ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รู้กันมานมนานเล่าขานกันไม่รู้บสำหรับส่วยทางหลวง มารอบนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เล่นบท “อุกกาบาต” พุ่งชนปัญหา ทำเอาสั่นสะเทือนทั้งวงการ ล่าสุดมีคำสั่งเด้งผู้บังคับการทางหลวงเป็นแพะเซ่นสังเวยไปแล้ว
ประเด็น “Easy Pass” พิสดาร ติดหราบนรถบรรทุกผ่านฉลุยทุกด่าน ซึ่งนายวิโรจน์ แฉผ่านการโพสต์เฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมโชว์รูปสติกเกอร์การ์ตูนพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งสีฟ้า-ขาว พร้อมขยายความต่อมาว่า “…มีองค์กรลึกลับไปไล่เคลียร์ แล้วเหมาจ่ายไปก่อน จากนั้นก็จะผลิตสติ๊กเกอร์ Easy Pass พิสดาร (ที่ไม่เกี่ยวกับการทางพิเศษ) ออกมา นำมาจำหน่ายให้กับรถบรรทุกต่างๆ ในราคาหลักพันบาทต่อเดือน ตามระยะทาง และจำนวนด่าน อย่างเช่น สติ๊กเกอร์ Easy Pass รุ่นกระต่ายน้อยคอยรัก แบบนี้ดวงละ ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือนครับ”
“...ยังมีสติ๊กเกอร์รุ่น ‘เรารักประเทศไทย’ ที่วิ่งได้เฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สนนราคาค่าธรรมเนียมนี่สูงถึง 25,000 บาทต่อเดือนต่อคัน ติดปุ๊บสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 70-100 ตันทันที…” “…. สติ๊กเกอร์ Easy Pass พิสดารมีหลายรุ่นแบบนี้ ไม่มีกลไกอิเล็กทรอนิกส์อะไร ใช้แค่ตาสังเกต เห็นปุ๊บ เป็นอันว่ารู้กัน ไม่ต้องเลิ่กลั่ก แต่รับรองผ่านฉลุย ลุยไม่ยั้ง ไม่ต้องชั่งให้เสียเวลา”
ต่อมา นายวิโรจน์ยังตามอัพเดท “มีการสั่งแกะสติ๊กเกอร์รุ่น #กระต่ายน้อยคอยรักแล้วนะครับ แกะให้หมดทุกรุ่นไปเลยครับ ทั้งตะวันยิ้มแฉ่ง ไจแอ้นท์ กังฟูแพนด้า ฯลฯ ... รุ่น #เรารักประเทศไทย ที่เขาว่าขลังที่สุดตอนนี้ก็น่าจะสิ้นมนต์ขลังแล้วนะครับ เห็นลอกออกกันหมดแล้ว…
ส่วยทางหลวงหมื่นล้าน ฉิบหายกันทั้งระบบ
นายวิโรจน์ เดินหน้าแฉ “ต้นตอส่วยทางหลวง วงจรส่วยก็ต้องปราบ กฎหมายก็ต้องทบทวน” โดยให้ภาพรวมถึงประเด็นปัญหาส่วยทางหลวง ว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาใหญ่มีมานานหลายสิบปี มูลค่าการทุจริตคอร์รัปชันสูงในระดับหมื่นล้านบาทและกระทบกับประชาชนทั้งประเทศ เพราะเมื่อผู้ประกอบการต้องจ่ายส่วยทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแม้จะบรรทุกสินค้าได้เพิ่มขึ้นบ้าง อีกทั้งเมื่อเจอกับการแข่งขันที่ต้องตัดราคากันเอง ยิ่งทำให้กำไรลดลงมาก ท้ายที่สุดจึงผลักต้นทุนจากการจ่ายส่วยไปยังค่าขนส่ง เมื่อค่าขนส่งเพิ่ม สินค้าอุปโภคบริโภคก็ต้องปรับราคาขึ้น กระทบผู้บริโภคที่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นตาม
นอกจากนั้น รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้ถนนหนทางชำรุดเสียหาย เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ และยังสิ้นเปลืองงบประมาณในการซ่อมบำรุงรักษาถนน
