ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สวมหมวก “ว่าที่นายกฯ” จัดอีเว้นท์ถี่ยิบทีเดียว สำหรับ “พ่อส้ม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้รับฉันทามติ 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล 313 เสียง ส.ส.สนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
ทั้งอีเวนท์การเมืองกับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ที่ทำท่าจะจัดกันทุกสัปดาห์ โดยครั้งที่ผ่านมานัดหมายเมื่อวันที่ 30 พ.ค.66 ซึ่งพรรคประชาชาติรับเป็นเจ้าภาพ ตรงกับ “วันอังคาร” วันเดียวกับการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยปกติ จนถูกแซวว่า เป็นการ “ซ้อม” ประชุมวันอังคารหรือเปล่า รวมไปถึงการพบปะภาคเอกชน-ภาคท้องถิ่นต่อเนื่อง
โดยบทสรุปของการพบปะหารือของ 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลในวันนั้น “เสี่ยทิม” ถึงขั้นมาป่าวประกาศว่าเป็น “ข่าวดีความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล” โดยโพสต์ถึงการตั้งตั้ง “คณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ที่ตัวเองเป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทน 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล
ได้แก่ ศิริกัญญา ตันสกุล - เผ่าภูมิ โรจนสกุล - ทวี สอดส่อง - อนุดิษฐ์ นาครทรรพ - วิรัตน์ วรศสิริน - กัณวีร์ สืบแสง - วสวรรธน์ พวงพรศรี - เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ
พร้อมการตั้งคณะทำงานอีก 7 คณะ เพื่อเตรียมการทำงานตอบสนองปัญหาของประชาชนด้านต่างๆ อาทิ คณะทำงานด้านค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซล และราคาพลังงาน, ด้านภัยแล้ง เอลนีโญ , ด้านการแก้ไขรธน. และด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เป็นต้น
โดยระบุว่า เป็นการตั้งคณะทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าไปทำหน้าที่รัฐบาล รวมถึงในสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ดี ไม่มีการพูดถึงการจัดสรรโควตารัฐมนตรี และตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ ซึ่งก่อนหน้าการประชุม “โกต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมาแพลมๆ ว่า เริ่มมีการพูดคุยกันบ้างแล้ว
รวมไปถึงประเด็น “ประมุขนิติบัญญัติ” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน โดยตัดจบเพียงว่าขอเป็นการพูดคุยระหว่าง “ก้าวไกล-เพื่อไทย” แค่ 2 พรรคเป็นการภายใน
จนดูเหมือนเป็นการนัดหมาย “แสดงตัว” ว่ายังอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ได้มี “ดีลลับ” ที่ไหน และหลังการประชุมก็ถือโอกาสไปสังสรรค์ฉลองชัยเลือกตั้งกันต่อเท่านั้น
ใครติดตามการหารือวันนั้นก็ได้แต่ ร้องว้าาา… ด้วยความเสียดาย เพราะคิดว่าจะมีความคืบหน้าอะไรมากกกว่านี้
ไฮไลท์คงอยู่ที่การโชว์ซีนชื่นมื่นกันระหว่าง “ว่าที่นายกฯ ทิม” กับ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ทั้งสวมกอด พร้อมประสานมือเป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจ ให้สื่อมวลชนถ่ายภาพภายหลังการแถลงข่าว
และเป็น “หมอชลน่าน” ที่ประกาศยืนยันความสัมพันธ์ระหว่าง “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ว่า ในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย ได้รับมอบอาณัติจากประชาชนมอบหมายให้พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ที่รวมกันกว่า 25 ล้านเสียง เพราะฉะนั้นมีเจตจำนงของประชาชนเช่นนี้ ทำให้ทั้ง 2 พรรคปฏิเสธไม่ได้ที่จะทำความฝันของประชาชนให้บรรลุ คือรัฐบาลจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ที่ต้องการปิดกั้นอำนาจไม่ชอบธรรมทั้งหลาย
“2 พรรคเห็นตรงกัน เป็นการมัดที่แน่น เป็นข้อผูกมัดที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ให้ความมั่นใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอด เพื่อตั้งรัฐบาลของพี่น้องประชาชนให้ได้” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่าไว้
