทำหน้าที่ในการตอบ ในการถามกลับ หรือการทำให้ผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนมีโอกาสได้พูดมากขึ้น เรื่องนี้ถ้ารัฐสภาของเราไม่ตัดสินใจให้ดี เราอาจจะเสียใจในภายในหลัง เพราะความรุนแรงรออยู่ที่ถนน" คือคำอภิปรายที่ “ว่าที่ประธานอ๋อง” กล่าวไว้ในสภาฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2563

อีกทั้ง “ปดิพัทธ์” ยังเคยให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทของประธานอนุ กมธ. ศึกษาผลกระทบของมาตรา 112 ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนฯ ว่า ต้องการสร้างกระบวนการที่สามารถให้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและหาทางออกร่วมกันได้ โดยได้มีการเรียกให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจ, อัยการ, ศาล และกรมราชทัณฑ์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีมาตรา 112

โดย “หมออ๋อง” อ้างว่า “เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมถูกกดดันให้ดำเนินคดี เพราะเป็นนโยบายและเป็นเครื่องมือให้ผู้บัญชาการ หรือมีผู้อำนาจ”

เข้าใจว่า การที่ “ปดิพัทธ์” ได้รับการโปรโมทจากต้นสังกัดให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ด้วยจุดยืนจากกรณีข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ตรงกับแนวนโยบายของพรรคก้าวไกลนั่นเอง

โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่แม้ไม่บรรจุอยู่ในเอ้มโอยูจัดตั้งรัฐบาล และ พรรคก้าวไกล ประกาศจะผลักดันให้มีการแก้ไขภายใน 100 วันทันทีที่เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร

เป็นไปตามโรดแมป “กฎหมายก้าวไกล 45 ฉบับ พร้อมยื่นทันที” ที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศไว้ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ “อ้าง” ว่า จำเป็นต้องยึดเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขับเคลื่อน

โดยร่างกฎหมาย 45 ฉบับของพรรคก้าวไกล แบ่งเป็น

1.กฎหมายการเมือง 11 ฉบับ อาทิ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม, ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร), ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีการเมือง, ร่าง พ.ร.บ.ล้างมรดก คสช., ร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ-ปฏิรูปกองทัพ และร่างกฎหมายสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น

2.กฎหมายสิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ อาทิ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (กฎหมายหมิ่นประมาท / มาตรา 112 / มาตรา 116), แก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ, ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม (พิจารณาต่อวาระ 2-3) และร่าง พ.ร.บ.รับรองอัตลักษณ์ทางเพศ เป็นต้น

3.กฎหมายปฏิรูประบบราชการ 6 ฉบับ อาทิ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลของรัฐและการสร้างระบบที่ดีในการตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นโดยเฉพาะ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ให้การออกใบอนุญาตของทางราชการทำได้เร็วขึ้น รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ-ภารกิจ-งบประมาณ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ เป็นต้น

4.กฎหมายปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ เพื่อเปิดทางให้เกิดการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน แก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประชาชนและหน่วยงานของรัฐ ออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ สปก., นิคมเกษตรกร และนิคมสร้างตนเอง เป็นต้น

5.กฎหมายบริการสาธารณะ 4 ฉบับ เกี่ยวกับสร้างมาตรฐานและรับประกันคุณภาพบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่ดีสำหรับประชาชน

6.กฎหมายแรงงาน 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
7.กฎหมายเศรษฐกิจ 4 ฉบับ ประกอบด้วย กฎหมายสุราก้าวหน้า, กฎหมายภาษีทรัพย์สิน, กฎหมายแข่งขันทางการค้า และแก้ไข พ.ร.บ.ประมง

และ 8.กฎหมายสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด

มองผิวเผินแพคเกจร่างกฎหมาย 45 ฉบับของพรรคก้าวไกลอาจจะฟัง “ดูดี” แต่หากลงลึกแล้วก็ “น่าห่วง” ไม่น้อย โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมาการเมือง และกฎหมายสิทธิเสรีภาพ ที่ “สุ่มเสี่ยง” ต่อการการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาที่พุ่งไปที่มาตรา 112 และมาตรา 116 อันว่าด้วยความผิดต่อสถาบันพระมหากษิตริย์ และความมั่นคงของประเทศ หรือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่แม้แต่พรรคเพื่อไทยยังไม่เอาด้วย เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเงาของ “ผู้มีอิทธิพล” ต่อ “ค่ายก้าวไกล” อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล - พรรณิการ์ วาณิช ก็เคยแสดงจุดยืน “แหลมคม” เกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทาบทับพรรคก้าวไกลอยู่ ไม่นับรวมเรื่องแยกดินแดนที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้

จนน่ากลัวว่า “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ภายใต้การถือหางเสือของพรรคก้าวไกล จะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางที่สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ มากกว่าคำโฆษณาที่ว่า จะสร้างรัฐสภาที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นของประชาชน ซึ่งก็ต้อง “จับตา” ดูต่อไปว่า ถ้าหากได้เป็น “ทั่นประธานที่เคารพ” จริง จะเป็นไปอย่างนั้น หรือไม่ อย่างไร.


กำลังโหลดความคิดเห็น