สมการการเมือง
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง พรรคการเมืองต่างๆ ตอนนี้ต่างสงบเงียบอยู่ในที่ตั้ง ไม่กล้าแม้แต่ขยับเขยื้อนตัวทำอะไร ต้องปล่อยให้พรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับ 1 ที่กำลังขึ้นหม้อ เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลอย่างเต็มที่
จะเห็นว่า ไม่มีพรรคไหนทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง และปล่อยให้สมาชิกวุฒิสภา 250 คน เป็นกระโถนรองรับอารมณ์กองเชียร์สีส้ม ในฐานะสิ่งกีดขวางทางตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ไปเต็มๆก่อน
ตอนนี้ทุกพรรคทำได้เพียงจ้องมองสถานการณ์ เผาเวลาออกไปเรื่อยๆ จนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลการเลือกตั้งได้ 95% จนทำให้สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ 2 ได้
และจะไม่มีใครขยับตัวแรง จนกว่าการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะเห็นทิศทางชัดเจน
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2 ขณะนี้ ที่ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ฟากเสรีนิยม ใจกว้าง ปล่อยให้พรรคก้าวไกลโชว์เต็มที่
ปล่อยให้สงครามขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างพรรคก้าวไกลกับสมาชิกวุฒิสภา 250 คนเท่านั้น ตัวเองหมดหน้าที่เรียบร้อย หลังประกาศสนับสนุน และไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่ง
ไม่ต่างอะไรกับขั้วรัฐบาลเดิม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไล่ลูกพรรคไปลาพักร้อน พร้อมสั่งลูกพรรครูดซิบปาก อย่าเที่ยวไปแสดงความคิดเห็นอะไรมั่วซั่ว ให้ถือเป็นประกาศิต
พอๆ กับพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่แม้จะทำตัวเลขส.ส.ได้ทะลุเป้า กวาด 70 ที่นั่ง ครองเสียงอันดับ 3 ในสภา สามารถเอาไปเติมเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ แต่ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สั่งเด็ดขาด กรุณาเฉยๆจนกว่าคำสั่งจะเปลี่ยนแปลง
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ตัวผู้บริหารพรรคนิ่ง แต่ส.ส.สอบตกขยับ โดยเฉพาะสมาชิกพรรคสาย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ต้องการให้หัวหน้าแก๊งกลับมากอบกู้พรรค ตั้งแต่ “สาธิต ปิตุเตชะ” รมช.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค “อลงกรณ์ พลบุตร” อดีต ส.ส.เพชรบุรี รวมไปถึงเด็กๆหน้าใหม่ ช่วยการปิดสวิตช์ ส.ว. เพื่อเรียกศรัทธาคืนมา
แล้วกลับไปนับหนึ่งใหม่ เริ่มต้นจากงานถนัดสร้างชื่ออย่างบทบาทฝ่ายค้าน โดยมี “อภิสิทธิ์” เป็นติวเตอร์ให้กับ ส.ส.ของพรรคในสภา
แต่ปัญหาคือ สายนี้ไม่ได้มีอำนาจในพรรค ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เอง คนที่มีอำนาจต่างหลบนิ่งอยู่ที่ตั้ง เพื่อจ้องมองสถานการณ์เหมือนกับพรรคตัวแปรอื่นๆ
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ภายใต้การนำของ “วราวุธ ศิลปะอาชา” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ประกาศไม่ซีเรียสกับการต้องเป็นรัฐบาล และพร้อมหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะปริมาณ ส.ส.ที่ได้ 10 เสียง ค่อนข้างไร้พลังต่อรอง
และกำลังใช้จังหวะนี้ เพื่อรีแบรนด์พรรคใหม่ ลบภาพปลาไหล ที่ใครต่อใครต่างค่อนแคะว่า จ้องแต่จะเป็นรัฐบาลอย่างเดียวออกไป
นอกจากนี้ ยังเป็นยุทธศาสตร์ “ความหวังใหม่” ของสายอนุรักษ์นิยม หลังพ่ายแพ้ย่อยยับในสนามเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ รอวันแตกเพราะไร้หัวอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมแล้ว เช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” ที่นับถอยหลังเช่นเดียวกัน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังมองไม่เห็นสภาพว่าจะกู้กลับมาได้ในเร็ววัน
การแสดงตัวพร้อมเป็นฝ่ายค้าน และประกาศนโยบายเทิดทูนสถาบัน กำลังทำให้ถูกจับตามองว่า กำลังต้องการเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่กระจัดกระจายกันหลายพรรคให้มากองรวมตัวกันที่นี่
การเมืองจะอึมครึม อึดอัด อยู่อย่างนี้ไปจนถึง กกต.ประกาศรับรองผลได้ 95% และจะเริ่มเห็นภาพ และการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆในช่วงเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า จะมีเค้าลางแบบไหน
หากพรรคเพื่อไทยสามารถต่อรองกับพรรคก้าวไกล ได้เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปครองได้ ความน่าสนใจจะเกิดขึ้นทันที เพราะมันเป็นบันไดขั้นแรกของความไม่แน่นอน เรื่องตัวนายกรัฐมนตรี
หากพรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นๆ นอกเหนือจาก 6 พรรค ที่พรรคก้าวไกล ประกาศจับมือตั้งรัฐบาลมาร่วมด้วย มันจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างทันที
โดยเฉพาะหากชื่อของ “พิธา” ไปติดหล่ม อยู่ในชั้นการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โอกาสที่ผู้นำประเทศคนใหม่จะเป็นสีแดง จะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าสีส้ม
เพราะพรรคเพื่อไทย จะไม่มีวันปล่อยให้เกิดสถานะสุญญากาศเด็ดขาด เพราะรู้ว่า ถ้าให้เดินไปถึงจุดนั้น กลไกนอกสภาจะเริ่มทำงานทันที เพื่อปลดล็อกประเทศ เป็นผลเสียมากกว่าผลดีกับพรรคเพื่อไทย
โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะเอาเรื่องนี้ไปเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยไร้การสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล จะมีสูง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการฝ่าวิกฤติของประเทศ
เพราะมีเพียงพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียวที่ชอบธรรมที่จะทำแบบนั้น ในฐานะพรรคอันดับ 2 ที่มีคะแนนน้อยกว่าพรรคอันดับหนึ่งไม่เท่าไหร่ และยังสามารถรวบรวมเสียงส.ส.ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเสียงส.ว. เหมือนกับพรรคก้าวไกล
จริงๆ สัญญาณมันเริ่มมีแล้ว จากปฏิกิริยาของ “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคลับเฮาส์เมื่อค่ำวันอังคารที่ผ่านมา ที่ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่เอาด้วยหากพรรคก้าวไกลไปแตะต้องสถาบันหลักของชาติ
เป็นเงื่อนไขเดียวของพรรคเพื่อไทยที่จะไม่สามารถร่วมกับพรรคก้าวไกลได้ ซึ่ง โทนี่ ย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า พรรคก้าวไกลไม่มีทางลดเพดานเงื่อนไขนี้แน่
แค่ตอนนี้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำตัวแบบอื่นได้ นอกจากเลยตามเลยไปตามพรรคก้าวไกลก่อน จนกว่าจะเกิดสุญญากาศขึ้น