xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (3)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ป่าตึกสูงในฮ่องกง ปี 2008
คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 บาทก้าวแรก 

ดังที่ผมได้บอกไปแล้วว่า การไปจีนครั้งนี้เราจะไปทางเรือ คือลงเรือที่ฮ่องกงแล้วเดินทางไปจีนโดยมีซัวเถาเป็นจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นการเดินทางของเราที่เริ่มต้นที่ดอนเมืองจึงมีฮ่องกงเป็นจุดหมายแรก

สำหรับผมแล้วการเดินทางครั้งนี้ทุกอย่างดูจะเป็นครั้งแรกไปหมด เริ่มจากเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปเมืองนอก เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเครื่องบินลำใหญ่ และเป็นครั้งแรกที่จะได้เหยียบฮ่องกงแล้วต่อด้วยการไปเหยียบแผ่นดินจีน อารมณ์ของผมในเวลานั้นจึงไม่ต่างอะไรกับบ้านนอกเข้ากรุง ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด

 ผมยังจำได้ดีว่า ด้วยความที่ฮ่องกงเป็นเกาะที่มีพื้นที่เล็กมาก แต่มีตึกสูงอยู่มากมายสมกับที่เป็นป่าคอนกรีต ขณะที่เครื่องบินกำลังร่อนลงสู่สนามบินฮ่องกงนั้น เครื่องจะบินเหนือตึกสูงเหล่านั้นในระยะที่ใกล้มาก มากจนเหมือนจะเฉี่ยวชนตึกให้ได้ ซึ่งเป็นภาพที่น่าหวาดเสียวมาก 
บังเอิญว่าเครื่องบินที่ผมนั่งไปในวันนั้นมีชาวไทยเชื้อสายจีนนั่งอยู่ประมาณครึ่งลำ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยแบบที่เราเรียกกันว่าอากงอาม่า (คุณตาคุณยายหรือคุณปู่คุณย่า) ท่านเหล่านี้ต่างส่งเสียงดังตกใจที่เครื่องบินบินเช่นนั้น พอบินเฉี่ยวทีก็ร้องที เฉี่ยวอยู่สามสี่ทีก็บินพ้น

ที่ผมขำก็คือ พอหยุดร้องแล้ว อากงอาม่าต่างก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่ คือต่างก็ขำอาการของตนที่ตกอกตกใจ

หลังจากผ่านขั้นตอนเอกสารเข้าเมืองแล้ว เราก็ขึ้นรถไปกับคนที่มารับและดูแลเรา เราถูกพาไปยังห้องพักชั่วคราวที่เป็นห้องเล็กๆ เพื่อให้เราเก็บสัมภาระและเข้าห้องน้ำห้องท่า จากนั้นก็รอเวลาที่จะลงเรือในเย็นวันเดียวกัน

พวกเราจึงมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่จะพักผ่อนก่อนเดินทางต่อ ผมจึงเลือกที่จะออกไปเดินดูบ้านเมืองฮ่องกงโดยติดกล้องถ่ายรูปไปด้วย กล้องตัวนี้ไม่ใช่ของหน่วยงานหรือของผม ด้วยตอนนั้นเรายังไม่ได้ตั้งงบประมาณสำหรับซื้อกล้องเพื่อใช้ในงานวิจัย แต่เป็นกล้องที่ผมยืมจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง โดยเพื่อนคนนี้ยังได้สอนให้ผมรู้จักใช้กล้องด้วย

ความรู้ที่ผมได้จากการใช้กล้องครั้งนั้น ต่อมาได้กลายเป็นความรู้ที่สำคัญสำหรับผม เพราะผมมีใจรักการถ่ายรูปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีปัญญาซื้อมาเป็นของตัวเองเท่านั้น และผมก็โชคดีที่มีเพื่อนที่มีน้ำใจให้ผมยืมอีกหลายครั้ง กว่าผมจะมีเงินซื้อกล้องมาเป็นของตัวเองก็หลังจากนั้นอีกเกือบสิบปี

ถึงตรงนี้ผมก็ควรบอกด้วยว่า กล้องที่ผมยืมมาและต่อมาก็ซื้อเป็นของตนเองนี้เป็นกล้องในระบบถ่ายด้วยมือ (manual) ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติแบบที่นิยมใช้กัน (บางทีก็เรียกว่ากล้องปัญญาอ่อน เพราะคนถ่ายไม่จำเป็นต้องมีฝีมือก็ถ่ายได้) ซึ่งกว่าจะถ่ายได้แต่ละภาพก็ต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง ถ้าใจไม่รักจริงคงไม่มีแก่ใจที่จะถ่ายแน่ๆ

ปัญหาของผมตอนนั้นก็คือ เรามีงบประมาณที่จำกัด เราจึงใช้ฟิล์มอย่างจำกัดไปด้วย เวลาที่ถ่ายจึงต้องตั้งใจอย่างเต็มที่ และเมื่อแน่ใจแล้วจึงกดชัตเตอร์ การถ่ายภาพของผมจึงไม่เหมือนช่างภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่สามารถถ่ายไปได้อย่างเต็มที่และถ่ายซ้ำๆ ในมุมเดิม จากนั้นค่อยมาเลือกเอาภาพที่ดีที่สุดมาใช้เพียงไม่กี่ภาพ

ฮ่องกงที่ผมเห็นตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายคล้อยมากแล้ว ผู้คนต่างทำงานของตนโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่ในความรู้สึกของผมเวลานั้น ผู้คนและตึกรามบ้านช่องฮ่องกงทำให้ผมคิดถึงสองเรื่องวนอยู่ในหัว

