xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พิธา-นาธาน? ดรามา “งานศพพ่อ” ย้อนศร ดับเส้นทางฝัน “นายกฯ ทิม” !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เข้าโค้งสุดท้าย เตรียมมุ่งสู่ทางตรง ศึกชี้ชะตาประเทศไทย เลือกตั้ง 2566 ที่จะกาบัตรกันในวันที่ 14 พ.ค.66 แต่ละพรรคการเมืองปล่อยของกันแบบไม่มีกั๊ก งัดทุกกลเม็ดเด็ดพลายออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแนวอวยตัวเองให้ดีเลิศประเสริฐศรี หรือเตะสกัดขัดขาคู่แข่ง

โดยจะเห็นได้ว่า ช่วง 1-2 สัปดาห์หลังเทศกาลสงกรานต์ เป็นช่วงที่บรรดาพรรค “ตัวเต็ง-ตัวตึง” ต่างเริ่มปรับกลยุทธ์สู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร

ชัดที่สุดไม่พ้นเจ้าของแชมป์อย่าง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่หลังไปร่วมสาดกระสุดน้ำเล่นสงกรานต์กับประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างเป็นกันเองที่ถนนข้าวสาร เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

เสมือนเป็นการ “ปลดล็อก” ตัวให้ลงจาก “หอคอยงาช้าง” วางโปรแกรมลงพื้นที่หาเสียงถี่ยิบ ไม่เฉพาะใน กทม. แต่บุกทะลวงไปถึงถิ่นคู่แข่งที่เป็น “ของแสลง” ทั้ง จ.เชียงใหม่ หรือ จ.อุดรธานี อีกด้วย แถมบรรยากาศก็ดูดี ไม่ได้น่าหวาดวิตกอย่างที่กังวลกัน

จนเชื่อว่า “ลุงตู่” อาจบ่นเสียดายกับคนรอบข้างว่า “รู้งี้ ทำตั้งนานแล้ว” ก็เป็นได้

ช่วงเวลาที่เหลือก็คงเห็น “ลุงตู่” ใช้เวลานอกราชการ และลาราชการ ตะลุยหาเสียงครบทุกภูมิภาคอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยเน้น “เซฟโซน” ในพื้นที่ภาคใต้ หรือ กทม.บางส่วน ที่ถือเป็นพื้นที่ความหวังให้ “ค่ายลุงตู่” ได้พอมี ส.ส.สมศักดิ์ศรี “เต็งหนึ่ง” ในฐานะผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา

จากที่ล่าสุดยังคงประเมินว่า “ค่ายลุงตู่” มีความหวังในการคว้าที่นั่ง ส.ส.อยู่ในระดับแค่ 20-30 ที่นั่งเท่านั้น โดยมีเป้าหมายต้องปีนไปให้ได้ถึง 70 ที่นั่งขึ้นไป จนถึงทะลุ 100 ที่นั่ง เพื่อเป็นที่หนึ่งของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” หรือฝ่ายอำนาจปัจจุบัน

ก็อยู่ที่ว่า “แคมเปญ” ในช่วงสุดท้ายของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะปั้นให้ “ลุงตู่” ได้เถลิงเก้าอี้นายกฯ สมัยที่ 3 ได้อย่างที่พรรคพลังประชารัฐเคยทำได้กับแคมเปญ “เลือกสงบ จบที่ลุงตู่” เมื่อ 4 ปีก่อนจนได้ ส.ส.ไปถึง 120 ที่นั่งได้หรือไม่
โดยขณะนี้ก็เริ่มมีวี่แววว่า “ทีมงานลุงตู่” ยังคงยึดคอนเซปต์เดิมในการชูความโดดเด่นของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะ “มิสเตอร์ความมั่นคง” เพื่อปลุก “ติ่งลุงตู่” ให้ออกมาเทใจให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เห็นได้จากแฟนเพจเฟซบุ๊ก “ลุงตู่ตูน” ที่ว่ากันว่าเป็น “สายตรงนายกฯ” เริ่มปล่อยคอนเทนต์ออกมาลองเชิงถามใน “เอฟซีลุงตู่” โดยนำเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง หรือการทุจริตจำนำข้าว มารีรันปลุกกระแสบ้างแล้ว

