ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังคงต้องตั้งตารอการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง 2566 ที่เชื่อว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เป็นคนกำหนด “ปฏิทินการเมือง” อยู่ในขณะนี้ คงไม่ลากยาวไป “เดดไลน์” จนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 หรือไม่เกิน 60 วันหลังวันเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 85 วรรคสี่
และมีแนวโน้มที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ อันจะนำไปสู่ขั้นตอนการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก ภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศผลเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 121 วรรคหนึ่ง
ที่สำคัญยังคาดว่า กกต.จะ “ปล่อยผี” รับรอง ส.ส.ทั้ง 500 คนในคราวเดียว ส่วนผู้ที่ยังติดเรื่องคัดค้านอยู่นั้นก็จะมีกระบวนการ “สอยทีหลัง” หากพบว่ามีความผิดจริง
ตามหลักปฏิบัติ ในการประชุมสภาฯนัดแรก ก็จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเป็นประธานรัฐสภา โดยตำแหน่งด้วย
คาดการณ์กันว่า ปลายเดือน มิถุนายน 2566 หรือช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2566 ก็จะได้ตัว “ประมุขนิติบัญญัติ”
จากภาพความสมัครสมานสามัคคีของ “8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” นำโดย “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่มีกันอยู่ 312 เสียง ในขณะนี้ เชื่อว่า หมุดหมายแรกในการลงมติเลือกประธานสภาฯ ที่ใช้ “เสียงข้างมาก” อย่างน้อย 251 ส.ส. คงไม่มีปัญหา
อยู่ที่ว่าหวยจะออกที่คนจากพรรคก้าวไกล หรือคนจาก “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่จะมาเป็นผู้คุมกฎบนบบังลังก์สภาฯ หินอ่อนเท่านั้น
ที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ คงเป็นขั้นตอนการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 มากกว่า ด้วยตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เพียงขั้นตอน ไม่ได้ล็อกว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปี หลังมีการเลือกตั้ง
แต่ก็เชื่ออีกว่า ตามกระแสลมทางการเมือง กำหนดการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็คงไม่ล่าไปหลังจากวันที่ได้ตัวประธานสภาฯ เท่าใดหนัก
ยิ่งหาก “ฝ่ายเสียงข้างมาก” เป็นปึกแผ่น ประธานรัฐสภาก็สามารถนัดหมายวันประชุมได้ทันทีหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง
ปัญหามีว่า เสียงข้างมาก 312 เสียงในสภาฯ ยังไม่เพียงพอต่อเสียงสนับสนุนนายกฯที่ต้องถึงกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา หรือ 376 จาก 700 เสียง
ยังขาดอีกอย่างน้อย 64 เสียง ที่ต้องไปควานหาจาก ส.ส.ฝ่ายเสียงข้างน้อย หรือ ส.ว.
เดิมทีมีมีสัญญาณจาก ส.ว.กว่า 20 คน ที่ออกมาประกาศสนับสนุน “แด๊ดดี้ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 ในฐานะแคนดิเดตนายกฯจากพรรคที่ชนะเลือกตั้ง
แต่วันเปลี่ยน สถานการณ์ก็เปลี่ยน มาวันนี้ไม่รู้ว่าเหลือ ส.ว.ที่ยังจะสนับสนุน “พิธา” อยู่กี่เสียง
เพราะแม้จะยอมรับใน “ฉันทามติ” เสียงประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลถึงมากกว่า 14 ล้านเสียง และได้ ส.ส.มาเป็นที่ 1 อย่างเหนือความคาดหมาย แต่ตัว “พิธา” ดันมาติดกับดัก “หุ้นสื่อ” กรณีการเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ที่ถูกร้องไปยัง กกต.เพื่อให้ตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส.
โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”
เดิมทีฝ่าย “พิธา” และพรรคก้าวไกล ก็อ้างว่า มีชื่อถือหุ้นไอทีวีในฐานะ “ผู้จัดการมรดก” แต่คงพิเคราะห์แล้วว่าสุ่มเสี่ยงต่อแง่มุมทางกฎหมายไม่น้อย จึงได้ทำการโอนหุ้นไอทีวี 4.2 หมื่นหุ้น ให้ทายาทอื่นจัดการต่อ พร้อมอ้างว่า เพื่อป้องกัน “ขบวนการ” ปลุกไอทีวีคืนชีพ สกัดเส้นทางเข้าสู่เก้าอี้นายกฯ
ย้อนแย้งกับตอนแรกที่เคยยืนยันหนักแน่นว่า การถือหุ้นสื่อไอทีวีไม่ขัดคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส. รวมไปถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ทันทีที่ “พิธา” โอนหุ้นออกจากตัว ก็ถูกตั้งคำถามกลับทันทีว่า ถ้ามั่นใจว่าไม่ผิด แล้วโอนหุ้นหนีทำไม?
