ไม่รู้ไปกินยาผิดขนานมารึเปล่า...หรือเป็นความจงใจที่ฟันธงกับเนื้อหานโยบายของพรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจากการเลือกตั้งมาดๆ ของไทย…ที่นายกฯ ฮุนเซน กล่าวกับคนงานเกือบ 2 หมื่นคน ซึ่งมีรายงานในนสพ.Khmer Times ฉบับวันที่ 6 มิถุนายนว่า ในวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ในการนัดพบกับคนงานจาก 19 โรงงานของเขมรมีคนงานกว่า 9,400 คนจากโรงงาน 13 แห่งในจังหวัดคานดัล; กว่า 1,500 คน จากโรงงาน 4 แห่งในจังหวัดกำปงสปือ; กว่า 6,200 คน จาก 2 โรงงานในจังหวัดกำปงฉนัง
เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการจะยกประเด็นที่ควรติดตามอย่างจริงจังเข้มข้น เกี่ยวกับคนงานของเราที่ไปทำงานอยู่ในต่างประเทศ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศอื่น แต่หวังว่าพวกเขาจะต้องพิจารณาให้ก้าวไกลกว่าเส้นเขตแดนของพวกเขา ซึ่งนสพ.ฉบับนี้เขาสรุปเอาว่า เป็นเรื่องที่นายกฯ ฮุนเซนกำลังหมายความถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั่นเอง
นสพ.ฉบับนี้รายงานว่า นายกฯ ฮุนเซนได้ชี้ประเด็นว่า นายพิธาได้นำเสนอนโยบายแรงงานซึ่งอาจเป็นอันตรายไม่เฉพาะกับคนงานจากกัมพูชา และจากลาวเท่านั้น แต่จะเป็นอันตรายต่อภาควิสาหกิจธุรกิจของประเทศไทยด้วย เพราะวิสาหกิจของไทยได้ใช้แรงงานจากกัมพูชา, ลาว และพม่า คนงานเหล่านี้ได้ถูกทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกฯ ฮุนเซน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่านโยบายของไทยอันนี้ ไม่น่าเป็นที่ยอมรับได้ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยแน่นอน”
เขายังพูดเน้น (แบบเยาะเย้ย ถากถาง) ว่า พรรค (ก้าวไกล) ที่ได้เสียงมากที่สุด ก็ไม่จำเป็นจะได้จัดตั้งรัฐบาลหรอก เพราะอาจรวบรวมเสียงได้ไม่ถึง 376 คะแนนจากรัฐสภาก็เป็นได้
เนื้อข่าวยังรายงานต่อไปว่า นายเทโฮยาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของศูนย์พันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน (CENTRAL) ได้กล่าวว่า 30-40% ของคนงาน 2 ล้านคนที่กำลังทำงานอยู่ในประเทศไทย จะต้องสูญเสียตำแหน่งงานทันที เพราะเอกสารการจ้างงานตามกฎหมายของพวกเขา จะต้องเผชิญกับการถูกปลดออกและอีกหลายคนก็ไม่มีเอกสารตามกฎหมายด้วย
นายเทโฮยา ยังอธิบายต่อว่า คนงานประมาณ 6-8 แสนคนจากกัมพูชาที่กำลังทำงานอยู่ในไทย จะสูญเสียรายได้รายเดือนประมาณ 180-240 ล้านเหรียญ (ประมาณ 5,500-7,500 ล้านบาท) ต่อเดือน ถ้านโยบายแรงงานอันใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้
นายเทโฮยายังพูดต่ออีกว่า “ผมได้ติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้น แม้ผมจะไม่ได้เห็นข้อมูลอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้จากพรรคการเมืองที่เพิ่งชนะการเลือกตั้ง”
เขาเสริมว่า ในฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด คนงานจากเขมรก็คงจะกลับมาทำงานด้านการก่อสร้างในเขมรมากกว่าในด้านอื่นๆ เพราะอุตสาหกรรมก่อสร้างของเขมรเป็นแหล่งจ้างงานใหญ่สุดของประเทศหลังการระบาดโควิด...แต่คงไม่สามารถดูดซับการจ้างงานพวกเขาได้ทั้งหมด!
