xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“112” ถอยหนึ่งก้าว “พิธา” ฉลุยยาวถึงนายกฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ต่างอะไรกับ “สึนามิ” การเมืองสำหรับผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 หลัง “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล หักปากกาเซียน ระบายสีลงบนพื้นที่ประเทศเต็มพรืดกลายเป็น “ส้มทั้งแผ่นดิน” ผงาดเป็นพรรคอันดับ 1 ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ เหนือ “ตัวเก็ง-เต็งหนึ่ง” อย่าง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่นอกจะแลนด์สไลด์ไม่สำเร็จ แล้วยัง “แลนด์ไถล” เสียสถิติ “ไร้พ่าย” แล้วยังต้องเปลี่ยนบทมากลายเป็นผู้ตาม “พรรครุ่นหลาน”

แต่ปัญหาก็คือ แม้พรรคก้าวไกลจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่การที่จะส่ง “ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย” นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องการเสียงสนับสนุนจาก 2 สภาถึง 376 เสียง ขณะที่เวลานี้พันธมิตร 8 พรรค มีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือเพียงแค่ 313 เสียงเท่านั้น

แน่นอน การดึงพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมเข้ามาร่วมดูเหมือนจะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นน้อยมาก และทางออกทางเดียวที่มีอยู่ก็คือต้องอาศัย “มือ ส.ว.” ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จึงจะส่ง “ทิม-พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีได้
ทว่า อุปสรรคอันใหญ่หลวงก็คือ นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ต้องการจะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ส.ว.จำนวนมากไม่เห็นด้วย และรวมกระทั่งถึงพรรคพันธมิตรฝ่ายเดียวกันเองที่ไม่อยากมีส่วนร่วม โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” ที่มีปฏิกิริยามากที่สุด

ทางออกเดียวที่ “ทิม-พิธา” และพรรคก้าวไกลจะเดินหน้าต่อไปได้ก็คือ ต้อง “ยอมถอย” เพื่อก้าวต่อไปตามหมุดหมายการเมืองที่ควรจะเป็น

คำถามที่ “ทิม-พิธา” และพรรคก้าวไกลจะต้องตอบตัวเองให้จงหนักก็คือ เป้าประสงค์ของการเล่นการเมืองคืออะไร จะเดินหน้าหัวชนฝาเพื่อแก้มาตรา 112 หรือต้องการทำงานเพื่อชาติและประชาชน ด้วยการผลักดันนโยบายที่ทางพรรคประกาศไว้เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี

 อารมณ์ “เบื่อลุง” สู่ปรากฏการณ์ “ส้มทั้งแผ่นดิน”

ถือว่า เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย หรือเซอร์ไพร์สเป็นอย่างมาก ที่ “ค่ายสีส้ม” ขยับขึ้นสู่นัมเบอร์วันอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แบ็กอัปคนสำคัญ เคยประกาศไว้เมื่อครั้งตั้งพรรคอนาคตใหม่ว่า ขอผ่านการเลือกตั้ง 3 ครั้ง แล้ว “ค่ายสีส้ม” ที่วันนี้จำต้องมาใช้ชื่อ พรรคก้าวไกล จะผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ 1

โดยเฉพาะในสนามเมืองกรุง ที่แม้จะมีการคาดการณ์กันว่า พรรคก้าวไกล จะได้ ส.ส.พอสมควร จากทั้งผลงานเมื่อเลือกตั้งปี 2562 หรือสนามสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) แต่คงไม่มีใครคิดว่า พรรคก้าวไกลจะระบายสีส้มลงบนแผนที่เมืองหลวง แบบแลนด์สไลด์แทบจะเบ็ดเสร็จ