เป็นภาษามวยก็เรียกว่า “ออกอาการ” ทำเอา “ทีมนักร้อง” ได้ทีขย่มต่อทันที โดยงัดข้อกฎหมาย และหลักฐานยืนยันสถานัความเป็นสื่อของไอทีวีออกมาเป็นระลอก หมายสอย “พิธา” ให้พ้นเส้นทางการเป็นนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงในฐานะหัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองลูกพรรคลงสมัคร ส.ส. ที่อาจทำให้ผู้สมัครที่ชนะเลือกตั้ง มีผลเป็นโมฆะ
ในช่วงที่ “พิธา” กำลัง “เมาหมัด” ก็เป็นกรรมการอย่าง กกต.ออกมาช่วยให้ได้หายใจหายคอ เมื่อมีมีมติไม่รับ 3 คำร้องในกรณีนี้ และใช้อำนาจตั้งแท่นสอบสวนตามมาตรา 151 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กรณีรู้ตัวขัดคุณสมบัติ แต่ยังดื้อดึงลงสมัครเลือกตั้ง
ผิวเผินดูเหมือน “ว่าที่นายกฯ ทิม” จะรอดตัว แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดจะพบว่า เหตุที่ กกต.ไม่รับคำร้องกรณีถือหุ้นสื่อ เนื่องจากเป็นคำร้องที่ยื่นเกิน 7 วันนับจากประกาศชื่อผู้สมัคร ส.ส. จึงทำได้เพียงการสอบสวนตามมาตรา 151 เพื่อส่งศาลอาญาต่อไป
แอคชันของ กกต.ครั้งนี้ ทำให้ “พิธา” ไม่ตกร่องเดียวกับ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยถูกยื่นร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด หลังสมัครเลือกตั้งปี 2562 ครั้งนั้นเป็นการยื่นตามกรอบเวลา และมีการยื่นให้ศาลรับธรรมนูญวินิจฉัยตามคำร้อง ทำให้ “ธนาธร” ถูกสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติในภายหลัง
แน่นอนว่าตามรูปการณ์ขณะนี้ ก็ทำให้ “ด้อมส้ม” เบาใจได้เปราะหนึ่งว่า “พ่อส้ม-พิธา” จะได้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ อีกคำรบ ไม่เหมือน “พ่อฟ้า-ธนาธร” ที่ต้องโดนเชิญออกจากที่ประชุมสภาฯ ตั้งแต่นัดแรก
อีกทั้ง “พิธา” ก็คงจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีโดย 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ในการประชุมรัฐสภา “ครั้งแรก” เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน
หากแต่การที่ “พิธา” ยังติดเงื่อนหุ้นสื่ออยู่นั้นก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ จึงได้เห็นว่า มี “ขบวนการอุ้ม” ที่ออกมาช่วยให้ “ว่าที่นายกฯ” พ้นพันธนาการไอทีวี มีการขุดคุ้ยหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไอทีวีไม่ได้ดำเนินกิจการเกี่ยวสื่อมาเป็นระยะเวลานาน รวมไปถึงจำนวนหุ้นที่ “พิธา” เคยถืออยู่นั้นก็ไม่ได้มากถึงขั้นไปครอบงำสื่อได้
โดยมีการโหมประโคมข้อมูลจาก “ขบวนการอุ้ม” ไปในวงกว้าง แสดงให้เห็นว่า “พิธา” กำลังถูก “มือที่มองไม่เห็น” กลั่นแกล้ง เพื่อเป็นการแก้เกม “ขบวนการเตะสกัด” นั่นเอง
ฝ่ายที่เชียร์ “พิธา” ก็กล่าวหาว่า มี “ขบวนการเตะสกัด” เพื่อไม่ให้ได้เป็นนายกฯ รวมไปถึงเพื่อไม่ไห้พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จนอาจลืมมองไปว่า ฝ่าย “ขบวนการอุ้ม” ก็พยายามชี้นำให้สังคมหลงประเด็น หลุดไปจากกรอบกฎหมายเช่นกัน
ด้วยสถานะของไอทีวี ที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เป็น “สื่อ” ซึ่งก็ตรงการจดทะเบียนบริคณห์สนธิ อันน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในชั้นศาล มากกว่าคลิปการประชุม หรือบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้น ที่เป็นความเห็นของบุคคลเท่านั้น
