"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
วิชามารเป็นด้านมืดของการเลือกตั้งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มีนักการเมืองจำนวนมากใช้วิชามารเป็นหลักเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง นักเลือกตั้งบางคนใช้เป็นประจำทุกครั้งในการเลือกตั้งจนเป็นอุปนิสัยถาวร บางคนใช้บางครั้งบางคราวเมื่อเข้าตาจน แต่ก็มีนักการเมืองไม่น้อยที่ไม่ได้ใช้วิชามารแต่ก็สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง การใช้วิชามารเพื่อเป็นบันไดสู่ชัยชนะก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย วิชามารสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง ส่งผลให้คุณค่าของประชาธิปไตยลดลง และทำให้นักฉวยโอกาสทางการเมืองบางกลุ่ม ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารได้
วิชามารเป็นคำกว้าง ๆ ที่ใช้เรียกการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือข้ามเขตแดนจริยธรรมและบรรทัดฐานสังคม เราอาจจำแนกวิชามารออกเป็นห้าประเภทหลัก ประเภทแรกคือ การจัดสภาพการเลือกตั้งเพื่อเอื้อต่อพรรคการเมืองหรือนักการเมืองบางกลุ่มเป็นการเฉพาะ ประเภทที่สองคือ การควบคุมการลงคะแนนเสียง ประเภทที่สามคือ การซื้อเสียง ประเภทที่สี่คือ การรณรงค์หาเสียงเชิงลบ และประเภทที่ห้าคือ การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์
การจัดสภาพการเลือกตั้งมีขอบเขตตั้งแต่การกำหนดวิธีการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อทำให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับในประเทศไทยที่เห็นชัดคือ การเขียนรัฐธรรมนูญให้วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี การกำหนดระบบการเลือกตั้งที่มีเป้าประสงค์เพื่อทำลายโอกาสชนะของพรรคการเมืองบางพรรค การกำหนดเขตเลือกตั้งในลักษณะที่แปลกประหลาด ด้วยการรวมพื้นที่ที่นักการเมืองบางคนมีฐานคะแนนเสียงแน่นหนาเข้าเป็นเขตเดียวกัน และทำให้นักการเมืองผู้นั้นชนะการเลือกตั้ง การกำหนดเขตเลือกตั้งแบบนี้ทำให้รูปร่างของเขตเลือกตั้งในแผนที่คล้ายตัวซาลาแมนเดอร์ นั่นเอง และการคิดคะแนนเลือกตั้งแบบพิสดารขัดกับบรรทัดฐานทางวิชาการ เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองบางพรรคเข้าสู่อำนาจได้อย่างสะดวก
วิชามารเรื่องการควบคุมสภาพการเลือกตั้งยังรวมไปถึง การบังคับใช้กฎหมายด้วยการเลือกปฏิบัติ โดยบังคับใช้อย่างอ่อนแอกับพรรคการเมืองฝ่ายที่คุมอำนาจรัฐ และบังคับใช้อย่างเข้มงวดกับพรรคการเมืองที่ฝ่ายคุมอำนาจรัฐไม่ชอบ อย่างเรื่อง การร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำที่ละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจนของพรรคการเมืองบางพรรค จนมีผู้ไปร้องเรียนให้สอบสวนเพื่อนำไปสู่การยุบพรรค แต่ผู้มีอำนาจกลับลงโทษเพียงว่ากล่าวตักเตือนพรรคนั้น การกระทำในลักษณะเดียวกัน หากกระทำโดยพรรคการเมืองอื่น ๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกยุบพรรคได้ แม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้การยุบพรรคก่อนการเลือกตั้งอาจมีความเป็นไปได้น้อย เพราะว่าเป็นวิธีการที่มีประโยชน์น้อยต่อพรรคที่คุมอำนาจรัฐ อันเนื่องมาจากผู้สนับสนุนพรรคที่ถูกยุบสามารถเปลี่ยนไปเลือกพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่มีจุดยืนทางการเมืองเดียวกันได้ แต่กระแสข่าวของการยุบพรรคหลังการเลือกตั้งกลับมีมากขึ้น เพราะจะสร้างคุณประโยชน์แก่พรรคที่คุมอำนาจรัฐมากกว่า ด้วยการกวาดต้อนนักการเมืองประเภทงูเห่าไปสังกัดพรรคตนเอง อันเป็นการเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้แก่บรรดาพรรคเหล่านั้นและทำให้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้