ทั้งที่ในประเด็นเดียวกันนี้เคยถูก “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย ยิงคำถามกลางวงสื่อมวลชนในวันลงนามเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาลว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย จะทำ “แอดวาดซ์เอ็มโอยู” ว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านก็จะอยู่ด้วยกัน ซึ่งทำให้ “หมอชลน่าน” ไม่พอใจ และไม่ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนมาแถลงตำหนิ “ศิธา” ว่า เสียมารยาทที่ถามเช่นนั้น และบ่นพรึมกับน้องๆ สื่อในวันหลังว่า “ชกได้ผมชกแล้ว” ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เข้าใจได้ว่า เป็นลีลาทางการเมืองของ “หมอชลน่าน” ที่รู้ตัวว่าสวมหมวกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จึงเลี่ยงประกาศจุดยืนที่สุ่มเสี่ยงกลางที่สาธารณะ เพราะหาก “บิดพลิ้ว” ก็เท่ากับเสียคน
แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า เหตุใด “หมอชลน่าน” ถึงมาประกาศว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันตลอด” หลังวงหารือรอบล่าสุด
ว่ากันเป็นการร้องขอจาก “ค่ายสีส้ม” เพื่อให้ “ค่ายสีแดง” แสดงความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การเจรจาตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ ราบรื่น โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญอย่าง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ดูเหมือนพรรคก้าวไกลจะลดโทนลงมาพอสมควร หลังก่อนหน้าแยกเขี้ยวขู่ฟ่อว่า เก้าอี้ประธานสภาฯต้องเป็นของพรรคอันดับ 1 เท่านั้น
ท่าทีที่อ่อนลงของ พรรคก้าวไกล โดยเฉพาะตัว “ว่าที่นายกฯ ทิม” ก่อนจะมีซีนหวานๆกับ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” นั้น ก็เป็นความพยายามทำให้การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลเดินต่อไปได้ ท่ามกลางกระแสข่าว “ดีลลับ” การรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลของ “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” ขึ้นมาแข่ง พร้อมกับมีการเชื่อมโยงถึง “ค่ายเพื่อไทย” ว่า อาจมีเอี่ยวด้วย
หรืออย่างก่อนหน้านั้นที่ “หมอชลน่าน” ที่ตีหน้ายักษ์ออกมาคำรามว่า อาจพิจารณา “ถอนตัว” หากไม่เห็นความสำคัญของ 141 เสียงของพรรคเพื่อไทย จากกรณีพิพาทกับ “ผู้พันปุ่น”
ต่อมาก็คงไม่บังเอิญที่มี “คนเสื้อแดง” เฮโลกันมาที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย พร้อมยื่นหนังสือเสนอให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกจากการจัดตั้งรัฐบาล และหาก พรรคก้าวไกลจัดตั้งไม่สำเร็จ ก็ให้ถือสิทธิ์พรรคอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาลเอง ซึ่ง “ว่าที่นายกฯทิม” ได้ยินก็คงสะดุ้งไม่น้อย กระทั่งปรับโทนการแย่งชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ ด้วยการระบุว่า เรื่องนี้จะมีการพูดคุยกันระหว่าง “ก้าวไกล-เพื่อไทย” แค่ 2 พรรคเท่านั้น
ด้วย “พิธา” เองคงรู้ตัวว่า ด้วยยี่ห้อพรรคก้าวไกลสามารถ “เล่นได้หน้าเดียว” ไม่สามารถพลิกแพลงไปแผน 2 แผน 3 ได้ หากไม่มี “ค่ายดูไบ” กับ 141 เสียงให้การสนับสนุนแล้ว ก็คงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่แม้จะประกาศจุดยืนในเชิงเดียวกับพรรคก้าวไกลที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ “เผด็จการทหาร” อันหมายรวมถึง พรรค 2 ลุง “พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันทั้งหลาย แต่ด้วยความเป็น “นักการเมืองมืออาชีพ” ก็มีรูให้พลิ้ว มีเหลี่ยมให้ออกได้มากกว่า
สมการ “รัฐบาลก้าวไกล” ก็มีได้แค่ 8 พรรคการเมืองที่จับมือกันตอนนี้ นอกเหนือจากนี้แทบไม่สามารถคบค้าสมาคมพรรคไหนได้ กระทั่งมีข่าวว่า “ค่ายโคราช” พรรคชาติพัฒนากล้า จะนำ 2 เสียงมาเติมให้ ก็ยังถูกต่อต้านอย่างหนัก เพียงเพราะ “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เคยร่วมการชุมนุม กปปส.