เขาเล่าถึงต้นเหตุของปัญหาส่วยทางหลวง จุดเริ่มต้นอยู่ที่ข้าราชการของกรมทางหลวงบางคน ตำรวจท้องที่ และตำรวจทางหลวงบางนาย อาศัยช่องว่างทางกฎหมายไปรังควานผู้ประกอบกิจการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจควันดำ ตรวจเสียง การตั้งด่านตราชั่งลอยเพื่อชั่งน้ำหนัก การเดินตรวจรอบรถแบบจุกจิกเพื่อหาเรื่องปรับ การเรียกตรวจพนักงานขับรถ ทำให้ผู้ประกอบการขนส่งเสียเวลาทำมาหากิน จากวันหนึ่งวิ่งได้ 2-3 เที่ยว อาจเหลือแค่ 1 เที่ยวเท่านั้น
“พฤติกรรมรังควานแบบนี้ เป็นเหตุให้เกิดขาใหญ่ ซึ่งอาจเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ทำหน้าที่เป็นโต้โผเอาส่วยแบบเหมาจ่ายไปเคลียร์กับข้าราชการบางคน ตำรวจบางนาย แล้วมาผลิตสติ๊กเกอร์ขายให้กับผู้ประกอบกิจการขนส่งรายอื่นๆ พอเจ้าหน้าที่เห็นสติ๊กเกอร์ ก็เป็นอันรู้กัน .... ตราชั่งก็ไม่ต้องชั่ง บรรทุกหนักแค่ไหนก็ผ่านฉลุย ในระยะหลังถึงกับกล้าเอารถบรรทุกไปใช้ขนของผิดกฎหมาย ขนแรงงานต่างชาติหลบหนีเข้าเมือง ตำรวจที่ดีได้แต่ท้อใจ ถ้าเผลอไปเรียกตรวจ ก็อาจเจอผู้บังคับบัญชาหรือมาเฟียขาใหญ่โทรมาข่มขู่” นายวิโรจน์ บอกเล่า
เขายังให้รายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า สติ๊กเกอร์แต่ละดวงมีมูลค่าแตกต่างกัน ตั้งแต่ 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะทางและจำนวนด่าน บางพื้นที่อาจแพงถึงหลักหมื่น จำนวนรถบรรทุกในประเทศไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 1.4 ล้านคัน ถ้ามีรถบรรทุก 300,000 คัน ต้องเสียเงินซื้อสติ๊กเกอร์เดือนละ 3,000-5,000 บาท เท่ากับคิดเป็น 900-1,500 ล้านบาทต่อเดือน ในปีหนึ่งมูลค่าส่วยทางหลวงอาจสูงถึง 20,000 ล้านบาท เมื่อดูข้อมูลเรื่องทุจริตที่ร้องเรียนมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในแต่ละปี รวมกันเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท เฉพาะส่วยทางหลวง ราว 10% แล้ว
ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ฟันธงว่า เรื่องส่วยทางหลวง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีหรือไม่ เพราะคำตอบคือมีแน่และมีมานาน ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากข้าราชการระดับบังคับบัญชา ย่อมไม่ใช่คำตอบที่บอกว่าไม่รู้หรือการปฏิเสธ ซึ่งเป็นคำตอบที่ประชาชนอาจหัวเราะเยาะหรือกังขาว่ามีส่วนพัวพันกับส่วยทางหลวงหรือไม่ และอีกคำตอบที่ยอมรับไม่ได้คือจะตั้งคณะกรรมการสอบแบบแก้เกี้ยว เตะถ่วงให้เรื่องเงียบ ก่อนจะบอกประชาชนใครมีหลักฐานให้แจ้งมา ถ้ารู้อยู่แก่ใจว่ามีขยะในบ้านตัวเองทำไมถึงไม่ยอมเก็บกวด
สำหรับการแก้ปัญหาส่วยทางหลวง นายวิโรจน์ เสนอแนะว่า ต้องทำควบคู่กันสองด้าน แรกสุด คือการปราบปรามวงจรการส่งส่วยให้สิ้นซาก หากหลักฐานสาวถึงข้าราชการคนใด ต้องส่ง ป.ป.ช. เอาเรื่องให้ถึงที่สุด และใช้กลไกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ยึดทรัพย์ และอีกด้านคือการทบทวนกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เปิดช่องว่างให้ข้าราชการบางคนใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน รีดไถหรือเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน
เช่น กรณีน้ำหนักบรรทุกของรถพ่วง แต่เดิมกำหนดไว้ที่ 52-58 ตัน ต่อมา คสช. ปรับลดลงเหลือไม่เกิน 50.5 ตัน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 มีข้อสงสัยว่าการปรับลดลงมาเพื่อบีบให้ผู้ประกอบการทำผิดกฎหมายโดยปริยายและต้องยอมจ่ายส่วยหรือไม่
ทั้งนี้ ตามหลักการวิศวกรรมสากล การป้องกันไม่ให้ถนนชำรุดจากน้ำหนักบรรทุก โดยทั่วไปจะไม่นำน้ำหนักบรรทุกรวมมากำหนดเป็นเกณฑ์ แต่จะนำน้ำหนักบรรทุกเฉลี่ยต่อล้อมาใช้เป็นเกณฑ์แทน ถ้าน้ำหนักบรรทุกมากจำนวนล้อที่มาเฉลี่ยรับน้ำหนักก็ควรต้องมากตาม เรื่องนี้สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมโยธา ก็สามารถทบทวนแก้ไขระเบียบให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมสากลได้ แต่หากถนนยังชำรุดอีก ต้องตรวจสอบต่อว่าการก่อสร้างเป็นไปตามสเปกหรือไม่ ดังนั้น ไม่ว่าต้นเหตุของปัญหานี้คืออะไร ตำรวจไม่สามารถใช้เป็นเหตุรีดไถหรือเก็บส่วย
การออกมาเปิดประเด็นเรื่องส่วยทางหลวงคราวนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แบ็คอัพเต็มที่ “...ประเทศไทยเราเสียโอกาสพัฒนากันมาเท่าไหร่แล้วกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน? หลังจากนี้ เตรียมพบกับ ส.ส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นดาวรุ่ง ดาวฤกษ์ ดาวอะไรก็แล้วแต่ แต่ผมเห็นว่าเป็น ‘อุกกาบาต’ มาทลายระบบส่วยให้หมดไปจากประเทศไทย”
กำจัดเชื้อชั่วไม่ยอมตาย เห็นแสงรำไร
เรื่องส่วยรถบรรทุกเป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นมานาน แต่ความใหม่ในการไล่บี้ครั้งนี้อยู่ตรงที่พรรคก้าวไกล ทำงานเชิงรุกเก็บข้อมูลทำการบ้านล่วงหน้า ดังที่ นายอภิชาต ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เล่าว่า ผู้บริหารพรรคก้าวไกลได้มารับข้อมูลปัญหาที่สหพันธ์ฯ ก่อนเลือกตั้งประมาณ 3-4 เดือน และเมื่อหลังเลือกตั้งเสร็จก็เดินหน้าหาทางแก้ไข จึงเป็นเหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน สหพันธ์ฯ เอาข้อมูลไปให้เพิ่มเติม เช่น ที่มาของสติ๊กเกอร์กว่า 50-60 แบบ คลิปเสียง คลิปวีดีโอที่มีการแอบถ่ายเอาไว้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
ประธานสหพันธ์การขนส่งฯ ระบุว่า ปัญหาส่วยสติกเกอร์ มีการกระทำผิดเช่นนี้มามากกว่า 20 ปีแล้ว เรารับรู้และสู้มาตลอด แต่ยุค คสช.จนถึงขณะนี้มีความรุนแรงที่สุด มีการจ่ายส่วยรายเดือนๆ ละ 25,000-27,000 จะสามารถบรรทุกน้ำหนักเกินได้แบบไม่จำกัด เช่น รถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 50.5 ตัน หรือ 50,500 กิโลกรัม ก็จะมีการบรรทุกมากเป็น 2 เท่า หรือกว่า 100 ตัน ปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับการบรรทุกน้ำหนักเกิน ส่งผลให้โครงข่ายถนนและสะพานเกิดชำรุดพังเสียหายก่อนถึงอายุการใช้งาน รวมทั้งเกิดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน ภาครัฐต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงถนนทั่วประเทศปีละหมื่นล้านบาท และเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน
ปัจจุบันพบว่ามีรถบรรทุกที่จ่ายค่าสติ๊กเกอร์อยู่ประมาณ 150,000-200,000 คัน จากจำนวนรถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ประมาณ 1,500,000 คัน ซึ่งในจำนวนที่จ่ายสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกเฉลี่ยต่อเดือนมีมูลค่านับพันล้านบาท สหพันธ์ขนส่งฯ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง
ขณะที่สหพันธ์ฯ มีสมาชิกกว่า 4 แสนคัน มีการทำเอ็มโอยูว่าจะไม่ทำผิดกฎหมาย จึงถูกเอาเปรียบจากผู้ที่จ่ายส่วย เพราะต้นทุนการขนส่งถูกกว่าเกือบครึ่ง หากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้ประกอบการที่ทำถูกกฎหมายจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ หากไม่เลิกกิจการก็ต้องร่วมจ่ายส่วยเพื่อความอยู่รอด
สำหรับรูปแบบของการเก็บส่วย นายอภิชาต เล่าว่าจะมีตัวกลางทำหน้าที่เก็บเงินจากผู้ประกอบการ ไปเคลียร์เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนเองมีหลักฐานทั้งรายชื่อบริษัทและเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่สามารถเปิดเผยผ่านสื่อได้หวั่นถูกฟ้องร้อง ขณะที่สติกเกอร์จะมีหลากหลายรูปแบบ เช่น กระต่าย นก พระอาทิตย์ ซึ่งจะเปลี่ยนทุกเดือน เพื่ออัพเดตว่ารถคันนี้จ่ายส่วยแล้วหรือไม่ สำหรับวิธีสังเกตรถที่จ่ายส่วยแล้วจะวิ่งเลนขวา ไม่ถูกตำรวจเรียกตรวจ
นายวิชัย สว่างขจร นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน บอกว่า สติ๊กเกอร์ Easy Pass พิสดารแบบนี้ มีมานานแล้ว เป็นวงจรการทำมาหากินของขบวนการที่มีขนาดใหญ่มาก มีผู้ร่วมตั้งแต่ระดับนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการระดับกลาง และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ โดยกลุ่มรถบรรทุกที่ใช้บริการสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่บรรทุกน้ำหนักเกิน เนื่องจากการแข่งขันขนส่งสินค้าใครทำราคาถูกกว่าก็จะมีลูกค้ามากขึ้น
ก่อนหน้านั้นสมาคมรถขนส่งสินค้าแต่ละภาคยังแยกกันอยู่ แต่เมื่อสมาคมรถขนส่งสินค้าต่างๆ ทั่วประเทศ 10 องค์กร จับมือรวมกันเป็นสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย จึงแชร์ข้อมูลกันและพบว่าสติ๊กเกอร์เหล่านี้มีหลากหลายมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ นายวิชัย สะท้อนให้เห็นว่าขบวนการนี้ใหญ่โตมาก ต้องมีผู้ใหญ่ระดับชาติอยู่เบื้องหลัง และทำเป็นขบวนการจนถึงระดับนายตำรวจระดับล่างๆ ซึ่งหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะช่วยกวาดล้าง
ส่วนเส้นทางสายเหนือ นายศิริชัย ศรีเจริญศิลป์ นายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เล่าว่า ส่วยสติ๊กเกอร์เป็นเรื่องจริงที่มีมาอย่างยาวนาน สมาคมฯพยายามบอกกล่าวกับหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควรจึงทำให้ยังมีการเก็บส่วยสติ๊กเกอร์อยู่ทั่วประเทศ