นอกเหนือจากการยุบพรรคแล้ว วิชามารบางอย่างถูกออกแบบเพื่อทำให้ประชาชนใช้สิทธิยาก และอาจใช้สิทธิไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของตนเอง เช่น การพิมพ์เฉพาะหมายเลขของผู้สมัคร แต่ไม่พิมพ์ชื่อผู้สมัครและพรรคที่สังกัดในบัตรเลือกตั้ง การพิมพ์โดยไม่ระบุเขตเลือกตั้งเอาไว้ในบัตรเลือกตั้งจะทำให้เกิดความสับสนในการแยกแยะได้ว่าบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นบัตรเขตใด โดยเฉพาะบัตรที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การทุจริตในการนับคะแนนได้ และวิชามารอีกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การพิมพ์สัญลักษณ์พรรคการเมืองในป้ายรายชื่อพรรคที่ติดไว้ตามหน่วยเลือกตั้ง ปรากฎว่าในบางหน่วยเลือกตั้งสัญลักษณ์ของพรรคอื่น ๆ ชัดเจนดี แต่สัญลักษณ์ของบางพรรค เช่น พรรคก้าวไกลกลับเลือนลางจนแทบมองไม่เห็น
วิชามารประเภทที่สอง การควบคุมการลงและนับคะแนนเสียง วิชามารประเภทนี้มีหลายวิธีด้วยกันและมักเกิดขึ้นในหน่วยลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง วิธีการแรกที่แพร่หลายคือ การเวียนเทียนลงคะแนนเสียงโดยใช้บัตรปลอมสลับกับบัตรจริง เริ่มต้นด้วยการสร้างบัตรปลอมขึ้นมา ไม่ต้องมาก หน่วยละใบก็เพียงพอ จากนั้นหัวคะแนนในหน่วยนั้นไปลงคะแนนด้วยบัตรปลอม และนำบัตรจริงที่ยังไม่ลงคะแนนออกมานอกหน่วยเลือกตั้ง หัวคะแนนจะกาบัตรจริง และมอบให้ผู้เลือกตั้งในเครือข่ายที่กำลังไปใช้สิทธินำบัตรนั้นไปใส่ในหีบเลือกตั้ง พร้อมกับนำบัตรจริงที่ยังไม่ลงคะแนนออกมา วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ วิธีที่สองคือ การดั๊มคะแนนโดยเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง ซึ่งจะนำบัตรเลือกตั้งมากากบาทให้แก่ผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง กรณีนี้เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งเป็นคนของนักการเมืองหรือถูกนักการเมืองซื้อทั้งหน่วย และมักจะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย ๆ ใกล้เวลาปิดหีบของวันลงคะแนนที่ผู้คนเริ่มบางตา วิธีที่สาม คือการอ่าน นับ และรวมคะแนน เริ่มต้นจากการแกล้งอ่านคะแนนผิด จากบัตรดีเป็นบัตรเสีย หรือกลับกันบัตรเสียเป็นดี หรืออ่านหมายเลขผิด หรือลงเครื่องหมายนับคะแนนไม่ตรงกับการอ่าน ตามด้วยการจงใจรวมคะแนนผิด และการรายงานคะแนนไม่ตรงกับความจริง
ประเภทที่สาม วิชามารซื้อเสียง เป็นวิชามารที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในการเลือกตั้งไทย และในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองประเมินกันว่าจะมีการซื้อเสียงหลายพื้นที่ ด้วยเงินจำนวนมหาศาล และมีพรรคการเมืองประมาณ 3-4 พรรคที่เน้นการใช้วิธีการนี้ พรรคการเมืองที่จะใช้วิธีการนี้ได้อย่างแรกคือ พรรคต้องมีเงินมหาศาลเป็นหลายพันล้านบาท ซึ่งเงินอาจมาจากการใช้อำนาจรัฐเรียกรับสินบนหรือเงินทอนจากบริษัทที่ทำโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ การซื้อขายตำแหน่งในแวดวงราชการ การรับส่วยจากธุรกิจสีเทา การตอบแทนจากกลุ่มทุนที่ได้รับการเอื้อประโยชน์จากนโยบาย เป็นต้น ถัดมาพรรคการเมืองเหล่านั้นเป็นพรรคที่มีกระแสความนิยมต่ำ แต่ต้องการ ส.ส. เป็นจำนวนมาก บางพรรคต้องการ ส.ส.ในระดับ 100 เสียง หรือต้องได้อย่างน้อย 25 เสียง เพื่อสร้างโอกาสในการเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรคเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจการต่อรองในการเข้าร่วมรัฐบาล
สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีแนวโน้มการซื้อเสียงมากคือ เขตเลือกตั้งที่กระแสพรรคต่ำ ผู้เลือกตั้งไม่ค่อยผูกพันกับพรรคการเมือง เป็นพื้นที่เขตกึ่งเมืองกึ่งชนบท ที่ถูกครอบงำด้วยโครงสร้างอำนาจแบบอุปถัมภ์ ผู้สมัครเป็นผู้มีอิทธิพลหรือที่เรียกกันว่านักการเมืองแบบบ้านใหญ่ ประเภทใจถึง พึ่งได้ เป็นเขตที่ผู้เลือกตั้งมีความเป็นอิสระในการใช้ชีวิตและการตัดสินใจทางการเมืองต่ำ มักถูกชี้นำและบงการด้วยชนชั้นนำในท้องถิ่น มีการตื่นตัวทางการเมืองต่ำ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าสิทธิทางการเมือง รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงและผู้แข่งขันมีศักยภาพและทรัพยากรใกล้เคียงกัน