ด้าน “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่หมายส่ง “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 เช่นกัน ก็ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ “บิ๊กป้อม” ให้เป็น “มิสเตอร์ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อย่างต่อเนื่อง

คู่ขนานไปกับภาพลักษณ์ความเป็นกันเองเข้าถึงง่าย ทั้งจากการลงพื้นที่ที่พยายามทำให้เหมือนไม่ได้จัดฉาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินตลาด การแวะรับประทานอาหารร้านดัง แถมมีแฟนเพจเฟซบุ๊ก “FC ลุงป้อม” ที่งัดกลยุทธ์ “วิดีโอคอลทัวร์” โดยส่งทีมงานไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อพบปะประชาชนหลากหลายกลุ่ม แล้วให้ทีมงานวิดีโอคอลหา “พล.อ.ประวิตร” เพื่อให้ประชาชนได้พูดคุยโดยตรงกับ “บิ๊กป้อม” ด้วย

อย่างไรก็ดี ดูเหมือน “ทีม เสธ.” จะอ่านเกมว่า แคมเปญ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ดูจะไม่สามารถดึงเสียงจาก “ฝ่ายซ้าย” ที่เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคก้าวไกล ได้ ก็เลยเริ่มหันมาดึงเสียง “ฝ่ายขวา” ที่ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของ “น้องตู่” บ้าง

ผ่านบทบาท “ขวาจัด” ของ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่กลายเป็นมือหาเสียงคนสำคัญของ “ลุงป้อม” ทั้งบนเวทีดีเบต ที่สร้างไวรัลได้โดยตลอด หรือการให้ความเห็นผ่านการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชน จนถูกขนานนามว่า “ตัวตึง” ในการหาเสียงเลือกตั้งงวดนี้

สังเกตกันว่า “ชัยวุฒิ” ถูกมอบหมายภารกิจให้ดึงเสียง “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” โดยการฟาดฟันกับพรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล อย่างไม่ไว้หน้า หรือการตอบโต้ประเด็นแหลมคมเกี่ยวกับ “สถาบันเบื้องสูง” แบบกัดไม่ปล่อย โดยเฉพาะดรามา “ไข่ต้ม” ที่ “เสี่ยโอ๋” ชิงเล่นแบบไม่กลัว “ทัวร์ลง”

ถือเป็นการปรับกลยุทธ์ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ใช้บทบาทของ “โอ๋ เมืองสิงห์” ที่มาเสริมกลยุทธ์ที่เคยหวังพึ่งแต่ “บ้านใหญ่” เพื่อปั้นที่นั่ง ส.ส.ให้ “ค่ายลุงป้อม” ที่เดิมมีการประเมินว่า ไม่น่าจะเกิน 40-50 ที่นั่งให้กระเตื้องขึ้นมา

ที่ดูนิ่งๆไป คงเป็นพรรคตัวแปรสำคัญอย่าง “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ และ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์น่าสนใจว่า สปอตไลท์ไม่ได้อยู่ที่ “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ที่แทบจะไม่มีซีนในการหาเสียงเลือกตั้งงวดนี้ ไม่สมกับการเป็นหัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯของพรรคเก่าแก่ที่สุด

สปอตไลท์ของ “ค่ายสีฟ้า” จับจ้องไปที่ “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 11 ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยามลงพื้นที่ยังพอสร้างสีสันเรียกกระแสได้บ้าง ดีกว่า “หัวหน้าอู๊ด” ที่ดูจะ “ไม่ขาย” เท่าที่ควร

