เวลาเปลี่ยน-คนก็เปลี่ยน นี่แทบจะเป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์...ยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนผู้บริหาร ก็ยิ่งจะเอาแน่นอนกับนโยบายที่ผู้บริหารคนก่อนได้ทำเอาไว้ ขนาดลงนามในสัญญาระหว่างประเทศก็เถอะ เช่น รัฐบาลทรัมป์ฉีกสัญญาที่โอบามาทำไว้กับอิหร่านอย่างไม่น่าเชื่อ
ดูอย่างไต้หวันวันนี้ ก็ช่างแตกต่างกับไต้หวันในเรื่องนโยบายต่างประเทศเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะในสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของอดีตปธน.หม่า อิงจิ่ว มีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับปักกิ่งขนาดมีประชุมสุดยอดระหว่างหม่ากับสีที่สิงคโปร์ด้วยซ้ำ
และยิ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปีที่แล้ว สมัยที่จอมพลเจียง ไคเช็ก เป็นผู้นำไต้หวัน...ตอนนั้นไต้หวันคือ ฐานที่มั่นสุดท้ายของก๊กมินตั๋งที่เป็นศัตรูกับปักกิ่งที่ประธานเหมาได้ครอบครองอยู่ นับเป็นคู่อริที่ไม่เผาผีกันทีเดียว กับสุภาพบุรุษจีนคู่นี้
หลายคนแทบไม่อยากเชื่อว่า เวลาเปลี่ยนไป พรรคก๊กมินตั๋งก็ได้ผูกไมตรีกับจีนถึงกับไปลงทุนในจีนมากมาย ซึ่งบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันที่ชื่อ Foxconn ก็เป็นบริษัทไต้หวันรุ่นแรกที่บุกเบิกไปลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะมีค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าที่ไต้หวัน และจีนภายใต้เติ้งก็ใช้นโยบายแมวสีอะไรก็ได้ที่ปราบหนูได้ ดังนั้น ถึงยุคลูกหลานของก๊กมินตั๋งก็หันไปลงทุนในจีน ตักตวงผลประโยชน์จากที่จีนเต็มใจเปิดให้เข้าลงทุนจนทำให้ฟ็อกซ์คอนน์เติบใหญ่ จนกลายเป็น Supplier ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทแอปเปิลในที่สุด
หลังจากรัฐบาลของปธน.ไช่ อิงเหวิน เข้ามาบริหารประเทศ ก็ใช้นโยบายแข็งกร้าวกับปักกิ่ง ขนาดร่ำๆ จะประกาศอิสรภาพ โดยเน้นว่า คนไต้หวันเป็นชาวไต้หวันไม่ใช่ชาวจีนที่ปักกิ่ง (จริงๆ มีเชื้อสายญี่ปุ่นเข้ามาปะปนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพญี่ปุ่นได้ขึ้นบกที่ไต้หวันด้วย) และยุยงปลุกปั่นส่งเสริมเหล่านักศึกษา และปัญญาชนที่ฮ่องกง ให้ลุกฮือต่อต้านนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบที่เติ้งได้สร้างนวัตกรรมขึ้นมา (และจะใช้กับทั้งฮ่องกง, มาเก๊า รวมทั้งไต้หวัน)
ยิ่งจีนแผ่นดินใหญ่ได้เติบใหญ่ขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจและแสนยานุภาพ จนกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองรองลงมาจากสหรัฐฯ ทำให้จีนกลายเป็นคู่แข่งหรือปรปักษ์อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ (ที่ได้ตั้งตนเป็นมหาอำนาจเดี่ยวที่เป็นตำรวจโลก และเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของโลก คอยบังคับให้ทั้งโลกต้องปฏิบัติตาม) โดยสหรัฐฯ ยังเลี่ยงที่จะเรียกจีนว่าเป็น “ศัตรู” แต่ใช้เป็น “คู่แข่ง” (Competitor หรือ Rival หมายเลขหนึ่ง) แต่ทางนิตินัย และทางพฤตินัยแล้ว สหรัฐฯ ถือว่าจีนเป็นศัตรูนั่นเอง