สำหรับในการเลือกตั้งครั้งนี้ เขตเลือกตั้งที่ประเมินกันว่ามีการซื้อเสียงในปริมาณที่มากคือ เขตเลือกตั้งในภาคใต้ เพราะเป็นเขตที่มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีศักยภาพและทรัพยากรและคะแนนนิยมใกล้เคียงกัน ทำให้การแข่งขันสูสีและมีความเข้มข้นมาก ยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าผู้สมัครพรรคการเมืองใดจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สถานการณ์เช่นนี้เป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่การซื้อเสียงอย่างกว้างขวาง และอีกพื้นที่หนึ่งที่มีโอกาสเกิดการซื้อเสียงมากไม่แพ้กันคือ เขตภาคกลางและภาคตะวันออก เพราะประชาชนไม่มีความผูกพันกับพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ และเป็นเขตที่มีนักการเมืองบ้านใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลเป็นจำนวนมาก ด้วยความจริงที่ว่า ในอดีตวิถีการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของพวกบ้านใหญ่ทั้งหลายล้วนแล้วแต่ปูด้วยเงินและอิทธิพลทั้งสิ้น การเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นจึงมีแบบแผนไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก
ประเภทที่สี่ การรณรงค์หาเสียงเชิงลบคือ การใช้ข้อความเชิงลบเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือนโยบายของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจรวมถึงการโจมตีส่วนบุคคล โดยใช้ข้อมูลเท็จหรือทำให้เข้าใจผิดและการบิดเบือนการกระทำของฝ่ายตรงข้าม การรณรงค์ในทางลบมักใช้เพื่อพยายามทำลายชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้ามหรือทำให้ดูเหมือนว่าไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ลงคะแนน
มีเหตุผลหลายประการที่ผู้สมัครอาจใช้การรณรงค์เชิงลบ เหตุผลประการหนึ่งคืออาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการชนะการเลือกตั้ง การศึกษาพบว่าการหาเสียงในทางลบสามารถส่งผลในการโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันที่สูสี อีกเหตุผลหนึ่งคือการรณรงค์เชิงลบอาจเป็นวิธีเรียกความสนใจจากสื่อ เรื่องราวเชิงลบมักเป็นที่สนใจมากกว่าเรื่องราวเชิงบวก
อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียหลายประการของการรณรงค์เชิงลบ ข้อเสียประการหนึ่งคือ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปิดการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองได้ เพราะเบื่อหน่ายกับการรณรงค์ในทางลบและมองเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือการรณรงค์เชิงลบสามารถย้อนกลับสร้างผลเสียต่อผู้ใช้ได้ หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื่อว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งใช้การหาเสียงในทางลบอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาอาจจะไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครคนนั้น
การรณรงค์เชิงลบมีหลายวิธี แต่ที่มักใช้มากเป็นพิเศษคือ การโจมตี โดยออกแบบโฆษณาเพื่อโจมตีนักการเมืองหรือการกระทำของฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ มักจะใช้ภาษาและภาพเชิงลบเพื่อพยายามทำลายชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม หรือการหาเสียงที่เปรียบเทียบโดยหยิบยกข้อด้อยของผู้สมัครในประเด็นต่าง ๆ มาเน้นเป็นพิเศษ และหยิบข้อดีของตนเองมาเทียบเคียง เช่นเปรียบเทียบตัวเองเป็นกัปตันเครื่องบินที่มากประสบการณ์ และด้อยค่าคู่แข่งว่าเป็นคนอายุน้อยมีประสบการณ์ต่ำ