หนักไปกว่านั้นผู้คนยังให้ความสนใจไปที่ “จารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศเว้นวรรคไม่ลงสมัคร ส.ส. แต่ก็แสดงสปิริตไปร่วมลงพื้นที่หาเสียง และขึ้นปราศรัยในหลายเวที

พูดได้ว่า บทบาทของ “มาดามเดียร์-จารย์มาร์ค” ยังพอตรึง “ติ่งประชาธิปัตย์” ไว้ได้บ้าง และประเมินว่า ขี้หมูขี้หมา “ค่ายเซราะกราว” ก็ยังขายได้ในพื้นที่ภาคใต้ และบางส่วนของ กทม. กับเป้าหมาย 40-50 ที่นั่ง

แต่หากต่ำกว่า 52 ที่นั่ง ก็หมายถึงการสิ้นสุดเส้นทางการเมืองของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่งวดนี้เว้นวรรคไม่ลงสมัคร ส.ส.ราวกับรู้อนาคตตัวเองล่วงหน้า

ในส่วนของ พรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ดูเหมือนความเคลื่อนไหวจะดรอปลงไปเล็กน้อยในระยะหลัง ปรับกลยุทธ์จากการตะเวนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ในหลายพื้นที่ มาเป็นการเปิดเวทีย่อยในพื้นที่เป้าหมายแทน

ซึ่งก็คงเป็นไปตามแผนการที่ “ครูใหญ่เซราะกราว” เนวิน ชิดชอบ วางไว้อย่างแยบคลาย จนแม้ว่ากระแสตามสำนักโพลต่างๆ จะไม่ขึ้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลน “ค่ายสีน้ำเงิน” และประเมินว่า 50 ที่นั่งคงไม่หนีไปไหน แต่จะไต่ไปได้ถึง 70-80 ที่นั่ง หรือ 120 ที่นั่งตามที่ “ครูใหญ่เน” เคยประกาศไว้ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ “ทีเด็ด” ที่จะปล่อยออกมาช่วงสุดท้าย

ข้ามปากมาที่ขั้วตรงข้าม หรือฝ่ายค้านปัจจุบัน แม้จะถูกวางให้เป็น “เต็งหาม” ที่จะได้เก้าอี้ ส.ส.มากที่สุด แต่ดูเหมือนราศี “พรรครัฐบาล” ก็ยังไม่จับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย อย่างที่ควรจะเป็น ด้วยผู้คนยังไม่เชื่อว่า จะสามารถ “แลนด์สไลด์” ได้สำเร็จ โดยเฉพาะเป้า 310 ที่นั่งที่ดูจะเป็นไปได้ยาก หากไม่มี “ทีเด็ด” ในช่วงท้าย

ด้วยสถานการณ์ของพรรคเต็งหนึ่งวันนี้ ที่ยังคงมีการประเมินว่า อาจจะได้ ส.ส.ราว 200-220 ที่นั่งจากทั้ง 2 ระบบเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่หมิ่นเหม่กับการได้ตั้ง หรือไม่ได้ตั้งรัฐบาล ที่ยังต้องการถึง 376 เสียงในการเลือกนายกฯ

อีกทั้ง “ปั่นกระแส” การใช้ยุทธศาสตร์เลือกให้ขาด ไม่แบ่งคะแนนให้ใคร ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง พร้อมประกาศตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ที่ทำเอาพรรคพันธมิตรเดิมอย่าง พรรคก้าวไกล ค้อนตาเขียว เพราะรู้ดีว่า เป็นความพยายามปลุกกระแสให้ฝ่ายตนเพลี่ยงพล้ำ

ทว่า “ไพ่เด็ด” อย่าง “เป๋าเงินดิจิทัล” ที่จะแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่อุตส่าห์วางไว้ให้เป็นนโยบายเรือธงในการเปิดตัว “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรค ไม่เพียงแต่ “ไม่ปัง” ยังหนักไปทาง “แป้ก” เสียด้วยซ้ำ เพราะหลังจากเปิดนโยบายมาร่วมเดือน ก็ยังต้องวนเวียนตอบคำถามถึงที่มางบประมาณกว่า 5.6 แสนล้านบาทที่ต้องใช้ ซึ่งถึงวันนี้ “คนเพื่อไทย” ก็ตอบแบบเคลียร์คัทชัดเจนไม่ได้ ออกไปทาง “ตะแบง” ว่า สามารถหาเงินได้ และไม่ใช้วิธีการกู้เงินด้วย

นโยบาย “เป๋าเงินดิจิทัล” ก็เลยกลายตัวฉุดไม่ให้กระแสพรรคเพื่อไทยขยับไปไหน

กลับกันกลายเป็น “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่มาแรงในหลายๆ โพล ถึงขั้นที่ว่า “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พลิกแซง “มาดามอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร แดนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ไปแล้ว

โดยมีการประเมินกันว่าเหตุที่กระแสพรรคเพื่อไทยที่เป็นอันดับหนึ่งขยับไม่ออก
ไม่เพียงแต่ผลกระทบจากนโยบายขายฝันเท่านั้น ยังมีเรื่องจุดยืนทางการเมือง ที่มีครหาว่าพร้อมจับมือกับ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอีกด้วย เป็นปัจจัยทำให้คะแนนพลิกกลับมาเทให้ พรรคก้าวไกล ที่มีจุดยืนชัดในการไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคในเครือข่าย คสช. อันหมายถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ


อย่างไรก็ดี แม้กระแสพรรคก้าวไกลจะมาแรง รวมถึงตัว “พิธา” ที่โดดเด่นในทุกเวทีที่ไปร่วมดีเบต จน “ติ่งสีส้ม-ติ่งสามนิ้ว” เริ่มฝันหวานจะได้เห็น “นายกฯ ทิม” ขึ้นเถลิงเก้าอี้ผู้นำประเทศกันแล้ว แต่ในทางการเมืองก็รู้ดีว่า ฐานของ “ค่ายสีส้ม” ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอในการดัน “พิธา” ขึ้นเป็นนายกฯ โดยเฉพาะในส่วนของ ส.ส.เขต ที่ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะเชื่อว่า คงไม่อาจพลิกล็อกเอาชนะ “นักเลือกตั้ง” ได้แบบพลิกแผ่นดินอย่างแน่นอน

ส่วนตัว “เสี่ยทิม” เอง ก็ยังอยู่ใต้เงาของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ ทำให้กระแสฟีเวอร์ได้ไม่เท่าครั้งที่ “เสี่ยเอก” นำทัพอนาคตใหม่ลงเลือกตั้งเมื่อปี 2562

จึงแทบปิดประตูตายสำหรับพรรคก้าวไกลในการชนะเลือกตั้ง และอ่านกันว่าเต็มที่อาจจะได้ ส.ส.ราว 40-50 ที่นั่งเท่านั้น อีกทั้งยังต้องปิดประตูในการจะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล จาก “จุดยืน” ที่ไม่มีพรรคไหน แม้แต่พรรคเพื่อไทยรับได้ด้วย

ในสถานการณ์ที่ดูจะ “เป็นบวก” กับพรรคก้าวไกล ก็ดันเกิดดรามาที่ “ไม่บวก” หลัง “เสี่ยทิม” ไปให้สัมภาษณ์กับ “เสี่ยยุทธ” สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวซูเปอร์สตาร์ ในรายการดังที่เชิญเหล่าแคนดิเดตนายกฯ ไปสัมภาษณ์ โดยมีช่วงหนึ่งที่ถามถึงจุดยืนต่อการรัฐประหาร

ซึ่ง “พิธา” ได้เล่าย้อนว่า เป็นผู้หนึ่งที่ถูกผลกระทบจากการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยตรง เพราะขณะนั้นอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ก็ถูกกักตัวจนไปงานศพพ่อไม่ทัน อีกทั้งยังถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน จนไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพด้วย





