ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถอดบทเรียน ว่าที่ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคก้าวไกล โดนจับข้อหาดื่มแล้วขับ กระทั่ง ตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เป็นเรื่องร้อนที่ทำให้สังคมไทยหันมามองประเด็นเมาไม่ขับ เพราะไม่เพียงส่งผลต่อตัวคนขับเอง ยังอาจส่งผลต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง เนื่องจากประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่รับทราบกันดีกว่าบทลงโทษ “คดีเมาแล้วขับ” อัตราโทษรุนแรงทั้งจำทั้งปรับ เพื่อยับยั้งผู้ที่คิดจะทำผิดให้เกิดความกลัว อันเป็นแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน อีกทั้ง ยังมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงละเลย ฝ่าฝืนกฎหมาย ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม
และสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นบทเรียนเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ของนักการเมืองไทยที่น่าจับตาอย่างที่สุด กรณีของ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ หรือ เตอร์ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 27 ของพรรคก้าวไกล ถูกตำรวจเรียกตรวจแอลกอฮอล์ขณะขับรถ และพบปริมาณเกินกฎหมายกำหนด วัดค่าได้ 66 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด (50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2566 กระทั่งต่อมาแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากการเป็น ส.ส. ซึ่งระบุว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกับพรรค
โดยมีความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือนและปรับ 4,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) มีกำหนด 2 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยโดยไปรายงานตัว ต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ภายในเวลา 1 ปี และทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควร เป็นเวลา 12 ชั่วโมงด้วย และมีคำสั่งให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถของจำเลย เป็นเวลา 6 เดือน หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวชื่นชมสปิริตของ น.ส.ณธีร์ภัส ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องในทางการเมืองและเป็นแบบอย่างที่ดีที่ไม่พยายามใช้ตำแหน่งเพื่อวิ่งเต้นให้พ้นผิด ต่างจากนักการเมืองหรือข้าราชการประจำที่มีตำแหน่งสูงที่มักใช้เส้นสายในการเป่าคดีตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
ทั้งนี้ จากการกระทำผิดดังกล่าว น.ส.ณธีร์ภัส ได้รับโทษตามกฎหมายเสมอเหมือนกับบุคคลทั่วไปทุกประการ อย่างไรก็ตามการประกาศลาออกถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่สูง และจะเป็นบทเรียนให้นักการเมืองทุกพรรคการเมืองต้องเข้มงวดตัวเอง ไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย การเป็นบุคคลสาธารณะต้องเป็นแบบอย่างและพึงระวังให้มาก
อนึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศแนะเรื่องกฎหมายต้องรู้ กรณีเมาแล้วขับว่า บุคคลทั่วไปที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 mg% และผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 mg% ถือว่าเมาแล้วขับ หากปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ ถือว่าเท่ากับเมา
สำหรับกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้มีการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำกรณี “เมาแล้วขับ” โดยกำหนดบทลงโทษผู้เมาแล้วขับ ดังนี้
1. ทำผิดครั้งแรก อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 - 20,000 บาท
2. ทำผิดซ้ำข้อหา "เมาแล้วขับ" ภายใน 2 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งแรก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 - 100,000 บาท โดยศาลจะลงโทษจำคุก และปรับด้วย พร้อมถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
และ 3. เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เสียชีวิต โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
สำหรับบทลงโทษข้อหาเมาแล้วขับ นอกจากจะต้องเสียค่าปรับ ขึ้นศาล และเสียประวัติ บางกรณีโดนคุมประพฤติ บำเพ็ญประโยชน์ หรือต้องติดเครื่องติดตามตัวตลอด 24 ชม. รวมทั้ง อาจมีคำสั่งห้ามออกจากที่พักตั้งแต่ 22.00 - 04.00 น. โดยระยะเวลาคาดโทษนั้น จะขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาคดี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อความผิดซ้ำ
นับเป็นเคราะห์ดีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดความสูญเสีย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐประชาสัมพันธ์รณรงค์ป้องกันการเมาแล้วขับมาโดยตลอด เพราะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ นำไปสู่การบาดเจ็บและอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิต ซึ่งกรณีเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอันตรายบนท้องถนนเป็นลำดับต้นๆ ในประเทศไทย