และไต้หวันก็กลายมาเป็นหมากสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังจะใช้ เพื่อหลอกล่อให้จีนต้องทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อนำไต้หวันกลับมาเป็นเนื้อเดียวกับจีนให้ได้ ถึงขนาดสี จิ้นผิง ประกาศกร้าวเมื่อครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า ถ้าอาจจะต้องใช้กำลัง-ก็ต้องทำ
สหรัฐฯ ก็ลงทุนลงแรงสนับสนุนให้รัฐบาลของไช่ อิงเหวิน มีท่าทีที่ยิ่งแข็งกร้าว และท้าทายปักกิ่งมากยิ่งขึ้น โดยพร้อมขายอาวุธสมรรถนะดีเยี่ยมให้กับไต้หวัน...เพื่อไว้ปกป้องไต้หวันในกรณีที่ถูกจีนใช้กำลังรุกราน (ช่างเป็นแผนที่ลึกล้ำของสหรัฐฯ ที่ราดน้ำมันเข้าใส่กองไฟที่ไต้หวันให้ลุกโชน เพื่อจะได้ขายอาวุธให้ไต้หวันมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างงานให้แก่คนอเมริกัน ตามดีเอ็นเอของนักค้าสงครามที่สหรัฐฯ เป็นมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศทีเดียว)
ไม่เพียงการเดินทางของประธานสภาผู้แทนเพโลซี ไปเยือนไต้หวันเมื่อกลางปีที่แล้ว แต่ประธานสภาผู้แทนคนใหม่แมคคาร์ธีก็ได้วางแผนจะเดินทางไปไต้หวันทันทีที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง เพื่อยั่วยุให้ปักกิ่งต้องมีปฏิกิริยาที่แข็งกร้าวตอบโต้ และสร้างภาพลักษณ์ทางลบแก่ปักกิ่งมากยิ่งขึ้น
แต่ในนาทีที่ปธน.ไช่กำลังจะจับมือกับประธานสภาแมคคาร์ธี ก็มีเสียงประกาศจากนายเทอร์รี กัว (ผู้ก่อตั้ง Foxconn และอดีตซีอีโอ) ได้ประกาศก้องแก่ชาวไต้หวันว่า เขาพร้อมสมัครเป็นตัวแทนพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อแข่งขันเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน โดยชี้ให้ชาวไต้หวันได้ตระหนักว่า ถ้าพรรค DPP ของปธน.ไช่ ยังคงเป็นผู้นำต่อมา จะเกิดสงครามระหว่างจีนกับไต้หวัน เป็นสงครามในช่องแคบไต้หวันที่จะทำให้ชาวไต้หวันจะอยู่อย่างไม่เป็นสุขอีกต่อไป ตรงข้าม ถ้าเขาได้เป็นปธน.ไต้หวัน จะมีสัมพันธ์ที่ดีกับปักกิ่ง; บ้านเมืองไต้หวันก็จะร่มเย็นเป็นสุข โดยเฉพาะเขามีสัมพันธ์ (ส่วนตัว) ที่ดีกับปธน.สี จิ้นผิงด้วย!
โอกาสที่พรรคก๊กมินตั๋งจะทวงตำแหน่งปธน.ไต้หวันคืน...ก็มีอยู่สูงมากเพราะขณะนี้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในหลายๆ จังหวัด ปรากฏว่าพรรคDDP ประสบการปราชัย แม้แต่นายกเทศมนตรีเมืองไทเปก็ตาม จนนางไช่ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วให้รองหัวหน้าพรรคขึ้นมารับตำแหน่งแทน ซึ่งเขาก็เป็นรองปธน.อยู่ขณะนี้ และจะเป็นตัวแทนพรรคDDP มาแข่งกับนายเทอร์รี กัว นั่นเอง
แค่เปลี่ยนรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับปักกิ่งมาเป็นรัฐบาลที่เป็นมิตร ปักกิ่งก็ไม่ต้องเปลืองกระสุนที่จะต้องมาใช้กำลังกับไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งน่าจะกำลังรอวันนั้นอยู่
ความจริงสหรัฐฯ ก็เคยเปลี่ยนรัฐบาลแล้วในหลายประเทศ เพื่อให้หันนโยบายมาเป็นมิตรกับสหรัฐฯ เช่นที่ทำสงครามกับซัดดัม ฮุสเซน, การโค่นกัดดาฟีที่ลิเบีย,การเปลี่ยนรัฐบาลเอียงซ้ายในอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ให้หันมาสยบให้วอชิงตัน; รวมทั้งล่าสุดคือ การทำรัฐประหารเปลี่ยนรัฐบาลที่ยูเครน ที่เป็นกลาง กลายมาเป็นรัฐบาลฝักใฝ่นาโตและสหรัฐฯ ได้สำเร็จเมื่อ 9 ปีที่แล้วนั่นเอง