ผิดกับสมการ “พรรคเพื่อไทย” จะยืดหยุ่นได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ” หรือ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่มองหน้ากันก็ “กากี่นั้ง” คนกันเอง เคยร่วมงานกันมาทั้งนั้น
หรือแม้แต่ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จุดยืนคนละทาง กระทั่งคู่กัดตลอดกาล “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้หลายคนก็เชื่อว่า หากจำเป็นจริงๆ ก็สามารถร่วม “รัฐบาลเพื่อไทย” ได้
ท่ามกลางกระแสข่าว “ดีลลับฮ่องกง” ที่ระบุว่า “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร บินมาปักหลักพบปะหลายสิบคณะเพื่อหารือทางการเมือง หลังการเลือกตั้ง แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่า ช่วงนั้นอยู่ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็มา แต่มีการยืนยันว่า “ทักษิณ” แวะไปโซ้ยโจ๊กฮ่องกงจริง
ก่อนจะโฉบมาที่ประเทศสิงคโปร์ ตามนัดหมายแพืย์ตามปกติ ที่เชื่อกันว่า มีอีกหลายคณะไปพบปะเพื่อหารือถึงสถานการณ์การเมืองไทย
ข้ามทวีปไปถึง “ดีลเลิฟลอนดอน” ที่ปรากฎภาพ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไปร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลของ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ประเทศอังกฤษ บังเอิญมี “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ไปร่วมรับชมในแมตซ์เดียวกันด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปพบ “พ่อษิณ” ที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ชวนวงประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ทำมือสัญลักษณ์รูปหัวใจ พร้อมถ่ายภาพโพสต์ลงสังคมออนไลน์ ไล่เลียงที่ “เสี่ยหนู” โพสต์ภาพถ่ายรูปกับหวานใจที่ต่างประเทศลงสังคมออนไลน์เช่นกัน
และทั้ง “มาดามอิ๊งค์-เสี่ยหนู” ดันแคปชันเดียวกันว่า “ดีลเลิฟ” เสียด้วย
ทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ดีลลับ-ดีลเลิฟ” ว่า อาจมีการเจรจากันถึงโอกาสการจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเสียงสนับสนุนในรัฐสภาไม่พอ หรือวิบากกรรมส่วนตัวของ “ว่าที่นายกฯ ทิม” ที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียวของพรรค
จนเกิดกระแส “แกงส้ม” ที่เรียกว่าปั่นประสาท “ค่ายก้าวไกล” ไม่เว้นแต่ละวัน ส่วน “หมอชลน่าน” ก็ต้องนำพรรคเพื่อไทยเล่นบท “สุภาพบุรุษประชาธิปไตย” ไปพลาง
เพราะทำท่าว่าเส้นทางสู้เก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ของ “เสี่ยทิม” จะสาหัสสากรรจ์กว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นความหวาดระแวงภายในว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ พรรคเพื่อไทย ที่จับจองสิทธิ์ “ไม้สอง” รอฟอร์มรัฐบาลอยู่ หาก “ค่ายสีส้ม” ทำไม่สำเร็จ
โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนที่ขณะนี้ยังไม่ถึง 376 เสียง กึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา ต้องไปอาศัยจมูก “พรรค ส.ว.” หายใจ โดยต้องหวังให้มี ส.ว. 60-70 เสียงลงมติสนับสนุน “พิธา” เป็นนายกฯ ซึ่งล่าสุดคาดว่า จะมี ส.ว.ชูมือให้ไม่ถึง 10 คน จากที่คุยโขมงว่า ล็อบบี้ได้แล้วไม่ต่ำกว่า 20 ราย
ยิ่งไปกว่านั้น “ว่าที่นายกฯ ทิม” เองก็ยังมี “ชนักส่วนตัว” เรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มขยับเรียกข้อมูลจากผู้ร้อง โดยในวงการว่ากันว่า “รอดยาก” แถมอาจหนักกว่าสมัย “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดนเรื่องถือหุ้นสื่อเสียอีก เพราะถึงขั้นอาจ “ร่วงยกค่าย” ฐาน “เสี่ยทิม” รับรองผู้สมัคร ส.ส.ทั้งพรรค
ตามที่ “คัมภีร์กฎหมายเมืองไทย” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาแจกแจงไว้ถึง “กรณีเลวร้ายที่สุด” ที่ต้องอาจมีการเลือกตั้งซ่อมทั้งประเทศเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับคำร้องของผู้ร้องว่าให้ กกต. และศาลรับธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติส่วนไหนของ “เสี่ยทิม” บ้าง
แน่นอนว่า “พิธา” และคนพรรคก้าวไกล ดูออกจะมั่นใจว่า สามารถชี้แจงได้ ทั้งที่มาที่ไปของหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 4.2 หมื่นหุ้น ที่ตกมาอยู่ในชื่อ “พิธา” เพราะเป็นผู้จัดการมรดก หรือสถานะการดำเนินงานของ ITV ที่อาจมองว่า ไม่ได้ดำเนินกิจการสื่อสารมวลชนแล้ว