การปั่นกระแสความนิยมโดยการทำโพลเทียม ซึ่งเป็นการสำรวจโดยการตั้งคำถามชี้นำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การเก็บตัวอย่างเฉพาะบางกลุ่มที่รู้ว่าสนับสนุนตนเอง หรือที่หนักกว่านั้นคือการปลอมตัวเลขของผลลัพธ์ ทั้งหมดทำไปเพื่อโน้มน้าวผู้ลงคะแนนมากกว่าเพื่อวัดความคิดเห็นสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีโพลเทียมจำนวนไม่น้อยที่ถูกว่าจ้างโดยนักการเมือง และสร้างผลลัพธ์ในลักษณะที่บิดเบือนความจริง เพื่อชี้นำผู้เลือกตั้ง
การรณรงค์แบบป้ายสี เป็นการออกแบบมาเพื่อเผยแพร่ข่าวลือหรือข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามในทางลบ พวกเขามักจะใช้ข้อมูลเท็จ เพื่อทำให้เข้าใจผิดและสร้างความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม สำหรับในการเลือกตั้งครั้งนี้ของประเทศไทย การใช้ข้อมูลเท็จเพื่อป้ายสีคู่แข่งก็ปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลาย ช่วงแรกมักเกิดขึ้นจากกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองต่างกัน เช่น การที่พรรคก้าวไกลถูกป้ายสีว่าจะตัดเงินบำนาญกลุ่มข้าราชการ แต่ต่อมาเมื่อคะแนนนิยมของพรรคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทุ่มเทหาเสียง ความสดใหม่ทางการเมือง และนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พรรคการเมืองที่เก่ากว่า ซึ่งอยู่ขั้วการเมืองเดียวกันก็เริ่มตระหนกและหวาดกลัวว่าพรรคตนเองอาจต้องสูญเสียที่นั่ง ส.ส. ก็เริ่มมีการใช้การหาเสียงแบบป้ายสีมากขึ้นเพื่อสกัดกั้นกระแสความนิยม
การรณรงค์เชิงลบเป็นกลยุทธ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าได้ผลหรือไม่ การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรณรงค์เชิงลบสามารถส่งผลในการโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันที่สูสี อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าการหาเสียงในเชิงลบสามารถย้อนกลับมาสู่ตัวผู้ใช้ และทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลดการสนับสนุนผู้ใช้การรณรงค์แบบนี้ ยิ่งกว่านั้นการณรงค์เชิงลบสามารถนำไปสู่บรรยากาศทางการเมืองที่มีการแบ่งขั้วมากขึ้น ทำให้ผู้คนสนทนาอย่างมีเหตุผลลดลงเนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นไปที่การโจมตีกันมากกว่าการฟังซึ่งกันและกัน
ประเภทที่ห้า การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นวิชามารเช่นกันเพราะเป็นการพยายามที่ทำให้ผู้เลือกตั้งเลือกผู้สมัครพรรคใดพรรคหนึ่งด้วยความหวาดกลัว มากกว่าเลือกเพราะเหตุผลและความหวัง การเลือกตั้งเชิงยุทธ์ศาสตร์มักเกิดขึ้นเมื่อการเมืองมีลักษณะการแบ่งขั้ว มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่อยู่ในขั้วเดียวกันแข่งขันกัน จนอาจทำให้พรรคต่างขั้วประสบชัยชนะ ในสถานการณ์แบบนี้จึงมีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งหรือหลายพรรคเสนอให้มีการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ขึ้นมา ซึ่งต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เลือกตั้งที่สนับสนุนพรรคอื่นหันมาสนับสนุนพรรคตนเอง เพื่อไม่ให้คู่แข่งที่อยู่ต่างขั้วชนะ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ พรรคการเมืองที่เสนอการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์นั้น มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และเรียกร้องให้ผู้สมัครหรือพรรคอื่นเสียสละ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพรรคอื่น การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์จึงมักจะล้มเหลว และยิ่งล้มเหลวมากขึ้น หากถูกเสนอในสถานการณ์ซึ่งพรรคที่อยู่ขั้วการเมืองหนึ่งมีคะแนนนิยมนำห่างอีกขั้วหนึ่งอย่างมาก เพราะการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ไม่สามารถสร้างผลกระทบใด ๆ ต่อผลการเลือกตั้งเลย เช่น ในการแข่งขัน ขั้วการเมืองแรกมีพรรคการเมืองขั้วเดียวกันสองพรรค ได้คะแนนนิยมรวมกันประมาณ 