สำหรับรูปแบบของสติ๊กเกอร์ที่ติดรถนั้นมีนับร้อยรูปแบบ แต่ละเส้นทางและแต่ละหน่วยงานก็จะใช้สติ๊กเกอร์ที่แตกต่างกันออกไป ทางผู้ขับขี่รถบรรทุกและเจ้าหน้าที่จะรู้และตกลงกันเองในแต่ละเส้นทางเดินรถ เช่น รถจากทางภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ เดินทางมายังนครสวรรค์ ก็ใช้สติ๊กเกอร์เฉพาะเส้นทางที่มีสัญลักษณ์เฉพาะตัว เส้นทางอื่น เช่น นครสวรรค์เข้าสู่กรุงเทพฯ จะติดสติ๊กเกอร์ที่แตกต่างกันออกไป
ในการจ่ายเงินให้กับทางเจ้าหน้าที่นั้นจะมีหลายรูปแบบ เช่น สติ๊กเกอร์วิ่งสายใกล้ วิ่งเฉพาะในพื้นที่ตัวจังหวัด จะต้องจ่ายเงิน 4-5 พันบาท/เดือน วิ่งในภาคจ่ายประมาณ 1 หมื่นบาท/เดือน วิ่งระหว่างภาคแต่ไม่ข้ามภาคจ่าย 17,000-20,000 บาท/เดือน ส่วนสติ๊กเกอร์ประเภทโอเพ่น คือวิ่งในภาค อ้างว่าดูแลเจ้าหน้าที่ครบทุกหน่วยงาน วิ่งพร้อมบรรทุกเกินน้ำหนักได้โดยไม่ถูกจับต้องจ่ายเงินกว่า 20,000 บาท/เดือน
นายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย คาดว่ามีการจ่ายเงินตั้งแต่ระดับท้องถิ่นทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรและตำรวจทางหลวงในแต่ละพื้นที่ไปจนถึงระดับภูมิภาคหรือส่วนกลาง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจะดูแลถนนสายหลักที่มีเลขถนนหลวง 1 หลัก 2 หลัก และ 3 หลัก ส่วนตำรวจภูธรจะดูแลถนนหลวงในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
ผ่าวงจรผลประโยชน์ เม็ดเงินหล่อเลี้ยงจากหัวยันหาง
นายชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความที่เคยทำคดีส่วยรถบรรทุก เล่าเบื้องหลังวงจรผลประโยชน์ขนาดใหญ่ที่ทำให้ปัญหาส่วยรถบรรทุกเรื้อรังมานานในสังคมไทยว่า เป็นเพราะมีผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันหลายฝ่ายใช่หรือไม่ ปัญหานี้ต้องตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ ตั้งแต่ตำรวจ ผู้ประกอบการที่ต้องการบรรทุกน้ำหนักเพิ่ม ด่านชั่งน้ำหนัก ฯลฯ และต้องตรวจสอบด้วยว่าเงินถูกส่งต่อไปตามสายบังคับบัญชาหรือไม่ เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนหลักพันล้านบาทต่อเดือน
ทนายชำนัญ อธิบายการเเรียกเก็บส่วยรถบรรทุกว่ามีอยู่ 3 ประเภท หนึ่ง เป็นขบวนการที่ร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐหลายฝ่ายกับผู้ประกอบการรถบรรทุกบางรายที่ต้องการกำไรเพิ่มจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน และนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้กำไรเพิ่มมาจ่ายส่วย เป็นกลุ่มที่เอาเปรียบสังคม ทำให้ถนนเสียหาย เอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำถูกต้อง กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ใช้สติ๊กเกอร์เป็นสัญลักษณ์
สอง ผู้ประกอบการที่บรรทุกน้ำหนักถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจมีความผิดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ เช่น วิ่งเลนขวา ไฟขาด แต่งตัวไม่เรียบร้อย ผ้าคลุมกันฝุ่นไม่เรียบร้อย โดยจะถูกเรียกตั้งข้อหาให้เสียค่าปรับแบบจุกจิก บีบให้เจ้าของบริษัทยอมจ่ายส่วยเป็นรายเดือนแทน ด้วยแรงจูงใจว่าเสียน้อยกว่าการถูกเรียกเก็บบ่อยๆ กลุ่มนี้ไม่มีสติ๊กเกอร์แต่จะรู้กันว่าบริษัทไหนจ่ายแล้วบ้าง
