ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “อ้วน-อ้วนลงพุง” ด้วยไลฟ์สไตล์ในกระแสบริโภคนิยม อยากกินอะไรก็สามารถสั่งผ่านแอปฯ ได้ทันทีทันใจ แถมหลายคนเลือกหาของอร่อยๆ ชุบชูใจหลังจากเครียดจากการทำงานหนัก เย็นย่ำดึกดื่นพุ่งตัวไปร้านบุฟเฟ่ต์ ชาบู หม้อไฟ หมูกระทะ ฯลฯ นัดปาร์ตี้สังสรรค์ชนแก้วกันสุดเหวี่ยง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “ภาวะอ้วน” กำลังคุกคามคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์ออฟฟิศ
องค์กรอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรไทย มีดัชนีมวลกาย (BMI) เกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน มีภาวะ “โรคอ้วน (Obesity)” เนื่องจากใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ตั้งแต่การกินอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ รวมถึงไม่มีเวลาออกกำลังกาย
รายงานว่าสหพันธ์โรคอ้วนแห่งโลก (World Obesity Federation) เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ประจำปี 2566 คาดการณ์ว่าประชากรโลกราว 51% หรือมากกว่า 4,000 ล้านคน จะกลายเป็นผู้มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน เป็นผู้ป่วยโรคอ้วนภายในเวลาอีก 12 ปีข้างหน้า
โดยสถิตปี 2565 พบว่าทั่วโลกเป็น “โรคอ้วน” ประมาณ 800 ล้านคน ในจำนวนนี้ 39 ล้านคน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และอีกประมาณ 340 ล้านคน เป็น เด็ก และวัยรุ่นอายุ 5 - 19 ปี
“ภาวะอ้วน” นั้นป็นเรื่องผิดถือเป็นความผิดปกติของร่างกาย ที่มีปริมาณไขมันสะสมตามอวัยวะส่วนต่างๆ เช่น สะโพก ต้นขา ต้นแขน ฯลฯ และที่มองข้ามไม่ได้ คือ บริเวณช่องท้อง (Visceral fat) เรียก “อ้วนลงพุง” ซึ่งไขมันในช่องท้องเป็นส่วนที่อันตรายมาก นำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)
“โรคอ้วน” อยู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นตัวการนำไปสู่โรคเรื้อรังและโรคแทรกซ้อน นพ.บุญเลิศ อิมราพร อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่าโรคอ้วนปัจจุบันพบได้บ่อยมากขึ้นในคนวัยทำงาน โรคอ้วนนั้นเกิดจากการที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพและโรคที่ตามมาจากโรคอ้วนสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 โรคเมตาบอลิกซินโดรม ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลในเลือดสูงโรคเกาท์ กลุ่มที่ 2 โรคหัวใจและปอด ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพฤกษ์อัมพาต โรคนอนกรน, กลุ่มที่ 3 โรคทางเดินอาหารและตับ ได้แก่ กรดไหลย้อน ตับอักเสบจากไขมันเกาะตับ นิ่วในถุงน้ำดี และ กลุ่มที่ 4 โรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งตับ ลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก รังไข่ ตับอ่อนและยังส่งผลต่อร่างกายด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ข้อเข่ากระดูกเสื่อมเร็ว ปวดหลัง ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือขาดประจำเดือนขาดได้
“การพบปะสังสรรค์ตามร้านบุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่าง เพื่อคลายเครียด อาจส่งผลให้น้ำหนักเกิน เพิ่มความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไตตามมาได้ ควรกินอย่างมีสติ กินอย่างพอดี และเลือกกินสิ่งที่ดีมีประโยชน์”
นั่นคือคำสัมภาษณ์ของ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย สะท้อนพฤติกรรมของคนไทยวัยทำงานที่กำลังเผชิญภาวะอ้วน
ข้อมูลจากกรมอนามัย เผยผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยการตรวจร่างกาย ปี 2562 -2563 พบว่า ค่าเฉลี่ย BMI ของผู้ชายเท่ากับ 24.2 และผู้หญิงเท่ากับ 25.2 ถือว่าเกินกว่าเกณฑ์ปกติ โดยผู้ชายร้อยละ 37.8 และผู้หญิงร้อยละ 46.4 อยู่ในเกณฑ์อ้วน และพบว่า ผู้ชาย ร้อยละ 27.7 และผู้หญิง ร้อยละ 50.4 อ้วนลงพุง สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่ ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และในภาวะเร่งรีบกลุ่มวัยทำงานอาจเลือกกินอาหารจานด่วนที่ไม่ถูกหลักทางโภชนาการ เนื่องจากต้องการอาหารที่ทำง่ายและรวดเร็ว รวมถึงมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ
จากการสำรวจสถานการณ์สุขภาพกลุ่มวัยทำงานอายุ 15 ปีขึ้นไป พบมีภาวะอ้วน ร้อยละ 42.4 กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอตามข้อแนะนำ ร้อยละ 78.8 เพิ่มขึ้นจากจากการสำรวจครั้งก่อน ที่กินผักผลไม้ไม่เพียงพอร้อยละ 74.1 รวมถึงมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอร้อยละ 30.7
ไม่เฉพาะเป็น “โรคอ้วน อ้วนลงพุง” เท่านั้น เกี่ยวกับพฤติกรรม “กินจุ-ดื่มจัด” ของบรรดาสายบุฟเฟ่ต์ สายปาร์ตี้ ยังส่งผลให้เกิด “ไขมันพอกตับ” หรือ “ไขมันเกาะตับ” ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ตับ” มีหน้าที่สะสมไขมัน และหากตับต้องแบกรับไขมันในปริมาณมากๆ จากบรรดาอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่กินเข้าไปแบบไม่บันยะบันยัง
ภาวะการสะสมของไขมันจากการรับประทานอาหารไปแล้วใช้ไม่หมดในรูปของไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สะสมในเซลล์ตับมากกว่า 5% เป็นเวลานาน ส่งผลให้ตับอักเสบหรือเซลล์ตับตาย จนนำไปสู่การเกิดพังผืดที่ตับซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิด “โรคตับแข็ง” และเสี่ยงต่อ “มะเร็งตับ”