ไม่เพียงกรณีหุ้นสื่อไอทีวี “พิธา” ที่กำลังอยู่กลางสปอตไลท์ ก็ยังถูกตรวจสอบอย่างหนักในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าการไม่แจ้งรายการค้ำประกันหนี้สินของธุรกิจครอบครัวในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), การถูกยื่นยุบพรรค ข้อหาเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อปรากฏสัญลักษณ์ “ค้อนเคียว” ในภาพการ์ตูนแนะนำผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หรือการเอ่ยชื่อผลิตภัณฑ์สุราพื้นบ้านออกสื่อ เป็นต้น
และต้องไม่ลืมว่า แม้ กกต.จะตีตกคำร้องในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อไปแล้ว แต่การตั้งแท่นสอบด้วยมาตรา 115 ที่กระบวนการอาจจะยาวนาน แต่ก็มีโทษหนัก จำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่น - 2 แสนบาท เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้งและลงสมัคร ส.ส.ไม่ได้ พร้อมห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
เรียกว่า ดับอนาคตทางการเมืองแทบจะถาวรเลยทีเดียว
สำคัญอีกว่า หลังการรับรอง ส.ส.แล้ว ก็ยังมีช่องให้ ส.ส.อย่างน้อย 50 คน ยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯเพื่อให้เพื่อส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.ของ “พิธา” ในกรณีถือหุ้นสื่อ หรือในเรื่องอื่นได้ ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นช่องที่จะเสนอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้ด้วย
มรสุมหลายลูกที่รุมล้อม “พิธา” อยู่ ทำให้เชื่อว่าการเสนอเขาเพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะ ส.ว.ที่ดูจะคาดหวังได้มากกว่าเพื่อน ส.ส.ฝ่ายเสียงข้างน้อย ย่อมมี “ข้ออ้าง” ในการไม่สามารถลงมติสนับสนุน “พิธา” ได้ ไม่ว่าจะเสนอชื่อเข้ามากี่ครั้งก็ตาม
ที่สำคัญยังมีประเด็นในเรื่อง “จุดยืน” ของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับ “สถาบันเบื้องสูง” กรณีการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่แม้ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาล แต่ “คนก้าวไกล” ก็ประกาศแล้วว่าจะผลักดันให้มีการแก้ไขในทันทีที่มีสภาฯ
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ทำให้ “ค่ายก้าวไกล” อาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ก็เป็นได้
ตาม “ฉากทัศน์” ที่มีการฉายกันในวงการเมือง ทั้งฝ่ายว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคที่เหลือ เห็นตรงกันว่า โอกาสที่ “เสี่ยทิม” จะได้เป็นนายกฯ แทบจะเป็นศูนย์
ถึงขั้นที่บ่อนการพนันข้างสนามออกราคา “เสมอๆ” แทงเท่าไรได้เท่านั้นว่า “พิธา” จะได้ หรือไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ทั้งที่ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล กับ 313 เสียง รวมทั้งไม่มีพรรคอื่นพยายามจัดตั้งรัฐบาลแข่ง โอกาสน่าจะเปิดกว้าง ราคาต่อรองควรเปิดแบบขาดลอย แทงร้อยแลกขี้หมากองเดียวด้วยซ้ำ
เมื่อ “คนนอกวง” ยังมองออก มีหรือ “คนในวง” จะมองไม่ขาด
ต้องถามต่อว่า 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลที่แพ็กกันแน่นในวันนี้จะปรับเกมอย่างไร ในเมื่อพรรคก้าวไกลมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคือ “พิธา” คนเดียว และพรรคอื่นที่เสนอชื่อได้ก็มีเพียงพรรคเพื่อไทยที่ส่งมา 3 ชื่อเต็มโควตา ทั้ง “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร, “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน และชัยเกษม นิติสิริ
หากรรคก้าวไกลใจกว้างโอนสิทธิ์ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคเพื่อไทย ง่ายอย่างที่ “พิธา” โอนหุ้นไอทีวีให้ “เสี่ยเทียน” ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชายของตัวเองก็คงดี