และ สาม รถบรรทุกของสถานประกอบการขนาดใหญ่ แบรนด์ดัง กลุ่มนี้จะมีโลโก้แบรนด์เด่นอยู่ที่รถ ไม่ถูกเรียกเก็บส่วยตามรายทาง และไม่ต้องซื้อสติ๊กเกอร์
ทนายชำนัญ สรุปสาเหตุส่วยรถบรรทุกเป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนานและแก้ไขไม่ได้เพราะเป็นขบวนการที่มีผลประโยชน์มหาศาล มีผู้ได้รับผลประโยชน์ไล่ขึ้นไปเป็นลำดับขั้น มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ และถึงจะมีรถบรรทุกบางรายร่วมมือด้วย แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เขาไม่ชอบจ่ายส่วย มันเพิ่มต้นทุนเขาเยอะมาก
เราต่างก็รู้ว่าถนนในประเทศไทยมีมาตรฐานการรับน้ำหนักได้ต่ำที่สุดในอาเซียน ผู้ประกอบการเขาเสนอให้แก้กฎหมายให้ถนนรับน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ฝ่ายรัฐบาลก็กดลงมาเท่าเดิม อ้างว่าถนนเรารับไม่ได้ คำถามคือแล้วทำไมประเทศอื่นเขาทำถนนที่รับน้ำหนักมากกว่าไทยได้ หรือตัวเลขน้ำหนักที่เรากำหนดไว้ มันไปผูกโยงกับผลประโยชน์อื่น จนต้องกดไว้อย่างเดิม ใช่หรือไม่?
ผู้การทางหลวงย้ายตัวเอง คมนาคมเต้นสอบ
“ได้สั่งการไปแล้วขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่” เป็นคำตอบสั้นๆ จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลชุดรักษาการ เรื่องส่วยรถบรรทุกที่กำลังเป็นประเด็นร้อน
แต่ที่เป็นรูปธรรมคือ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ลงนามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ 172/2566 ลงวันที่ 30 พ.ค. 2566 ให้ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเดิม และลงนามคำสั่งที่ 173/2566 ลงวันที่ 30 พ.ค. 2566 ให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ผบก.ทล. อีกตำแหน่ง
นอกจากนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ยังมีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องทั้งหมด พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำการทุจริตอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ รายงานข่าวยืนยันตรงกันว่า คำสั่งย้าย พล.ต.ต.เอกราช มิใช่เป็นการเด้ง หากแต่ พล.ต.ต.เอกราชขอย้ายตัวเองเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังเข้ารับหน้าที่รักษาการ ผบก.ทล. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยอมรับว่าเรื่องส่วยเป็นปัญหาใต้พรมมานาน พร้อมปัดกวาด รีเซทกันใหม่ ตำรวจคนไหนมีเอี่ยวทุจริตส่วยสติกเกอร์เจอไล่ตรวจสอบเส้นทางเงิน พร้อมเอาผิดไม่มีละเว้น และใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ในบรรดาหน่วยเฉพาะกิจ อะไรที่เป็นปัญหาส่อทุจริต จะยกเลิกทั้งหมด ทุกฝ่ายต้องยอมรับและปรับตัว เมื่อสิ่งที่ดำเนินการอยู่ไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไข
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน
“ยอมรับเรื่องส่วยมีจริงและเป็นเรื่องที่ได้ยินมานานแล้ว .... เรื่องส่วยนั้นมีทั้งผู้รับและผู้ให้ โดยผู้ให้คือระบบขนส่ง ส่วนผู้รับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องให้ผู้บังคับการ ปปป. เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวในทุกมิติ .... พร้อมยังได้สั่งให้ขยายผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบว่ามีความผิดจริงก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น” ผบ.ตร. ระบุ
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะขอย้ายตัวเองนั้น พล.ต.ต.เอกราชรับคำสั่ง ผบ.ตร.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องส่วยทางหลวง และให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ต้องมาดูว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ก่อนหน้านี้ยังไม่มีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่กระทำความผิด แต่หากประชาชนมีเบาะแสก็สามารถส่งเข้ามาให้ตรวจสอบได้ ยอมรับว่าปัญหาส่วยมีมานาน เรื่องส่วยคือปลายเหตุ ต้นเหตุคือรถบรรทุกเกินกำหนด การแก้ไขต้องแก้ในภาพรวม แก้กฎหมายที่ปัจจุบันให้ดำเนินคดีกับผู้ขับขี่ไม่ใช่ผู้ประกอบการรถบรรทุกจึงเกิดความผิดซ้ำ
พล.ต.ต.เอกราช มีความเห็นอาจต้องพิจารณาเรื่องการแก้ไขกฎหมาย เช่น หากจับรถบรรทุก 1 คัน พบว่าบรรทุกหนักเกิน 20% ก็ให้สั่งยึดรถของผู้ประกอบการรายดังกล่าวทุกคัน เชื่อว่าคงสามารถยึดรถบรรทุกได้หลายหมื่นคัน อาจจะทำให้ผู้ประกอบการเกิดความเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิด และอาจต้องย้อนถามไปยังสหพันธ์ขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ด้วยว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ผู้ประกอบการเห็นแก่ตัวจนต้องบรรทุกหนักเกิน
คำให้สัมภาษณ์ของ ผบก.ทล. ทำให้นายวิโรจน์ ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ @wirojlak แซะกลับในทำนองว่า “คำตอบของตำรวจระดับสูงที่บอกถ้าประชาชนคนไหนเจอส่วยก็ให้แจ้งมาจะจัดการให้ ไม่ต่างจากประโยคที่บอกว่า ถ้าเห็นอุจจาระให้บอกด้วยจะได้ไปล้างก้น นั่งทับอุจจาระเอาไว้ก็รู้อยู่แก่ใจ ทุกคนได้กลิ่นเหม็นตลบอบอวล ไม่คิดจะไปล้างก้นเองหรือ มีตั้งแต่ ผบ.ตร. และผู้การทางหลวง ยังเป็นผู้กอง ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ควรขอย้ายตัวเองให้คนที่รู้มาทำจะดีกว่า แต่ถ้ารู้อยู่แก่ใจก็เร่งแก้ปัญหาเถอะครับ อย่าตั้งคณะกรรมการซื้อเวลา อย่าตอบคำถามแบ๊วๆ ทำไขสือ ให้ประชาชนต้องหัวเราะเยาะเลยครับ”
ไม่แต่ทาง สตช.ที่เต้นสอบ ทางกระทรวงคมนาคม ก็เอาด้วย นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยการติดสติกเกอร์บนรถบรรทุก โดยมีนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน
เร่งลงมือกวาดขยะใต้พรมกันยกใหญ่ เชื้อชั่วจะถูกกำจัดให้สิ้นซากหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป