xs
xsm
sm
md
lg

การลดและเพิ่มคะแนนนิยมของพรรคการเมืองสามลำดับแรก / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ปกติการจำแนกฤดูการเลือกตั้งจะแบ่งเป็นสี่ช่วงหลัก คือ ช่วงก่อนฤดู ช่วงต้นฤดู ช่วงกลางฤดู และช่วงปลายฤดู ช่วงก่อนฤดูเป็นช่วงก่อนการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ช่วงต้นฤดูคือช่วงประมาณ 1-3 สัปดาห์แรกนับตั้งแต่ประกาศให้มีการเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้กำหนดวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นวันเลือกตั้ง ช่วงต้นฤดูจะอยู่ประมาณวันที่ 20 มีนาคม – 10 เมษายน ช่วงกลางฤดูประมาณสัปดาห์ที่ 4-6 หลังประกาศให้มีการเลือกตั้ง หรือประมาณวันที่ 11 – 30 เมษายน ส่วนช่วงปลายฤดูจะเป็นช่วงประมาณสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง หรือระหว่างวันที่ 1-14 พฤษภาคม

การจำแนกฤดูการเลือกตั้งเป็นวิธีคิดเชิงยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทราบถึงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของคะแนนนิยมเป็นระยะ และประเมินว่ากลยุทธ์การหาเสียงมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด มีจุดอ่อนและจุดแข็งอย่างไร มีกลยุทธ์ใดบ้างที่สามารถใช้ต่อไป กลยุทธ์ใดต้องปรับปรุง กลยุทธ์ใดที่ต้องเลิกใช้ และจำเป็นต้องคิดกลยุทธ์ใหม่มาใช้หรือไม่

ช่วงก่อนฤดูเลือกตั้ง ตั้งแต่กลางปี 2565 พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ใช้กลยุทธ์ครอบครัวเพื่อไทย แก่นหลักของกลยุทธ์นี้คือการนำน.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร มาเป็นบุคคลหลักในการหาเสียง ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอกลยุทธ์แลนด์สไลด์ เลือกพรรคเพื่อไทยให้ชนะขาด ผสานกับนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะการขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 600 บาท และการขึ้นเงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 25,000 บาทต่อเดือนส่งผลให้ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากและพุ่งไปถึง 49.85 % และคะแนนนิยมของ น.ส. แพทองธาร ก็เพิ่มขึ้นไปถึง 38.20 %

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาเคลื่อนตัวไปสู่ช่วงต้นฤดูการเลือกตั้ง ซึ่งมีการเปิดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งการเปิดตัวผู้ที่พรรคเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีอันประกอบด้วย น.ส. แพทองธาร นายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริซึ่งรายชื่อสุดท้ายที่พรรคเพื่อไทยเสนอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก่อนที่พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายชัยเกษม มีการปล่อยข่าวออกมาว่า รายชื่อแคนดิเดตคนสุดท้ายจะสร้างความประหลาดใจแก่คนไทย และคาดว่าจะสามารถสร้างคะแนนนิยมแก่พรรคเพิ่มขึ้น แต่เมื่อบุคคลนั้นกลายเป็นนายชัยเกษม ก็ไร้ความประหลาดใจเกิดขึ้น และไม่สามารถสร้างความนิยมแก่พรรคเพิ่มขึ้นแต่ประการใด ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในทางตรงข้าม

ด้านกลยุทธ์การวางตัวผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยก็เช่นเดียวกันไม่สามารถทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้น เพราะผู้สมัครใน 20 ลำดับแรกที่คาดหวังได้ว่าจะได้รับเลือกตั้งอย่างแน่นอน ล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมืองรุ่นเก่า อายุสูงวัยที่ใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรเกือบทั้งหมด แทบทุกคนไม่มีบทบาทใด ๆ ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านตลอดสี่ปีที่ผ่านมา บางคนก็เป็นนักการเมืองประเภทบ้านใหญ่ บางคนเป็นกลุ่มทุน บางคนย้ายพรรคมาจากพรรคพลังประชารัฐ แต่นักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านอย่างนายสุทิน คลังแสง ก็หล่นไปอยู่ลำดับ 9 ส่วนนายชลน่าน ศรีน่าน หัวหน้าพรรคไม่มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อ แต่กลับไปสมัครในเขตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองหลักพรรคเดียวที่หัวหน้าพรรคไม่อยู่ในลำดับที่หนึ่งของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ยิ่งกว่านั้นแทบไม่มีนักการเมืองหน้าใหม่วัยหนุ่มสาวปรากฏอยู่ในบัญชีผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อในลำดับต้น ๆ เลย กลยุทธ์การจัด ส.ส.บัญชีรายชื่อในลักษณะนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยดูด้อยลงไปมากทีเดียว