เหลือไว้ให้พรรคเพื่อไทยเพียงพื้นที่เดียวคือ เขตลาดกระบังของ “สาวอิ่ม” ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ อดีต ส.ส.หลายสมัย ที่วันนี้ยังถือว่ารักษาเก้าอี้ไว้ได้ ด้วยคะแนนเหนือผ้สมัครจากพรรคก้าวไกลฉิวเฉียดเพียง 4 แต้ม ที่ยังไม่รู้ว่า หากมีการนับคะแนนใหม่จะมีโอกาสพลิกผันอีกหรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังสร้างปรากฎการณ์ “ล้มบ้านใหญ่” ที่ผูกขาดอำนาจในแต่ละจังหวัดมาอย่างยาวนานลงอย่างราบคาบ

จังหวัดที่เคยถูกเปรียบเปรยว่า เป็นเมืองหลวงของพรรคนั้น พรรคนี้ อดีต ส.ส.ผูกขาดล้มหายตายจากทางการเมืองในรอบนี้กันหลายพื้นที่ด้วยฝีมือ “พรรคสีส้ม” ไม่ว่าจะเป็น จ.เชียงใหม่ ต้นกำเนิด และฐานที่มั่นของ “ตระกูลชินวัตร” ที่ผูกขาดสัมปทาน ส.ส.มาเป็นสิบๆ ปี ชนิดที่ว่า ไม่มีใครอาจหาญไปเจาะได้ แต่พรรคก้าวไกลกวาดเรียบ เปลี่ยนฐานที่มั่น “สีแดง” ของพรรคเพื่อไทย เป็นฐานที่มั่น “สีส้ม” ของพรรคก้าวไกลไปเรียบร้อย

รวมไปถึงพื้นที่ภาคใต้ ที่ “ปีกอนุรักษ์นิยม” ครองใจคนแดนสะตอมาเป็นชั่วอายุคน ขนาดสมัย “ค่ายทักษิณ” ทั้งพรรคไทยรักไทย หรือพรรคเพื่อไทย ที่เคยฟีเวอร์สุดๆ ยังเคยเจาะได้เพียง 1 เก้าอี้ที่ จ.พังงา จากอานิสงส์เหตุการณ์สึนามิ ไม่สามารถปักหมุดในโซนด้ามขวานได้อย่างพรรคก้าวไกล ที่แลนด์สไลด์ใน จ.ภูเก็ต แบบยกจังหวัด 3 เขต ไม่แบ่งเจ้าถิ่นเก่าไว้ปลอบใจเลย

ขณะที่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แม้บางพื้นที่ตัวผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของ พรรคก้าวไกล จะไม่สามารถล้มแชมป์เก่าได้ แต่คะแนนของพรรคสีส้ม เป็นอันดับหนึ่งแทบทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย

อีกปรากฎการณ์หนึ่งของการเมืองไทยคือ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของพรรคก้าวไกลหลายพื้นที่ เป็น “ผู้เล่นโนเนม” แต่สามารถเป็น “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” และชนะแบบถล่มทลาย จนมีการขนานนามเลือกตั้งครั้งนี้ว่า เป็นปรากฎการณ์ “กระแสส้มฟีเวอร์” ที่ต่อให้เอา “เสาไฟฟ้า” ไปลงก็ชนะ

ส่วนขั้วอำนาจเก่า ไม่ใช่แค่แพ้ แต่ถึงขั้นพังพาบยับเยิน มีเพียง “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย เท่านั้น ที่พอพูดได้ว่าประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ผู้แทนราษฎรเข้าสภามากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน

ที่เหลือพังพินาศหมด โดยเฉพาะ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พา ส.ส.เข้าสภาได้ไม่ถึงครึ่งร้อย แถมจำนวนยังแพ้ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคอีกต่างหาก

ด้าน “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ คราวนี้เรียกว่า “เผาจริง” ได้ ส.ส.น้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนแบบครึ่งต่อครึ่ง เหลือเพียง 24 ที่นั่งเท่านั้น จน “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จำต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทันทีที่รู้ผล

เอาว่า เทรวมคะแนนของพรรคหลักในขั้วรัฐบาลเดิมมารวมกันยังมีปริมาณ ส.ส. มากกว่าพรรคก้าวไกลพรรคเดียวไม่เท่าไร

ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเก่า เมื่อนำมาเขย่ารวมกันสามารถไต่ไปได้ถึง 300 เสียงเศษแบบสบายๆ จึงไม่แปลกที่พรรคก้าวไกลจะชิงเปิดเกมเร็ว โดย “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศความพร้อมเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเก่า ได้แก่ พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาชาติ และ พรรคเสรีรวมไทย

พร้อมดึงพรรคใหม่แต่ตรงจริต “ฝ่ายประชาธิปไตย” มาเสริมอีก ทั้งพรรคไทยสร้างไทย, พรรคเพื่อไทรวมพลัง, พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่

โดยมีเสียงรวมกันมากถึง 313 เสียงแล้ว ณ ปัจจุบัน

ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แม้จะเสียงน้อยกว่าพรรคก้าวไกลไม่เท่าไร แต่ด้วยการที่ประกาศตัวว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ประกอบกับ “ฉันทามติ” ของประชาชนที่ไว้วางใจพรรคก้าวไกลมากกว่า จึงทำให้ต้อง “เล่นบทหล่อ” ก้มหน้าก้มตายอมรับที่จะให้พรรคสีส้มเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ไปก่อน

พร้อมกับประกาศว่า จะสนับสนุน “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยต้องมี “วงเล็บ” ว่า “เสี่ยทิม” ต้องไม่ตายน้ำตื้นเรื่องคุณสมบัติเสียก่อน

ไฟต์บังคับให้พรรคเพื่อไทยต้องทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล แบบไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ เพราะกระแสสังคมเรียกร้องอย่างหนักให้เป็นอย่างนั้น หากขยับ “ตุกติก” เป็นอย่างอื่นอาจจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในทางการเมืองทันที


สถานะของพรรคเพื่อไทยตอนนี้คือ ต้อง “ตามน้ำ” ในทุกๆ เรื่อง ที่พรรคก้าวไกลว่ามาไปก่อน ต้องทำตัวเออออห่อหมกกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลกำลังเดินอยู่

ทำตัวเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก เป็นวอลเปเปอร์ที่เคียงข้าง ให้แฟนคลับพรรคสีส้มได้ฟินกับกลิ่นความเจริญที่รออยู่ข้างหน้า เพื่อไม่ให้คนเข้าใจผิดว่า มีความคิดจะ “บิด” เป็นอย่างอื่น

แต่เกมการเมืองของจริงจะเกิดขึ้นหลังพิธีหมั้นหมายกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับอีก 7 พรรคการเมืองเสร็จสิ้น โดยประกาศจะมีการออก “เอ็มโอยู” ข้อตกลงในการร่วมรัฐบาลร่วมกัน

ทว่า ไม่ทันไร “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า ได้เห็นร่างเอ็มโอยูในการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคก้าวไกลยกร่างแล้ว

โดยที่ “มีบางข้อที่พรรคเพื่อไทยเห็นแย้งเยอะพอสมควร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนปัจจุบันว่าไว้

เสมือนเป็นการ “ออกตัว” ว่า การประกาศจัดตั้ง “รัฐบาลก้าวไกล” นั้นคงไม่ง่ายอย่างที่คิด และมีหลายเรื่องที่ต้องปรับจูนกันอีกหลายยก

 ศึกแรก “ประธานสภา”
เก้าอี้ใหญ่ที่ “เพื่อไทย” หมายปอง

 
ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น คงเป็นการการต่อรองตำแหน่ง “แบ่งเค้ก” ของแต่ละพรรค โดยคิวแรกที่จะมาถึงก่อนตำแหน่งอื่นคือ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ที่ดูทรงน่าจะต้องเจรจากันหลายรอบกว่าจะลงตัว เพราะต่างฝ่ายต่างอยากครอบครองเก้าอี้ “ประมุขนิติบัญญัติ”

แน่นอนว่า ตามธรรมเนียมแล้ว พรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับหนึ่งต้องการรักษาเก้าอี้ตัวนี้เพื่อ “คุมเกม” ทั้งสภาล่าง และรัฐสภา เพราะนโยบายหลักๆ ของพรรคก้าวไกล นั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงตัวบทกฎหมายสำคัญๆ หลายตัว ที่เคยหาเสียงกับประชาชนเอาไว้ว่า เมื่อได้เป็นรัฐบาลจะรีบผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, กฎหมายสุราพื้นบ้าน หรือ กฎหมายสมรสเท่าเทียม เป็นอาทิ

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย พี่ใหญ่ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนหลายพรรษา และมีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง ก็คงปรารถนาที่จะยื่น “ดีลซื้อใจ” โดยขอเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งไว้กับตัวเอง

คล้ายกับเมื่อครั้ง พรรคประชาธิปัตย์ขี่คอพรรคพลังประชารัฐ ในการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ 4 ปีก่อน จน “นายหัวเมืองตรัง” ชวน หลีกภัย ผู้เฒ่าแห่งค่ายสะตอ ได้ขึ้นเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เสริมเกียรติภูมิให้กับตัวเองในช่วงบั้นปลายชีวิตนักการเมือง จน “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ แกนนำพรรคพลังประชารัฐขณะนั้น ต้องซดน้ำแห้ว ได้นั่งแค่เก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราาฎร คนที่ 1 เป็นสมัยที่ 3 ปลอบใจ

หันกลับมาดูบุคลากรของพรรคก้าวไกลเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็น ส.ส.หน้าใหม่ เต็มที่ก็เป็นเพียง ส.ส. 2 สมัย ที่ตามเนื้อผ้าแล้วคง “ไม่เก๋าเกม” พอที่จะถือหางเสือสภาหินอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มี “ว่าที่ฝ่ายค้าน” ที่เชี่ยวชาญเกมการเมืองมากกว่า

ส่องดูคนในพรรคก้าวไกลก็อายุอานามยังน้อย อาจจะมีพอไปวัดไปวาได้ อยู่ 2 ตัวเต็งที่มีชื่อ ไม่ว่าจะเป็น “ผู้แทนฯ อ่างทอง” ณัฐวุฒิ บัวประทุม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ถือว่าแม่นข้อบังคับการประชุมสภาฯ มีบทบาทในการอภิปรายแทบทุกวาระเมื่อสมัยนที่แล้ว แต่ก็ติดตรงอายุแค่ 46 ปี หรือ “ธีรัจชัย พันธุมาศ” ว่าที่ ส.ส.กทม. ที่อายุหน่อยเกือบวัยแซยิด 59 ปี แต่เรื่องบารมี และชั้นเชิงอาจจะยังชื่อชั้นไม่ถึง

เพราะตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้มีแค่เพียงเหลืออายุเท่านั้น แต่ต้องมีบารมี มีความประนีประนอม และความเก๋าเกม

ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่มีมือกฎหมาย ช่ำชองข้อบังคับ กลเกมนิติบัญญัติ ซึ่งมีพรรษาที่สูงอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น “หมอชลน่าน” หัวหน้าพรรค หรือ “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เป็น ส.ส.มา 10 สมัย และเป็นรองประธานสภาฯ มาแล้ว 3 หน ที่ว่ากันว่ามีดีลกับ “ทางไกล” ว่าจะได้สมปรารถนาได้เป็นประธานสภาฯ เสียที หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึง “จารย์ชู” ชูศักดิ์ ศิรินิล ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ


ในรายของ “ชลน่าน-สุชาติ” ถือเป็นผู้ใหญ่ในทางการเมือง เป็น ส.ส.มาหลายสมัย แม่นข้อบังคับ มีความยืดหยุ่น และผ่านประสบการณ์ในเกมสภามาหลายยุค ขณะที่ “ชูศักดิ์” แม้จะขาดประสบการณ์ในสภาฯ แต่ก็ถือเป็นกระบี่มือหนึ่งด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งที่ว่าไปถือว่าคุณสมบัติเหนือกว่า ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ทั้งสิ้น

ปัญหาใหญ่คือ พรรคก้าวไกลจะยอมหรือไม่ เพราะหากยกเก้าอี้ประมุขนิติบัญญัติไปให้พรรคเพื่อไทย นอกจากจะกำหนดวาระของสภาได้เอง ยังสุ่มเสี่ยงที่จะถูกพี่เลี้ยงรายนี้ “ตลบหลัง” ได้ในตอนโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากได้ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

การยกเก้าอี้ตัวนี้ให้พรรคเพื่อไทยจะทำให้การกำหนดเกมต่างๆ ในสภา ไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยทั้งหมด และหากเกิดการ “ซูเอี๋ย” กับ ส.ว.ขึ้นมาตอนโหวตนายกรัฐมนตรี โดยมีการปล่อยให้เสียงฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลค้างเติ่ง ไม่ถึง 376 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งของสภา ทำให้ชื่อของ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้

เกมจะพลิกกลับมาอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยทันที

พรรคเพื่อไทยอาจจะพยายามเหมือนทุ่มเทอย่างเต็มที่ แต่หากโหวตกี่ครั้งต่อกี่ครั้งชื่อของ “พิธา” ก็ยังติดหล่มในชั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภา คนที่จะตัดสินใจว่า จะเอาอย่างไรคือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคเพื่อไทย ในฐานะ “ประธานรัฐสภา”

ในขณะที่พรรคก้าวไกล จะไม่สามารถคอนโทรลตรงนี้ได้เลย เพราะคนที่นั่งอยู่บัลลังก์ 2 คนตอนโหวตนายกรัฐมนตรีคือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ซึ่งไม่มีคนของพรรคก้าวไกลเลย

สำคัญที่กระแสข่าว “ดีลลับ” ก็ยังมีไม่หยุดหย่อน แม้ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ตัวจริงของพรรคเพื่อไทย จะออกมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไม่มี แต่ก็ยังมีการพูดกันไปถึงกลเกม “โดดเดี่ยวก้าวไกล” ให้ไปเป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวกันอยู่

ตามประสา “นักเลือกตั้งอาชีพ” ที่พูดคุยกันลงตัวกว่าต่อรองกับ “วัยรุ่นฟันน้ำนม” ที่พรรษาการเมืองต่ำ มีเพียงกระแสสังคมหนุนหลัง

หากแต่ถ้าเล่นเกมนั้นจริง ก็เชื่อว่า บ้านเมืองคงลุกเป็นไฟ “ติ่งก้าวไกล-ด้อมส้ม” ก็คงกรีฑาทัพลงถนนแทบจะทันที และจะยิ่งเป็นเเรงขับสำคัญให้ “ค่ายสีส้ม” ได้รับฉันทามติถล่มทลายมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป

บางกระแสจาก “นักเลือกตั้งอาชีพ” ก็ว่า ปล่อยให้ “เด็ก” มันลองทำงานดู เดี๋ยวก็รู้ว่า “ของจริง” เป็นอย่างไร

อนุมานว่า การจัดตั้ง “รัฐบาลก้าวไกล” สำเร็จ ตำแหน่งประธานสภาฯ ตกลงกันได้ ก็ยังต้องมองไปต่อถึงการเกลี่ยตำแหน่งใน “คณะรัฐมนตรี” ที่เป็นปัญหาทุกยุคทุกสมัย ต้องมี “ผู้จัดการรัฐบาล” ที่ช่ำชองพอตัวถึงจะจัดสรรแบ่งผลประโยชน์ลงตัว

วันนี้ “ผู้จัดการรัฐบาล” ที่เห็นก็อยู่ในเลเวล “ละอ่อน” ทั้ง “เลขาฯ ต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ซี้ของ “เสี่ยเอก-ธนาธร” หรือรายของ “เสี่ยจ้อน” พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่แม้มีประสบการณ์เป็น “วิปฝ่ายค้าน” มาก่อน แต่ชื่อชั้นยังไม่ถึง

เทียบกับระดับ “ตำนาน” ไม่ได้แม้แต่น้อย ทั้ง “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ผู้ล่วงลับ, “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง ผู้อาวุโสของพรรคเพื่อไทย, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หรือกระทั่ง “พ่อมดดำ-สุชาติ” เองในสมัยเป็นหนุ่มกระทงก็เคยโชว์ฝีมือจัดตั้ง “รัฐบาลสามัคคีธรรม” มาแล้ว

สำหรับรัฐบาลพรรคก้าวไกลที่หากไม่ยืมมือผู้อาวุโสจากพรรคอื่นแล้ว ก็คิดว่า “ชัยธวัช-พิจารณ์” น่าจะเอาไม่อยู่ และคงต้องถึงมือ “พิธา-ธนาธร” ที่ต้องลงมาดีลด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พรรคก้าวไกลประกาศจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีออกมาแล้วหลายกระทรวง อาทิ “จารย์ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ที่หมายตาไปที่ รมว.คลัง, “หมอเก่ง” นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง กับ รมว.สาธารณสุข หรือเจ้าของสมญา “ธนาธรน้อย” อย่าง “เสี่ยเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ มือข้อมูลของพรรคที่หมายตาเก้าอี้ รมว.ดิจิมัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นต้น

ไม่เท่านั้น ตัว “พิธา” เองก็ประกาศแล้วว่า นอกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังจะควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ด้วย เพื่อผลักดันนโยบาย “ปฏิรูปกองทัพ”

ต้องบอกว่า เก้าอี้ “สนามไชย 1” ตัวนี้ ถือเป็น “ของร้อน” และ “เจ้าที่แรง” ยิ่งนโยบายของพรรคก้าวไกลคือ ทั้งการปฏิรูปกองทัพ รื้อรายได้นอกงบประมาณ หรือการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่ง “บิ๊กทอปบูต” ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

อาจทำให้เกิดแรงต้าน และการกระทบกระทั่งที่หนักหน่วง จนกลายเป็น “ชนวน” เกิดความวุ่นวาย

ที่ผ่านมา “นายกฯ พลเรือน” ที่กล้าถ่างขามาควบ รมว.กลาโหม ก็มีเพียง “นายหัวชวน” ที่ไม่ได้ตั้งแง่เข้ามารื้อขยะใต้พรมสีเขียวแต่อย่างใด เพียงแค่ถ่างขาแตะไว้เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเท่านั้น อีกรายเป็น “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ ณ วันนั้น
เลือกเล่นเกมเสี่ยงเพื่อหวังจะให้กองทัพอยู่ในสายตาตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรที่นอกลู่นอกทาง

ซึ่งช่วงที่ “คุณหนูปู” เป็นนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม ความสัมพันธ์กับกองทัพถือว่าหวานชื่น เพราะค่อนข้างเกรงอกเกรงใจ “บิ๊กทอปบูต” ไม่ก้าวก่าย แทรกแซงอะไรมากอย่างที่คิด จนทุกวันนี้ยังมีการนำรูปการทำงานร่วมกันของ “ยิ่งลักษณ์-ประยุทธ์” มาแชร์กันให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ช่วงนั้น “นายกฯ ปู” ค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ล้ำเส้นงานกองทัพมาก ผลักดันเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่ยุ่งกับการแต่งตั้งโยกย้ายกับอีก 3 เหล่าทัพสำคัญ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศเลยด้วยซ้ำ

ทว่า ด้วยการเดินเกมการเมือง “นิรโทษกรรมสุดซอย” สมัยนั้น ก็เลยทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ถูกผู้นำเหล่าทัพกระทำรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

แล้วกับ “ว่าที่นายกฯ ทิม” ที่ไม่ได้มาในฐานะมหามิตร แต่มาในฐานะศัตรู “ตั้งแง่” จะเข้าไปรื้อขยะใต้พรมสีเขียวที่หยั่งรากลึกมาหลายสิบปี ทั้งจากนโยบายปฏิรูปกองทัพ หรือเนื้อหาสาระในการอภิปรายในสภาฯสมัยที่แล้ว ย่อมทำให้ “บิ๊กท็อปบูต” ไม่สบายใจตั้งแต่ต้น

ก็น่ากลัวไม่น้อยว่า อาจทำให้ถูกแรงต้าน ชะตากรรมจะไม่ต่าง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” แถมอาจ “เร็วกว่า” ที่คิดด้วย

แม้ พรรคก้าวไกลอาจทะนงตนว่า ตัวเองได้รับคะแนนท่วมท้นในค่ายทหารย่อมทำอะไรได้ง่าย แต่อย่าลืมว่า ในโครงสร้างกองทัพนั้น “พลทหาร” เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจในกองทัพคือ บรรดา “นายพล” ที่เป็นระนาบบังคับบัญชา

พรรคเพื่อไทยย่อมรู้อยู่แล้วว่า หากพรรคก้าวไกลได้ไปนั่งอยู่ตรงนั้น อาจจะทำให้รัฐบาลแทบจะทำงานอะไรไม่ได้ และสุ่มเสี่ยงจะเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึง

  “ม.112” ถ้าไม่ถอย “ทิม” ชวดนายกฯ? 


แต่กว่าจะไปถึงขั้นแบ่งเก้าอี้ “รัฐมนตรี” ประเด็นที่สำคัญและถือเป็น “ของร้อนที่สุด” ก็คือการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็น “นโยบายเรือธง” ของพรรคก้าวไกล

แม้จะมีการ“ลดเพดาน” จาก “ยกเลิก” เหลือเพียง “แก้ไข” ในเบื้องต้นแล้ว แต่ดูแล้วไม่น่าจะจบง่ายๆ เพราะเป็น “เรื่องละเอียดอ่อน” โดยเฉพาะจาก “ส.ว.” ที่พรรคก้าวไกลต้องอาศัยมือเพื่อสนับสนุน “ทิม-พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี

แถมภาพจำ “พิธา” แปะสติกเกอร์ในช่อง “ยกเลิก” แทนที่จะเป็นช่อง “แก้ไข” ก็ถูกขุดขึ้นมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้ง “จุดยืน” ของ “3 สหายอนาคตใหม่” ทั้ง “เสี่ยเอก-ธนาธร”, “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกนกุล และ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช

กระทั่ง “เจ๊เจี๊ยบ ดาวแดง” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่แม้เฟดตัวออกไป โดยไม่ลงสมัคร ส.ส.คราวนี้ แต่ก็ยังมีพาวเวอร์ในพรรคอยู่

หลายพรรคการเมืองเองกังวลว่าการแก้ไขมาตราดังกล่าวของพรรคก้าวไกลเป็น “ชนวนเหตุ” ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในสังคม และทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ และอายุสั้น

แถมเป็นเหตุผลสำคัญที่ “ส.ว.ส่วนใหญ่” ระบุว่า ไม่สามารถลงมติให้ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีได้

“ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” เองก็ต้องการให้ พรรคก้าวไกล “ลดเพดาน” ลงอีก หากเป็นไปได้ต้องไม่บรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาล ที่จะเป็นการ “ผูกมัด” ตัวเอง แล้วค่อยใช้กลไกในสภาผู้แทนราษฎรหยิบยกขึ้นมาถกเถียงหาทางออก