รูปภาพที่นายพิธายกมาเพื่อชี้แจง
ฟังผิวเผินก็เป็นการตอกย้ำความเลวร้ายของการรัฐประหาร และตอกย้ำผลกระทบที่ถูกคณะรัฐประหารกระทำโดยตรง เพื่อย้ำจุดยืนในการต่อสู้กับมรดกคณะรัฐประหาร ที่เป็นจุดยืนสำคัญของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้

ทว่า ดรามาเรียกคะแนนสงสารของ “พิธา” กลับถูก “จับโป๊ะ” โดยมีการเปรียบเทียบบทสัมภาษณ์ล่าสุด กับบทสัมภาษณ์ในอดีต ที่มี “เส้นเรื่อง” เดียวกัน แต่รายละเอียดแตกต่างกัน

โดย “เสธ.นิด” พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกับ พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ บิดาของ “พิธา” ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “ผมจะ “ชี้พฤติกรรมที่บ่งชี้ว่านักการเมืองคนนี้ ที่ไม่มีธรรมะ ขาดความสัตย์ และมีอคติอย่างไร้ยางอาย ไม่มีหิริโอตตัปปะ” และ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เป็นนักการเมืองคนนั้นที่ผมจำเป็นต้องชี้ถึงจุดอ่อนของการเป็นผู้นำทางการเมือง และไม่ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง”

“เสธ.นิด” ระบุต่อว่า “เรื่องที่นายพิธาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ 2 วาระ 2 สถานี 2 คน ที่สัมภาษณ์แต่เนื้อหาคนละเรื่อง ที่สำคัญ นายพิธาจำวันเสียชีวิตของบิดาไม่ได้ ซึ่งมีคำให้สัมภาษณ์ในคลิป ซึ่งในคลิปนายพิธาให้สัมภาษณ์ว่า คุณพ่อตายวันที่ 19 ก.ย.49 แต่ความจริงคุณพ่อเขาตาย 18 (วันที่ 18 ก.ย.49) วันตายพ่อยังจำไม่ได้ดีเลย และ/หรือไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด (ผมมีหนังสืองานศพคุณพ่อของเขายืนยันได้) ทั้งยังโกหกเรื่องถูกจับ หรืออะไรทำนองนั้น แต่เขาสร้างเรื่องขึ้นมาอ้างในการให้สัมภาษณ์ครั้งกับนายสรยุทธ

นายพิธา ในคลิปหนึ่ง เมื่อให้สัมภาษณ์ครั้งแรก เล่าว่า ตัวเองเป็นนักศึกษาต้องการกลับบ้านมางานศพคุณพ่อ แต่อีกคลิปหนึ่ง สัมภาษณ์ครั้งหลัง อ้างว่า เป็นที่ปรึกษา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ขณะนั้น ผมคิดว่า “ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ย่อมรู้ดี และคณะเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ก็สามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่จริง”

นายพิธา มีอคติจงใจที่จะชี้นำการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพราะนายพิธาเสียประโยชน์แน่นอน เพราะเป็นหลานอาของ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีคุก และการให้สัมภาษณ์เช่นนั้นเป็นการขอความเห็นใจจากสังคมเสมือนว่า “เขาถูกรังแกโดยฝ่ายทหาร” ซึ่งไม่เป็นความจริง

ต่อมา “เสธ.นิด” ได้โพสต์ข้อความในเวลาไล่เลี่ยกันอีกว่า “ข้อพิจารณาเพิ่มเติมการให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นักการเมือง ในคำให้สัมภาษณ์กับนายสรยุทธ 2 เรื่อง ที่เขากุขึ้นมา