 เรื่องหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้นะหรือที่เป็นภาพตัวแทนชีวิตในหนังฮ่องกงที่ผมดูตั้งแต่เด็ก อีกเรื่องหนึ่งคือ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้คนเหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรที่ในอีก 8 ปีข้างหน้าฮ่องกงจะต้องถูกส่งคืนให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่ 

ผมเก็บความรู้สึกและความสงสัยนั้นเอาไว้ แล้วเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งจนพอแก่การจึงกลับไปยังที่พัก จากนั้นอีกไม่นานเราก็ออกจากที่พักเพื่อไปลงเรือ เรารับประทานอาหารเย็นบนเรือ ต่อมาผมก็รู้มาว่า เรือลำนี้เป็นเรือโดยสารที่ค่อนข้างแปลก คือเขาจัดห้องนอนให้ห้องละคนโดยไม่ให้กุญแจห้อง แต่จะมีพนักงานคอยเปิดปิดกุญแจประตูห้องให้

ฉะนั้น ถ้าใครมีของมีค่าติดตัวก็อาจจะนอนไม่หลับเอาได้ เพราะต้องคอยระแวงว่าคนที่มาเปิดปิดประตูจะไว้ใจได้ไหม หรือถ้าเป็นโจรผู้ร้ายแฝงตัวเข้ามาแล้วจะทำอย่างไร

ส่วนผมซึ่งไม่มีสิ่งมีค่าอะไรให้ต้องกังวลนั้น พอได้เวลานอนผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่พอตกดึกจะเวลาเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ผมก็รู้สึกตัวว่านอกเรือมีฝนตกหนัก จนเรือโคลงเคลงไปมาเหมือนจะล่มเสียให้ได้ ผมได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าจะตายเพราะเรือล่มก็ให้รู้ไป แล้วผมก็หลับต่อไปจนสว่าง แสดงว่าความง่วงชนะความกลัว ซึ่งถือเรื่องดีสำหรับผม

 ซัวเถาในอดีตเมื่อร้อยปีก่อน ที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านทางทะเลของประเทศจีน (ภาพเอเจนซี)
เรือมาถึงซัวเถาในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากจัดการกับตัวเองแล้วผมก็ออกมาพบกับคณะ จากนั้นก็ขึ้นฝั่งเพื่อพบกับนักวิจัยฝ่ายจีนที่มาคอยรับเราอยู่ก่อนแล้ว รถที่มารับเป็นรถตู้ แต่ที่เราไม่คุ้นเคยเลยก็คือ ทั้งคนขับของเราและรถคันอื่นๆ ชอบที่จะบีบแตรเป็นนิสัย

ไม่ว่าจะสตาร์ทเครื่อง จะถอยรถออกรถ จะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จะเร่งหรือชะลอเครื่อง หรือแม้แต่จะหยุดรถ ฯลฯ เป็นต้องบีบแตรทุกทีไป เสียงแตรจึงดังลั่นถนนทุกสาย ทุกตรอกซอกซอย ดังจนเราต้องปรับตัวให้ได้ หาไม่แล้วประสาทกินแน่ๆ

เสียงแตรดังกล่าวดังติดหูผมแม้กระทั่งตอนนอน ในขณะที่เมืองทั้งเมืองเงียบสงบ แต่หูของผมยังรู้สึกว่ามีเสียงแตรก้องอยู่ในโสตประสาท

 หลังจากขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย รถก็พาเราเข้าไปยังตัวเมือง ผมได้แต่นั่งมองดูบ้านเมืองและผู้คนด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ โดยที่ลึกลงไปในความรู้สึกแล้วเหมือนมีอะไรมากระตุ้นเตือนว่า ตอนนี้ผมได้อยู่บนแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดของบุพการีแล้ว

ทำให้ผมคิดถึงข้อเขียนชิ้นหนึ่งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีที่เล่าว่า หากเราไปยังที่ใดที่หนึ่งแล้วเกิดความรู้สึกสะท้อนใจ โบราณท่านว่าเราได้หวนกลับมายังถิ่นเก่าของเราเมื่อครั้งอดีตชาติ เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ แต่ผมรู้สึกสะท้อนใจอย่างนั้นจริงๆ 


ตอนนั้นผมไม่รู้แม้แต่น้อยว่า บ้านเกิดของพ่อแม่ผมอยู่ห่างจากซัวเถาไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

จุดหมายแรกที่นักวิจัยจีนพาเราไปคือ ไปรับประทานอาหารเช้าและโรงแรม และอาหารนี้เองที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเป็นคนสรรหาของกิน หรือเพราะเป็นคนชอบทำอาหารเป็นพื้นเดิม แต่เพราะอยากรู้ว่าอาหารที่นี่เหมือนหรือต่างจากอาหารจีนที่ไทย ที่ส่วนใหญ่คืออาหารจีนแต้จิ๋วเช่นกัน

พอได้สัมผัสผมก็บอกได้เลยว่า ตั้งแต่มื้อแรกจนถึงมื้อสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ มีที่เหมือนที่ไทยอยู่เพียงรายการเดียวคือ  เป็ดตุ๋นมะนาวดอง ที่เหลือนอกนั้นแทบไม่มีรายการไหนที่เหมือนเลย จะมีก็แต่คล้ายกันเท่านั้น และแน่นอนว่า ของจีนย่อมมีรสชาติดีกว่าในฐานะที่เป็นต้นธารของอาหาร

แต่แค่อาหารเพียงเรื่องเดียวก็เป็นความรู้สำหรับผมไปมากมายแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น