70 % โดยแต่ละพรรคได้คะแนนประมาณ 30 กว่า % ส่วนขั้วการเมืองที่สอง มีพรรคที่อยู่ขั้วเดียวกันลงสมัคร 4 พรรค และคะแนนรวมของสี่พรรคมีอยู่ประมาณ 20 % สถานการณ์แบบนี้ อย่างไรเสีย ชัยชนะก็จะตกอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่งในขั้วการเมืองแรก โดยไม่ต้องเสนอให้มีการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์แต่อย่างใด การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์อาจมีผลบ้าง หากเป็นการแข่งขัน 3 พรรค และแต่ละพรรคมีคะแนนนิยมใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าภายใต้สถานการณ์ใด ผู้ใดที่เสนอให้ใช้การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ผู้นั้นก็กำลังใช้วิชามาร เพราะเป็นการใช้ความกลัวเพื่อเปลี่ยนแปลงเจตจำนงเสรีของประชาชน
แม้วิชามารโดยเฉพาะการรณรงค์เชิงลบยากที่จะรับมือ แต่มีบางสิ่งที่สามารถทำได้ดังนี้
1) การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการรณรงค์อย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงการอ่านบทความ ข่าว ดูการโต้วาที และพูดคุยกับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบรู้ว่าจะลงคะแนนให้ใคร
2) อย่าด่วนเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยินหรือที่อ่าน สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราได้ยินในการรณรงค์จะเป็นความจริง คำกล่าวอ้างบางอย่างอาจเกินจริงหรือแม้แต่เป็นเท็จ สิ่งสำคัญคือต้องทำการแสวงหา ตรวจค้น และตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3) เมื่อพบกับการณรงค์เชิงลบ เป็นเรื่องง่ายที่จะจมอยู่กับเรื่องเชิงลบ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเน้นไปที่แง่บวกของผู้สมัครหรือพรรคที่สนับสนุน ซึ่งหมายถึงการพูดคุยเกี่ยวกับคุณสมบัติ ประสบการณ์ จุดยืนทางการเมือง และนโยบายของผู้สมัครและพรรคให้มากขึ้น
4) สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักไว้คือ การรณรงค์เชิงลบเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวและไม่ควรให้มันส่งผลต่อการตัดสินใจของเราว่าจะลงคะแนนให้ใคร
5) สำหรับผู้สมัครและพรรคที่กำลังมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ต้องคาดการณ์ว่าฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีและควรมีแผนตอบสอนง ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อชี้แจง หรือการตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม แต่การตอบโต้ อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกก็ได้ หรือเพียงแค่เพิกเฉยต่อการโจมตี และเน้นด้านบวกในการณรงค์ของเรา และเหตุผลที่เราเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแทนประชาชน
6) ให้ผู้สนับสนุนพรรคมีส่วนร่วม ช่วยเผยแพร่ข้อความและปกป้องจากการโจมตีเชิงลบ พวกเขาสามารถทำได้โดยการบริจาคให้กับการหาเสียง การสละเวลาเป็นอาสาสมัคร และการพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวของพวกเขาว่าทำไมพวกเขาถึงสนับสนุนพรรคและผู้สมัครของพรรค
7) อย่ายอมแพ้ แม้การรณรงค์เชิงลบอาจเป็นเรื่องรับมือยาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องคิดบวกและสู้ต่อไป โปรดจำไว้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือผู้ที่จะตัดสินการเลือกตั้ง และพวกเขากำลังมองหาผู้สมัครที่สามารถไว้วางใจได้ ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อพวกเขา
กล่าวโดยสรุป การใช้วิชามารในการเลือกตั้งมีหลากหลายรูปแบบ ต่างก็มีผลกระทบทางลบต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนควรจับตาและเฝ้าระวังการปรากฎตัวของวิชามารเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด และหากเป็นไปได้ก็ควรช่วยกันจัดการสั่งสอน และมอบบทเรียนให้แก่ผู้ใช้วิชามารทั้งหลายให้สอบตกในการเลือกตั้งอย่างทั่วหน้า