1.ถูกควบคุมตัวที่กองทัพอากาศ ดอนเมือง จนมางานศพไม่ทัน แท้จริงแล้ว เขาถูกกักตัวที่ กองทัพอากาศ เพราะวันนั้น คมช.ยึดอำนาจแล้ว และตัวเขาเองก็ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ๒๕๕๒ ว่า “ถูกกักตัวเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะว่าเหตุการณ์กำลังตึงเครียด (ระวังกองทัพอากาศอาจจะฟ้องหมิ่นประมาทให้ร้ายกองทัพอากาศได้นะ)”

แต่มาให้สัมภาษณ์ปีนี้ว่า “ถูกกักตัวจนมางานศพพ่อไม่ทัน” งานสวดศพคุณพงษ์ศักดิ์นั้น คืนแรกผมก็ไปและได้เจอนายพิธาด้วย”

2.นายพิธา กุเรื่องให้เป็นดรามาว่า “ต้องวิ่งหาเงินทำศพพ่อ” ไร้สาระจริง อยากสร้างดรามาเพื่อให้คนสงสาร คุณพงษ์ศักดิ์ เป็นนักธุรกิจฐานะเศรษฐี

อีกทั้งตระกูลนี้มีฐานะร่ำรวยจากเป็นผู้นำเข้าเชือกมะนิลาผู้เดียวในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา มีห้างในสำเพ็ง ก่อนคุณพงษ์ศักดิ์เสียชีวิต คุณพงษ์ศักดิ์บริหารกิจการกว่า ๑๐ บริษัท นายพิธา มาสร้างดรามาเขาไม่มีเงินเพราะถูกควบคุม

ตามมาด้วย นริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กถามไปถึง “เสี่ยทิม” ว่า “การที่คุณได้นั่งเครื่องบินร่วมกับ ขรก.อีก 20-30 คน จาก นิวยอร์ก กลับ กทม. โดยเครื่องพิเศษนี้ลงที่สนามบิน บก.ทอ. ในกองทัพอากาศ เพราะเป็นเครื่องเที่ยวบินพิเศษที่รัฐบาลตอนนั้นเช่าเหมาลำจาก TG (เครื่อง A340-500) พาคุณทักษิณ (ชินวัตร นายกฯขณะนั้น) ไปนิวยอร์ก แต่พอคุณทักษิณถูกปฏิวัติปี 49 เครื่องบินเลยต้องบินตีกลับ กทม.พร้อม ขรก.ที่เหลือซึ่งต้องเดินทางกลับไทยพร้อมเครื่องตามที่คุณเล่าในรายการคุณสรยุทธ และ คุณแหม่ม สุริวิภา นั้น เป็นเพราะคุณอาของคุณ ที่ชื่อ ผดุง (นามสกุลเดียวกับคุณ) ที่ทำงานเป็นมือขวาคนสนิทของคุณทักษิณ ฝากให้คุณได้นั่งมากับเครื่องลำนั้นใช่มั้ยครับ?

คุณโชคดีจังนะครับ นี่ถ้าเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาคงต้องหาไฟลต์บินกลับกันเองจนวุ่นวายและลำบากกว่านี้มาก”

ทั้งโพสต์ของ “เสธ.นิด” และ “ทูตนริศโรจน์” ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ “พิธา” ต้องโพสต์งัดหลักฐาน และอัดคลิปวิดีโอออกมาชี้แจง โดยยืนยันว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาอธิบายหนึ่งในเหตุการณ์บีบหัวใจผมที่สุดในชีวิต นั่นคือการสูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่รักอย่างกระทันหัน โดยที่ไม่ได้มีโอกาสร่ำลากัน ในช่วงการรัฐประหาร 2549 ต่อประเด็นที่มีความพยายาม นำบทสัมภาษณ์ของผมกับคุณสรยุทธ์เมื่อไม่สัปดาห์ก่อน ไปเปรียบเทียบกับบทสัมภาษณ์ของผมกับคุณหนูแหม่ม สุริวิภา เมื่อสิบกว่าปีก่อน ว่าผมให้สัมภาษณ์ 2 ครั้ง ไม่ตรงกัน