ที่น่าสนใจไม่น้อย ที่ “เสี่ยทิม” ต้องมาเชิญวิบากกรรมเรื่องการถือหุ้นสื่อ ทั้งที่เคยมีบทเรียนจากกรณี “เสี่ยเอก-ธนาธร” สมัยพรรคอนาคตใหม่มาแล้ว
สิ่งที่คล้ายคลึงกันคือทั้ง “ธนาธร-พิธา” ต่างถูกร้องให้ตรวจสอบการถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นคุณสมบัติต้องห้ามของ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ที่ห้ามผู้เป็น ส.ส.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ หรือไม่ ในช่วงไล่เลี่ยกับการเลือกตั้ง
โดย “ธนาธร” ถูกยื่นกรณีถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่แม้จะเลิกกิจการแล้ว แต่ก็มีการระบุวัตถุประสงค์ในการยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน เมื่อพิจารณาจากงบการเงินของบริษัท พบว่ามีรายได้จากการขายนิตยสาร ให้บริการโฆษณาถือเป็นการประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน และยังคงประกอบกิจการอยู่ ไม่มีการจดทะเบียนยกเลิกบริษัท หรือเสร็จการชำระบัญชี
ทำให้ กกต. มีมติเอกฉันท์ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของ “ธนาธร” ให้สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสี่ และศาลสั่งให้ “ธนาธร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนจะมีเข้าร่วมพิธีปฏิญาตนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก
ซึ่งหากจำกันได้หลังจากปฏิญาณตนเสร็จสิ้น “ปู่ชัย” ชัย ชิดชอบ ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมขณะนั้น ได้เชิญให้ “ธนาธร” ออกจากที่ประชุมสภาฯ โดยที่ “ธนาธร” ได้ยกมือขอกล่าวกับที่ประชุมว่า ยอมรับและพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งศาล ก่อนเดินออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือของ ส.ส.พรรคที่สนับสนุน “ธนาธร”
ในระหว่างที่ศาลยังพิจารณาคดี “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อไม่แล้วเสร็จ “ธนาธร” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอนาคตใหม่ขณะนั้น ที่เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาฯ ไม่ได้ ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต่อที่ประชุมรัฐสภาแข่งกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ก็แพ้ไปอย่างขาดลอย
ไม่นานหลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสินให้ “ธนาธร” สิ้นสภาพ ส.ส. จากการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด โดยพบว่า สำเนาบัญชีผู้ถือหุ้น (บอจ.5) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังปรากฏชื่อ “ธนาธร” เป็นผู้ถือหุ้น จนถึงวันที่ 21 มี.ค.62 หลังการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 4-8 ก.พ.2562 เท่ากับว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ “ธนาธร” ยื่นใบสมัครลงรับเลือกตั้งยังถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด อยู่ จึงเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ
การที่ “พิธา” ต้องมาถูกร้องเรื่องถือหุ้นสื่อ ก็ต้องโทษตัวเขาเองว่า เรื่องแค่นี้ยังพลาดได้ นับประสาอะไรกับการมาบริหารประเทศ
แต่ก็ต้องมีคำถามไปถึง “ทีมกฎหมาย พรรคก้าวไกล” ที่ก็น่าจะยกมาจาก “ทีมกฎหมาย พรรคอนาคตใหม่” ว่าเหตุใดถึง “ดูเบา” ปล่อยให้แคนดิเดตนายกฯ คนเดียวของพรรคต้องมาเผชิญวิบากกรรมซ้ำรอย “ธนาธร” เช่นนี้ เพราะถือเป็นความสุ่มเสี่ยงที่จำเป็นต้องกำจัดเพื่อ SAVEพิธาในฐานะแคนดิเดตนายกฯ เพียงหนึ่งเดียวของพรรค
ถามต่อว่า “ทีมกฎหมาย พรรคก้าวไกล” ขณะนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร จะเป็น “พิธา” ที่เป็นหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน หรือจะเป็น “ธนาธร” ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง หรือจะเป็น “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่มีดีกรีเป็นรองศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน กันแน่
ก็ต้องมาพิเคราะห์ดูว่า เป็นความผิดพลาดเพราะ “เลิ่นเล่อ” หรือมีรายการ “วางยา” กันเอง!?