มีข้อมูลชี้ชัดว่าโรคอ้วนไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจ ประมาณการณ์ว่า สาธารณสุขทั่วโลกจะใช้งบประมาณ 13.2% คิดเป็นเงิน 9.9 แสนล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 29 ล้านล้านบาท เพื่อกำกับดูแลปัญหาสุขภาพที่ตามมาจากภาวะอ้วนของประชากร
สำหรับประเทศไทยคาดการณว่าจะเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ มูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 1.27% ของ GDP ทั้งประเทศ และถ้าปัญหายังไม่ถูกแก้ในอีก 40 ปีข้างหน้า อาจกระทบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้สูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.88% ของ GDP ซึ่งนับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก เปิดเผยว่าความสูญเสียดังกล่าวคิดเป็นค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct cost) สำหรับการรักษาพยาบาล เกือบ 5 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางอ้อม 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงของแรงงาน คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อคนที่ 2,970 บาท และอาจสูงถึง 45,450 บาทต่อคน ในปี 2603 ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข
นอกจากนี้ ในกลุ่มวัยทำงานมีปัญหาเรื่องสุขภาพโดยสาเหตุเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การบริโภคอาหาร การปฏิบัติตนการออกกำลังกาย เป็นต้น และจากข้อมูลด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2560 - 2562 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาล ทราย 2.5-26 ล้านตันต่อปี และปี 2562 คนไทยดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเฉลี่ย 3 แก้วต่อวัน เฉลี่ยแล้วคนไทยกินน้ำตาลถึง 25 ช้อนชาต่อวัน ขณะที่กรมอนามัยแนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา (เกินไปถึง 4 เท่า)
อย่างไรก็ดี ภาครัฐได้ปรับเกณฑ์ความหวานของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศไทยให้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน โดยปรับลดเกณฑ์ความหวานของการรับรอง “สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ” จากร้อยละ 6 ให้เป็นร้อยละ 5 เท่ากับหวานน้อยสั่งได้ ภายใต้นโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” ซึ่งมีภาคธุรกิจแฟรนไซส์เครื่องดื่มรายใหญ่เข้าร่วมกว่า 27 แบรนด์ รวมทั้งร้านค้าที่เป็น Local Brand ทั่วประเทศ อีกจำนวนกว่า 2,355 ร้าน
ไม่เพียงเท่านั้น สถานการณ์โรคอ้วนในเด็กเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญ จากการเฝ้าระวังภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนในเด็กของกระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) วันที่ 16 ก.พ. 2566 พบว่า เด็กอายุ 0-5 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 9.13% เด็กวัยเรียน 6-14 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 13.4% และเด็กวัยรุ่น 15-18 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 13.2%
จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในเด็ก พบว่า เด็กประมาณ 1 ใน 3 คน ดื่มนมรสหวานทุกวัน กินขนมกรุบกรอบทุกวัน และดื่มน้ำอัดลมทุกวัน และ 1 ใน 5 คน ดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ทุกวัน ส่วนการเลือกซื้อของเด็กไทย ปี 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ซื้ออาหารตามความชอบ 27.7% มีเพียง 8.1% ที่คำนึงถึงคุณค่าทางอาหาร คาดการณ์ภายในปี 2573 ประชากรอายุต่ำกว่า 20 ปี จะมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงขึ้นอีกเกือบร้อยละ 50
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดพฤติกรรมการกินอาหารที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน อาหารทอด มัน อาหารจานด่วน ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี และขนมหวานต่างๆ รวมทั้งเด็กมีภาวะตัดสินใจเลือกซื้ออาหารน้อย ประกอบกับกลยุทธ์การตลาด ลด แลก แจก แถม ชิงโชค ชิงรางวัล ทำให้การกินอาหารและเครื่องดื่มหวาน มัน เค็มกลายเป็นเรื่องปกติ อาจส่งผลไปยังสุขภาพในอนาคตของเด็กไทย
ในประเด็นนี้คณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเสนอมาตราการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องและคุ้มครองเด็กจากการตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ปกป้องและคุ้มครองเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNCRC) จากการตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
2. ควบคุมผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบตอสุขภาพเด็กที่ไม่ผ่านเกณฑ์การจำแนกอาหารมาตฐานโภชนาการของประเทศไทย โดยสำนักโภชนาการ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำเกณฑ์ และ 3. แนวทางในการควบคุมการตลาดฯ ควรพิจารณา ตามชุดข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การยูนิเชฟ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) และหลักส่วนประสมทางการตลาด ภายใต้ความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
อีกทั้งเด็กอ้วนยังมีแนวโน้มเป็นผู้ใหญ่อ้วนมากถึง 5 เท่า ไม่เพียงผลกระทบด้านสุขภาพต่อตนเอง ยังส่งผลต่อต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพในอนาคต “โรคอ้วน” นับเป็นปัญหาทางสาธารณสุขระดับโลก เป็นอีกหนึ่งโจทย์ข้อใหญ่ของรัฐบาลไทยในการรับมือ