แต่ในทางการเมืองมีรายละเอียดมากกว่านั้น เพราะเมื่อโอนการเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” ให้กับพรรคอื่น ก็ต้องถามว่า พรรคไหนเป็น “แกนนำรัฐบาล” กันแน่ และนโยบายรัฐบาลจะไปทางไหน
ด้วยเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาลที่ลงนามกันไปนั้น แม้ทั้ง 8 พรรคการเมืองจะมีส่วนร่วม แต่ก็มี “ราก” มาจากนโยบายของพรรคก้าวไกลเป็นหลัก
ไม่ต้องอื่นไกล หลังการลงนามเอ็มโอยู และประกาศสนับสนุน “พิธา” เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยต้องมาแถลงพับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่เป็นนโยบายเรือธงไปอย่างเจ็บใจ
แค่เรื่องเดียวก็คงเถียงกันไม่จบแล้ว เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้เป็น “หัวหน้ารัฐบาล” ก็ย่อมต้องผลักดันนโยบายของตัวเองมากกว่าการผลักดันนโยบายที่เป็นผลงานของคนอื่น ขณะที่พรรคก้าวไกล ที่ถือสิทธิ์การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็คงไม่ยอมให้นำนโยบายของพรรคอื่นขึ้นมานำเช่นกัน
ดังนั้นหากไม่สามารถผลักดัน “พิธา” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงหนึ่งเดียวของพรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็คงยากที่ “ค่ายก้าวไกล” จะรับได้กับสถานะแค่พรรคร่วมรัฐบาล
ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคอันดับ 2 และมีประสบการณ์มากกว่า ก็ยังต้องเล่นบท “สุภาพบุรุษ” สนับสนุน “พิธา-ก้าวไกล” ให้เป็นนายกฯ และตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ แต่ก็อ่านออกว่า ทางเดินของพรรคก้าวไกลค่อนข้างตีบตัน ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่สามารถพลิกแพลงได้หลากหลายกว่า
เรียกว่า “ค่ายดูไบ” มีแต้มต่อเหนือ “ค่ายก้าวไกล” อยู่พอสมควร
แน่นอนว่า เมื่อ “พิธา” ไม่ได้รับการลงมติเป็นนายกรัฐมนตรีในการประชุมรัฐสภาไม่ว่าจะกี่ครั้ง “ค่ายเพื่อไทย” ก็ต้องแสดงการสนับสนุนต่อไป แบบ “อยู่เป็น เย็นพอ รอได้” และไม่ “สิ้นคิด” ถึงขั้นประกาศขอใช้สิทธิ์พรรคเบอร์ 2 จัดตั้งรัฐบาลแทน ไม่ให้สังคมครหา
เบื้องแรกก็รอให้ “ค่ายก้าวไกล” ยอมลดเพดาน-ลดเงื่อนไข หรือที่สุดยอมประกาศถอนตัวจากการจัดตั้งรัฐบาลด้วยตัวเอง เพื่อพลิกบทบาทไปเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง เลี้ยงกระแสความนิยมให้ไปพีคที่สุดในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
ที่เอาเข้าจริงก็เป็นความต้องการของ “บิ๊กสีส้มตัวจริง” ที่ยังไม่อยากให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลรอบนี้
เมื่อตัด 151 เสียงของพรรคก้าวไกลออกจากฝ่ายเสียงข้างมาก ก็จำเป็นที่ต้องไปดึงฝ่ายเสียงข้างน้อยเข้ามาทดแทน
อนุมานว่า พรรคก้าวไกลพลิกไปเป็นฝ่ายค้าน ก็จะเหลือ 349 เสียงที่มีโอกาสเข้าร่วมรัฐบาล ขึ้นอยู่กับ “ดีลเลิฟ-ดีลลับ” ว่าจะดึงพรรคใดเข้าร่วมรัฐบาลบ้าง
โดยมี 142 เสียงของ “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย เป็นส่วนผสมสำคัญ
อาจเป็นไปได้ถึงขั้นว่า โดดเดี่ยว “ค่ายสีส้ม” เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว ส่วนอีก 349 เสียงมาร่วมเป็นรัฐบาล เพื่อความมีเสถียรภาพ ออกแนว “รัฐบาลแห่งชาติ” กลายๆ
เอาว่า สูตร “พลิกขั้ว-ผสมพันธุ์” ยังเปิดกว้าง ปัดฝุ่น “ซูเปอร์ดีล” ที่ซุกไว้มาคุยกันใหม่ ด้วยเงื่อนไข “คนแดนไกล” อยากกลับบ้านใจจะขาด