อ้างอิงข้อมูลจากมูลนิธิเมาไม่ขับ ระบุว่าประเทศไทยมีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนนปีละกว่า 2 หมื่นคน บาดเจ็บ 1 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมกว่า 5 แสนล้านบาท คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นคนหนุ่มสาว เป็นคนวัยทำงาน ซึ่งหากรัฐไม่มีนโยบายลดความสูญเสียทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม อนาคตจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องเจอกับวิกฤติการขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน
ข้อมูลเปิดเผยว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการขับรถลดลง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุขึ้นเป็น 2 เท่า และปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่า และปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงถึง 40 เท่าเลยทีเดียว
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ระบุว่าความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนประเทศไทยยังอยู่ในสภาวะวิกฤต ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากประชาชนขาดระเบียบวินัย ตลอดจนพื้นฐานการปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนน อีกทั้งยังมีเรื่องของระบบอุปถัมภ์ และการคอร์รัปชัน เป็นตัวหนุนก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ชน ทำให้คนบางกลุ่มไม่เกรงกลัวกฎหมายฝ่าฝืนกฎจราจรจนนำไปสู่อุบัติเหตุบนท้องถนน ส่วนปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นนั้นเพราะผู้ขับขี่ขาดวินัยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายได้
นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า เปิดเผยว่าจากข้อมูลปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตบนถนนปีละกว่า 17,000 คน คิดเป็น 25.9 ต่อแสนประชากร สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกที่กำหนดที่ 16.7 ต่อแสนประชากร และส่วนมากมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ
ทั้งนี้ ผลสำรวจปี 2564 ในกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์ และเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ พบว่ามีพฤติกรรมดื่มแล้วขับเป็นประจำ 6.5 % ทำเป็นบางครั้ง 43.3 % และ จากรายงานการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในกลุ่มผู้ขับขี่ ในการตั้งด่านปี 2561 – 2564 พบว่า 59 % พบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินที่กฎหมายกำหนด
“ปัญหาความไม่ปลอดภัยบนถนน มีปัจจัยหลักมาจากขาดความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะแก้ปัญหานี้ เพราะงานจราจรกลายเป็นงานรอง ไม่ใช่งานหลักของตำรวจ ไม่มีการสนับสนุนอุปกรณ์ที่เพียงพอ ระบบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานไม่เชื่อมทำให้ไม่สามารถตรวจพบความผิดซ้ำซาก ไม่นำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา ซึ่งจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะกำหนดนโยบายในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเลย” นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าว
อีกประเด็นที่น่าสนใจ เครือข่ายองค์กรงดเหล้ามีความเห็นว่าพรรคก้าวไกลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็มีนโยบายสุราก้าวหน้า มีความจำเป็นต้อสร้างแผนการลดผลกระทบหากมีการเปิดให้ผลิตกันเสรีในอนาคต
โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1.เร่งปฏิรูปตำรวจ ลดช่องทางในการรับส่วย เป่าคดี และทำให้ตำรวจจราจรทำงานได้อย่างเต็มที่ด้วยการสนับสนุนเครื่องตรวจปริมาณแอลกอฮอล์อย่างเพียงพอ และกำหนดเป้าหมายในการทำงาน ตั้งด่านตรวจเข้มงวด จริงจังโดยเฉพาะใกล้สถานบันเทิง และบริเวณกิจกรรมทางการตลาดของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อตรวจจับคนดื่มแล้วขับ และผลสำเร็จในการลดอุบัติเหตุ 2. ดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยสามารถบังคับตรวจ รวบรวมพยานหลักฐานนำส่งศาลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ถูกแทรกแซง ใช้เงินเพื่อให้มีการลดโทษ และขอให้ศาลกำหนดโทษขั้นต่ำโดยไม่มีการรอลงอาญา 3. ผลักดันให้มีศาลจราจร
4. แก้กฎหมายภาษีสรรพสามิต แยกใบอนุญาตจำหน่ายเป็นร้านขายส่ง ขายปลีก และร้านนั่งดื่ม โดยผู้ประกอบการต้องมีใบอนุญาต ต้องไม่ขายแอลกอฮอล์ให้ลูกค้าที่เมาครองสติไม่ได้ และมีส่วนร่วมรับผิดกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนถนนส่งผลกระทบต่อคนอื่น และให้ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกภาคส่วนร่วมกันจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่ธุรกิจแอลกอฮอล์ และ 5. ทบทวน ยุตินโยบายให้ขายสุราได้ 24 ชั่วโมงเพราะจะยิ่งสร้างปัญหา
เหล่านี้เป็นโจทย์ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องกำกับดูแล โดยเฉพาะการปลูกฝังวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัยให้ได้ผลเป็นรูปธรรม