ในขณะที่พรรคก้าวไกลเองก็ประเมินว่า อย่างไรก็ต้องผลักดันให้เกิดการพูดคุยในเรื่องการบังคับใช้ “มาตรา 112” เพราะได้หาเสียงเอาไว้ อีกทั้งในช่วงรัฐบาลชุดที่แล้ว “บิ๊กก้าวไกล” แต่ละคนก็ออกไปหนุนหลัง “ม็อบเด็ก” ที่เล่นเรื่องนี้กันอย่างเลยเถิด

ทุกวันนี้หลายคนก็ยังเป็น “นายประกัน” ให้กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112 อยู่เลย

หาก “ค่ายสีส้ม” ยอมถอย ก็ย่อมไม่พ้นถูกตราหน้าว่า “ตระบัดสัตย์” หลอกลวง “ด้อม-ติ่ง” ของตัวเอง เพราะเดิมทีการที่บรรจุนโยบายแค่ “แก้ไข” ก็ทำเอา “ติ่งฮาร์ดคอร์” ไม่พอใจในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี ล่าสุดก็ถือว่ามี “สัญญาณที่ดี” เมื่อ “หมอชลน่าน” ระบุว่าในร่างเอ็มโอยูการร่วมรัฐบาลที่พรรคก้าวไกลยกร่างไว้นั้น ไม่ปรากฎเรื่องของการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างที่คาดกันไว้

ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าการที่ไม่ระบุไว้ในร่างเอ็มโอยู เพราะยอม “ลดเพดาน” ตามที่มีผู้ทัดทานจริง หรือเพียงแค่ “หมก” เอาไว้เพื่อไม่ให้ “ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” แตกตื่น จน “วงแตก” เสียก่อน

ต้องไม่ลืมว่า พรรคก้าวไกลเป็น “พรรคการเมืองเดียว” ที่เสนอให้มีการแก้ไข 112 แม้จะมี ส.ส.รวมทั้งสิ้นประมาณ 152 เสียง แต่ก็ต้องถือว่าไม่ใช่เสียงข้างมากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มี 500 เสียง

หรือถ้าจะอ้างว่า มีประชาชนเลือก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมากถึง 14.2 ล้านเสียง ก็ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะยังมีอีก 37ล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล

ดังนั้น ถ้าหาก “ก้าวไกล” ปรารถนาจะจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จจำต้องตระหนักให้มากเพราะไม่เช่นนั้นจะนำมาซึ่งสถานการณ์วุ่นวาย ดีไม่ดีจะถึงขั้นเกิด “สงครามกลางเมือง” เสียด้วยซ้ำไป

เพราะหาก “ก้าวไกล” ยอม “ถอยหนึ่งก้าว” ในเรื่อง “มาตรา 112” จริง ก็เชื่อว่าคงทำให้ทั้ง “ว่าที่พรรครัฐบาล-ว่าที่พรรคฝ่ายค้าน” หรือกระทั่ง “พรรค ส.ว.” ไม่กล้าฝืนกระแสสังคมที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงและปรารถนาให้ “ก้าวไกล” ได้เข้ามาบริหารประเทศ

พรรคก้าวไกลก็จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จและ “ทิม-พิธา” ก็จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

ที่สำคัญคือ “พิธา” และพรรคก้าวไกลก็จะสามารถแสดงฝีมือที่จะปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างเต็มที่ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดความเดือดร้อน และลดความยากจนของประชาชนในประเทศตามที่ได้หาเสียงเอาไว้อย่างเต็มที่

แต่ถ้า “ไม่ถอย” โอกาสที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาลย่อมมีอยู่สูง และเมื่อนั้นโอกาสที่พลิกกลับมาเป็น “พรรคเพื่อไทย” จะเกิดขึ้นในทันที เพราะต้องยอมรับว่า “พรรคของนายห้างดูไบ” กำลังรอจังหวะที่จะพลิกเกมเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น