ตามกระแสข่าวที่ว่า ไม่เพียงแต่ “กองแช่ง” เท่านั้นที่ไม่อยากให้พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ยังมี “คนกันเอง” บางกลุ่มที่ลุ้นให้ดีลตั้งรัฐบาลล้มเหลว และ พรรคก้าวไกลไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เข้มแข็งเช่นสมัยที่้ผ่านมา แลกกับคะแนนนิยมที่พุ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
เพราะหากพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือขั้วอำนาจปัจจุบัน คว้าชิ้นปลามันไปรับประทาน “ค่ายสีส้ม” ก็มีสิทธิ์ร้องแรกแหกกระเฌอว่า ถูก “อำนาจพิเศษ” กลั่นแกล้ง พร้อมๆ กับยอมไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างแข็งขันเหมือนสมัยที่ผ่านมา
เชื่อแน่ว่าหากเข้าล็อกนี้งวดหน้าเป้าหมายของค่ายสีส้มคงต้องทวีคูณไปจาก 150 ที่นั่งในครั้งนี้อย่างแน่นอน อาจเกิดปรากฎการณ์ “แลนด์สไลด์สีส้ม” ทั้งประเทศก็เป็นได้
ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “บิ๊กสีส้มตัวจริง” ยังไม่อยากให้ “ค่ายสีส้ม” เป็นรัฐบาลรอบนี้ ตามแผนเดิมสมัยตั้งพรรคอนาคตใหม่ที่ว่า ต้องผ่านการเลือกตั้งอย่างน้อย 3 ครั้ง ถึงจะมีโอกาสเข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ
อีกทั้งยังมี “คนนอกเกม” ไม่อยากเห็น “พิธา” ที่วันนี้ป๊อปปูลาร์เป็น “พ่อส้ม” กลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรค ไม่ยิ่งหย่อนไปจากสมัย “ธนาธร” เป็น “พ่อฟ้า” ได้ขึ้นเป็นนายกฯ เพราะรู้ดีว่า “พิธา” เป็นคนที่ “เล่นเป็น” อีกทั้งยังมี “เสน่ห์” ทางการเมือง
สังเกตได้จากบุคลิกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นการพูด การยิ้มหรือการโบกมือ ที่ออกสื่อหลังชนะการเลือกตั้ง ถูกเปรียบว่าไม่ต่างจาก “บารัค โอบามา” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เลยทีเดียว
ขืนปล่อยให้ “พิธา” ได้ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย หลังจากที่คนเบื่อหน่ายกับรัฐบาล 8-9 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่า “เสี่ยทิม” จะได้สร้างคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น และเลี้ยงกระแสไปถึงการเลือกตั้งรอบหน้าได้ไม่ยาก
ตรงนี้อาจเป็นที่ไปที่มาของวิบากกรรมที่ “ว่าที่นายกฯ ทิม” กำลังเผชิญอยู่ก็เป็นได้ เพราะเรื่องหุ้นสื่อ ITV ที่มูลค่าไม่มากมาย น่าจะเคลียร์คัทตัดจบได้ตั้งแต่ “ทีมกฎหมายพรรค” กรองเอกสารสมัคร ส.ส.ด้วยซ้ำ
จนมีการพูดกันว่า “ดีลลับ-ดีลเลิฟ” ของพรรคอื่น อาจเทียบไม่ติดกับข้อสงสัยเรื่อง “แผนซ้อนแผน” ของ “คนกันเอง”
สกัด “พ่อส้ม-พิธา” ให้หัวทิ่ม แล้วรอให้กระแส “ส้มฟีเวอร์” สูงสุด ในวันที่ “บางคน” ได้กลับสู่เกมดีกว่า
เหล่านี้เป็นคำถามตัวโตๆ ที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ด้วยมีแง่มุมที่ชวนให้ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ในทุกมิติเลยทีเดียว