โอ้โฮ ขนาดนายกฯ ฮุนเซนออกตัวว่า ไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน (คือไทย) แต่การพูดถึงนโยบายของพรรคการเมืองที่อาจกำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ในขณะที่กำลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ก็คือการแทรกแซงการเมืองภายในของไทยอย่างชัดเจนที่สุด ยิ่งขณะที่พรรคการเมืองก้าวไกลกำลังแข่งกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลด้วย!!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายกฯ ฮุนเซนตั้งใจแทรกแซงการเมืองภายในของไทย
หลายคนยังจำได้ดีถึงความสัมพันธ์ที่ดูดดื่มระหว่างนายกฯ ฮุนเซนกับนายทักษิณ ในช่วง 2010 ซึ่งค้นหาได้จากสำนักข่าวรอยเตอร์ที่รายงานวันที่ 12 มกราคมว่า นายกฯ ฮุนเซนแสดงท่าทีว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน (ไทย) ดูจะตึงเครียด และพูดด้วยว่า “อีกไม่นานก็จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลที่กรุงเทพฯ” ในยุคนายกฯ อภิสิทธิ์ของไทย ซึ่งเป็นช่วงที่นายกฯ ทักษิณได้เดินทางออกจากไทยหลบหนีคดีความด้านคอร์รัปชัน และนายกฯ ฮุนเซนได้ตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของฮุนเซน และยินดีให้พักพิงลี้ภัยในเขมร (ทั้งๆ ที่มีหมายจับจากศาลไทยแล้ว!!)
แล้วยังมีรูปภาพชื่นมื่นของงานแต่งงานระหว่างคนในครอบครัวของทักษิณและฮุนเซน เป็นทองแผ่นเดียวกันทั้งสองตระกูล
และในรัฐบาลของนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ที่นายกฯ ฮุนเซนได้พูดอย่างขึงขังว่า เขมรจะได้ดินแดนเขาพระวิหารคืนมาทั้งหมด และนายกฯ สมัครได้ออกมาอธิบายว่า อย่าไปให้น้ำหนักกับคำพูดของฮุนเซน เพราะเป็นการพูดช่วงก่อนการเลือกตั้งที่เขมรเท่านั้นเอง!!
นี่ก็ใกล้จะเลือกตั้งของกัมพูชาแล้ว นิยายเก่าของฮุนเซนก็กลับมาเล่นบทหาเสียงกับคนงานกัมพูชาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เป็นการ “กุ” เรื่องขึ้นมาโกหกกลางวันแสกๆ
อีกด้านหนึ่งก็อาจมองได้ว่า นายกฯ ฮุนเซน กำลังเล่นบทหมากล้อมของจีน เพื่อโอบล้อมการพยายามปักหลักอีกครั้งของสหรัฐฯ ที่อาจกำลังปักธงในไทย ตามแผนใหญ่อินโด-แปซิฟิกก็เป็นได้เช่นกัน ถึงขนาดยอมอีกครั้งที่จะส่งเสียงโหวกเหวกเข้าแทรกแซงการเมืองภายในของไทยอย่างไม่แคร์อะไรทั้งหมด เพียงเพื่อทำตามสคริปต์ที่อาจเขียนขึ้นจากจีนก็เป็นได้
การเป็นผู้นำที่ยาวนานที่สุดในอาเซียน และจะมีรากงอกออกยาวในเก้าอี้จนอายุ 90 ปี โดยได้ตั้งทายาทไว้สืบต่ออำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่มีฝ่ายค้านย่อมมีลูกเล่นลูกชนของอำนาจเผด็จการอย่างหาตัวจับได้ยาก จึงได้เห็นฤทธิ์เดชการจงใจมากล่าวเท็จต่อชาวโลกในครั้งนี้อย่างไม่อายฟ้าดิน!