ผมขอยืนยันความจริงโดยรูปภาพ 3 ภาพครับ เพื่อให้กระจ่างและจะกลับไปมีสมาธิหาเสียงต่อครับ
รูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่างานศพของคุณพ่อผมนั้นเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 – 24 กันยาครับ ต่อคำถามว่า สรุปแล้วมาทันหรือไม่ทันกันแน่ คำตอบ คือ มาทันครึ่ง(วันที่ 22-24) “และ” ไม่ทันครึ่ง (วันที่ 18 – 20 ) ครับ ทั้งการสัมภาษณ์ของคุณสุริวิภากับของคุณสรยุทธ์จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกันครับ

รูปที่ 2 อ้างอิงถึง ข่าวจาก Channel News Asia รายงานว่า วันที่ 21 กันยายน 2549 เครื่องบินรัฐบาลไทยที่กลับสู่ประเทศไทยหลังการรัฐประหาร โดยลงจอดที่สนามบินกองทัพอากาศ ในช่วงประมาณ 12.40 น. ซึ่งเป็นเครื่องบินลำที่ผมโดยสารมาจากนิวยอร์กและลอนดอน จากรายงานข่าวจะพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวและตรวจสอบบนเครื่องบินอย่างละเอียด ผมถูกกักตัวอยู่ 5-6 ชั่วโมง กว่ารถบัสจะออกมา กว่าจะมีรถของผมมารับ ก็ถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ผมจำได้ว่าถึงบ้านก่อนคุณแม่และน้องที่ใส่ชุดดำกลับมา แล้วเราก็กอดกันเป็นครั้งแรกหลังสูญเสียคุณพ่อ

ส่วนเรื่องข่าวที่มี บุคคลอ้างว่าเป็นเพื่อนพ่อ บอกว่าเห็นผมในงานศพพ่อตั้งแต่วันแรก ซึ่งก็คือ วันที่ 18 คงจะเข้าใจผิดนะครับ เป็นไปไม่ได้ครับ จำเป็นน้องชายผมรึเปล่า เพราะหลักฐานก็ชัดว่าวันนั้น ผมยังอยู่ที่อเมริกาอยู่เลยนะครับ

และ รูปที่ 3 คือรูปถ่ายของครอบครัวและผมในงานศพของคุณพ่อ ในวันที่ 22 กันยายน 2549 หลังจากนั้น ก็เก็บศพคุณพ่อไว้อีกน่าจะ 100 วันก่อนเผาครับ”

ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยว่า “อย่างที่ผมเคยได้พูดในหลายโอกาส เมื่อคุณเข้าสู่การเมือง และโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ก็จะมีการโจมตีกันมาเรื่อยๆ จากนี้เป็นต้นไป ซึ่งผมก็ทราบดีว่าเป็นปกติของการเมือง ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร ขอให้ทุกคนมีสมาธิกับการหาเสียงและเดินหน้าแก้ไขปัญหาของประชาชนต่อไปครับ”

เมื่อตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์ของ “พิธา” ใน 2 รายการที่ถูกอ้างอิงถึงก็ต้องบอกว่า “ต่างกัน” พอสมควร เพราะในรายการ “สรยุทธ” ระบุว่า ถูกกักตัว “ข้ามวัน” จนไปงานศพพ่อไม่ทัน ซ้ำยังถูกอายัดบัญชีจนทำให้ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาจัดงานศพ ขณะที่เคยให้สัมภาษณ์กับ “แหม่ม สุริวิภา” เมื่อปี 2552 ระบุว่า หลังจากเครื่องลงที่กองทัพอากาศแล้ว ถูกกักตัวอยู่ประมาณ “4-5 ชั่วโมง” แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน

เรื่องนี้มีการไปถาม ปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ปี2549 ซึ่ง “พิธา” กล่าวอ้างว่า โดยสารเครื่องบินกลับจากนิวยอร์กหลังถูกรัฐประหารปี 49 ลำเดียวกันโดยที่ “ปานปรีย์” เป็นหัวหน้าคณะ