หากเป็น “ซูเปอร์ดีล” จริง พูดกันว่า โอกาสยังเปิดกว้าง “พี่น้อง 2 ป.” ที่พรรคต้นสังกัดมีจำนวน ส.ส.ถึงเกณฑ์เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ ทั้ง “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แห่งพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แห่งพรรคพลังประชารัฐ
มิพักต้องพูดถึงการขยับของ “นางพญา” อย่าง “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ อดีตภริยา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกอ้างถึง “คำสัมภาษณ์” ที่สะเทือนวงการเมืองเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน
เป็นบทสัมภาษณ์ที่มีฉากหลังเป็นวงรับประทานอาหารของ “ครอบครัวชินวัตร” นำโดย “คุณหญิงพจมาน” กับ 2 ลูกสาว ทั้ง “เอม” พิณทองทา คุณากรวงศ์ ผู้บริหารเครือเอสซี แอสเสท และสามี รวมถึง “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และสามี ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับศูนย์กลางอำนาจ ทำเนียบรัฐบาล
มีการพูดถึง 2 ประเด็นหลัก คือความห่วงใย “ลูกอิ๊งค์” ที่อาจจะยังไม่พร้อมกับการเป็นนายกรัฐมนตรีในวัยนี้ เนื่องจากชั่วโมงบินยังไม่ถึง และการทัดทาน “ทักษิณ” ที่ประกาศจะกลับประเทศไทยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ โดยมองว่า ควรกลับมาภายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่มั่นใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่
มีการวิเคราะห์ว่า คำให้สัมภาษณ์ที่เชื่อว่าเป็นคำพูดของ “คุณหญิงอ้อ” เองนั้นเป็นการอ่านเกมระดับ “เซียนเหนือเซียน” ที่อยากให้ “ทักษิณ” ภายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ในสถานการณ์ที่เชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
นั่นก็หมายความว่า “ส้มหล่น” ใส่ พรรคเพื่อไทย ที่จะได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อผู้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
แง่หนึ่งก็อยากให้ “อดีตสามี” กลับประเทศในช่วงที่พรรคเพื่อไทยถืออำนาจ แต่อีกแง่หนึ่งก็ไม่อยากให้ “ลูกอิ๊งค์” เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพราะไม่ต้องการให้ซ้ำรอย “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ต้องหนีคดีไปอยู่กับ “พี่ษิณ” ที่ต่างแดน และอยากให้ “ลูกอิ๊งค์” สั่งสมประสบการณ์ก่อนรับตำแหน่งใหญ่
ตามโจทย์ของ “หญิงอ้อ” ก็มีมุมออกไม่ยาก เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาลจริง ก็ยังมี “เศรษฐา-ชัยเกษม” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย
แต่เมื่อพิเคราะห์ 2 ตัวเลือกที่เหลือแล้ว ตัว “เศรษฐา” ที่มีความเชื่อมั่นตัวเองสูง และประกาศว่า ไม่ชอบความพ่ายแพ้ คงไม่อยากได้ชื่อว่าเป็น “นายกฯ ส้มหล่น” ส่วน “ชัยเกษม” ก็ยังติดปัญหาเรื่องสุขภาพ
จนดูเหมือน “อุ๊งอิ๊งค์” จะเป็นเพียงตัวเลือกเดียวตามสูตรนี้ อีกทั้งด้วยความเป็น “ลูกเลิฟ” ก็คงอยากทำหน้าที่ในช่วงจัดแจงต้อนรับ “พ่อษิณ” กลับแผ่นดินเกิดด้วยตัวเอง
ยิ่งมีความรู้สึกว่า “กลัวถูกหลอก” ก็ไม่พ้นต้องเป็น “คนในครอบครัว” มาดูแลตรงนี้
สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่พรรคเพื่อไทย พบว่า “อุ๊งอิ๊งค์” พูดถึงสภาพจิตใจที่บอบช้ำ และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับประเทศไทยแผ่นดินเกิด และยังยืนยันกำหนดการเดิมในเดือนกรกฎาคม 2566 อีกทั้งยังแสดงความพร้อมในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีแม้จะมีเสียงทัดทานจาก “แม่อ้อ” ก็ตาม
“เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เด็ก เรื่องที่คุณแม่เป็นห่วงเราก็เข้าใจอยู่ ไม่ได้โกรธอะไร แต่ถ้าไม่พร้อม อิ๊งค์คงไม่ให้ชื่อตัวเองไปลง ไม่ก้าวมาอยู่จุดนี้ อิ๊งค์รู้สึกว่าถ้าเราไม่พร้อม เราก็ต้องบอกคนในพรรคว่าเราไม่พร้อม” บุตรสาวคนเล็กของ “ทักษิณ-พจมาน” ว่าไว้
อย่างไรก็ดี ระหว่างบรรทัด “แพทองธาร” ก็ยังแสดงความหนักแน่นในการสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ และ “พิธา” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแม้จะมีคดีความมากมายก็ตาม โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความหนักแน่นในประชาธิปไตย เคารพเสียงของประชาชน เมื่อประชาชนเลือกแล้วก็อยากจัดตั้งรัฐบาลเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาประเทศ สำหรับกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ขอให้พิจารณาตามข้อมูลหลักฐาน
“ขอส่งกำลังใจให้ คุณพิธา เพราะประเทศรอการขับเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ไหวแล้ว เราต้องมีการเมืองแบบใหม่ เมื่อประชาชนเลือกตั้งมา เคารพเสียงประชาชนแล้วมุ่งไปข้างหน้าต่อ สิ่งที่พรรคเพื่อไทย หรือครอบครัวอิ๊งค์เคยเจอ ก็อยากให้ยุติลง อยากให้มีการเมืองสร้างสรรค์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแห่งพรรคเพื่อไทย ให้กำลังไปถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล
นอกจากนี้ “อุ๊งอิ๊งค์” ย้ำเพื่อกลบกระแสข่าวการพลิกขั้วด้วยว่า “เราไม่มีแผนที่จะพลิกขั้วใด ๆ ทั้งสิ้น ฝ่ายประชาธิปไตยต้องจับมือกันให้แน่น เราเคารพเสียงของประชาชนไปตามนั้น กระบวนการที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ”
น่าสนใจในสิ่งที่ “อุ๊งอิ๊งค์” ถ่ายทอดออกมา ทั้งเรื่อง “ทักษิณ” กลับประเทศ หรือความพร้อมในการเป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนแล้วแต่ “ขัด” กับความเป็นห่วงของ “แม่อ้อ” อย่างสิ้นเชิง
เป็นคำให้สัมภาษณ์แสดงความมั่นใจกับการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีขึ้นมาอย่างมี “นัย” ของ “อุ๊งอิ๊งค์” ทั้งที่ตั้งแต่หลังเลือกตั้งเป็นต้นมา ก็พยายามหลีกเลี่ยงการให้ความเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุเพียงว่า เป็นหน้าที่กรรมการบริหารพรรคไปประสานกับทางพรรคก้าวไกลมาตลอด
แน่นอน การที่ “อุ๊งอิ๊งค์” ออกมาให้สัมภาษณ์โดยยืนยันถึงความพร้อมในการเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นเพราะได้รับสัญญาณอะไรหรือไม่ อย่างไร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแสดงความ “พร้อม” ให้เป็นที่ประจักษ์อย่างเต็มปากเต็มคำต่อสาธารณชน ขณะเดียวก็ยังสามารถสยบแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทยที่ปั่นป่วนอย่างหนักหลังความพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งจนหลายคนถอดใจ ขณะที่สมาชิกพรรคและผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรคจำนวนไม่น้อยก็ยังเห็นถึงโอกาสในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีโอกาสที่ “ส้มหล่น” สูง
เฉกเช่นเดียวกับการกลับไปกลับมาของผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับการเดินทางกลับประเทศไทยที่ทำให้เสียรังวัด จนขาดความน่าเชื่อถือทางการเมืองมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะจากบรรดา “ติ่ง” ซึ่งหลายคนตีจากกลายเป็น “ด้อมส้ม” ไปเป็นที่เรียบร้อย
ถึงตรงนี้ สรุปรวมความได้ว่า ในสถานการณ์ที่ “พี่ทิม” ไปไม่ถึงฝั่งฝัน “น้องอิ๊งค์” ก็พร้อมรอรับส้มหล่น กับภารกิจสำคัญในการพา “พ่อษิณ” กลับบ้านนั่นเอง.