“ปานปรีย์” ย้อนอดีตว่า ก่อนเครื่องขึ้นจากนิวยอร์ก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนำ “พิธา” มาฝาก โดยระบุว่า ฝากกลับไทยด้วย เมื่อเครื่องมาถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่คิดว่าจะเจออะไร เพราะได้ส่ง “ทักษิณ” ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว

“แต่เมื่อเครื่องถึงสนามบินดอนเมือง เครื่องบินลำดังกล่าวกลับจอดนิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง ท่าทางไม่ค่อยดี ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าคณะเดินทาง จึงเดินไปบอกคนในเครื่องรวมถึงนายพิธา ว่าเราคงไม่ได้ลงที่ดอนเมือง ตอนนี้เครื่องมาจอดที่ บน.6 แล้วขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะเราไม่ใช่นักการเมือง” ปานปรีย์ ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนั้นนายพิธาขึ้นเครื่องในฐานะที่เป็นทีมงาน สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ในขณะนั้น หรือเป็นแค่คนไทยที่อาศัยเครื่องบินเดินทางกลับประเทศ “ปานปรีย์” กล่าวว่า “ทราบเพียงว่าเป็นหลานของพี่ผดุง (นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขาส่วนตัวนายกฯ ทักษิณ)”

ส่วนเรื่องกักตัวและอายัดธุรกรรมทางการเงินนั้น “ปานปรีย์” ตอบชัดเจนว่า “เมื่อเครื่องถึงกรุงเทพฯ มีทหารเดินเข้ามาตรวจ แล้วก็ปล่อยตัวออกไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถกลับบ้านได้ทันที ส่วนคนอื่นนั้นตนไม่ทราบเพราะต่างคนต่างแยกย้าย ขณะที่การอายัดธุรกรรมการเงินนั้น ต้องไปถามนายพิธา แต่ในฐานะหัวหน้าคณะไม่โดนอะไรเลย”

ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ของ “เสธ.นิด-ทูตนริศโรจน์” หรือคำยืนยันของ “ปานปรีย์” นั้น ถือว่าส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ “พิธา” พอสมควร จนถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปเปรียบเทียบกับกรณี นาธาน โอมาน อดีตนักร้อง-นักแสดงผู้ล่วงลับ ที่เคยสร้างตำนานโดยให้สัมภาษณ์ว่า กำลังจะได้แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง และกรณีหลอกลวงเงินอีกหลายกรณี แม้จะเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ตาม

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ในมุมของคนที่ไม่สนับสนุน “เสี่ยทิม” และพรรคก้าวไกล มองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ที่เสนอตัวเป็นนายกฯ กลับกันในมุมของ “ติ่งส้ม-ติ่งสามนิ้ว” ที่ฝันหวานว่า จะได้เห็น “นายกฯ ทิม” หลังเลือกตั้ง ก็คงมองผ่านเป็นเรื่องในอดีตที่อาจจะมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อยเท่านั้น มิได้ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของเขาสักกี่มากน้อย เฉกเช่นเดียวกับ “ติ่ง” ของแคนดิเดตนายกฯ รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “ลุงตู่” หรือ “ลุงป้อม” ที่ยังคงให้การสนับสนุนเหมือนเดิมแม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานที่ผ่านมาอย่างหนักก็ตาม

เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ นอกจาก “เสี่ยทิม” ที่ก่อดรามาขึ้นเอง เพื่อหวังคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง พร้อมทั้งเปลือย “เสี่ยทิม-พิธา” ว่า ก็เป็นแค่ “นักการเมืองธรรมดา” ที่ไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ จนพอที่จะเป็น “อนาคตใหม่” ของบ้านนี้เมืองนี้อย่างที่หลายคนวาดฝันเอาไว้....ใช่หรือไม่





กำลังโหลดความคิดเห็น