มากไปกว่านั้น ในวันที่ 5 เมษายน นายเศรษฐา ประกาศนโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอล เติมเงินให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายทางการเงิน และจะมีปัญหาในการนำไปปฏิบัติอีกมายมายและอาจไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ แต่ถ้าหากมีการนำไปปฏิบัติจริงก็มีการแนวโน้มจะสร้างผลกระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักวิชาการและพรรคการเมืองคู่แข่ง กลายเป็นว่านโยบายที่คาดหวังว่าจะกอบโกยคะแนนจนทำให้พรรคชนะแบบท่วมท้น กลับเป็นนโยบายที่บั่นทอนคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยเสียมากกว่า ดังเห็นจากผลสำรวจคะแนนนิยมครั้งที่สองของนิด้าโพลที่เก็บข้อมูลช่วง 3-7 เมษายน คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธารลดลงเหลือ 35.70 % ด้านคะแนนพรรคเพื่อไทยก็ลดลงเหลือ 47 % คะแนนนิยมพรรคหายไปถึง 2.85 % เมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอนุมานเป็นคะแนนดิบประมาณหนึ่งล้านคะแนนทีเดียว

ความถดถอยของคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยมาจากอีกสาเหตุอีกสองประการคือ อย่างแรก ความไม่ชัดเจนและสับสนของแกนนำพรรคในเรื่องการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งหรือไม่ แม้แกนนำนอกตระกูลชินวัตรยืนยันว่าไม่จับมือ แต่แกนนำพรรคตัวจริงในตระกูลชินวัตรกลับตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ หากถามว่าคำตอบของใครมีน้ำหนักมากกว่าในการกำหนดทิศทางของพรรคเพื่อไทย ทุกคนคงตอบตรงกันว่า คนในตระกูลชินวัตรอย่างแน่นอน สาเหตุอย่างที่สองคือ ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตหลายพื้นที่ไม่ค่อยทุ่มเทในการลงพื้นที่หาเสียง จนผู้สนับสนุนพรรคจำนวนหนึ่งเกิดความอึดอัดคับข้องใจ และนำเรื่องมานำเสนอเรื่องราวการไม่ค่อยกระตือรือร้นในการหาเสียงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในสื่อสาธารณะ การที่ผู้สมัครเหล่านั้นไม่ค่อยลงพื้นที่หาเสียงอาจเป็นเพราะว่า พวกเขาคิดว่ากระแสพรรคดี ไม่ต้องหาเสียงมาก ประชาชนก็เลือกอย่างแน่นอน

การที่คะแนนนิยมลดลงในช่วงต้นฤดูการหาเสียงมีนัยว่ากลยุทธ์หลายอย่างของพรรคเพื่อไทยไร้ประสิทธิผล แต่ดูเหมือนว่าหลายกลยุทธ์ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ยกเลิกก็ไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงรายชื่อบุคคลที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค การเปลี่ยนแปลง ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ หรือ แม้กระทั่ง นโยบายแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะพรรคได้แถลงข่าวอย่างใหญ่โตเป็นที่รับรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง หากเปลี่ยนแปลงคะแนนนิยมก็จะยิ่งดิ่งลงยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ ที่พอจะทำได้คือ การกระตุ้นให้ ผู้สมัครระดับเขตลงพื้นที่ให้มากขึ้น หรืออาจคิดกลยุทธ์ใหม่เพิ่มเติมในช่วงกลางและปลายฤดูการเลือกตั้ง แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็คงต้องดูกันอีกที




อีกพรรคที่คะแนนนิยมลดลงคือพรรครวมไทยสร้างชาติ ลดลงทั้งผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและ ส.ส.แบบแบ่งเขต คะแนนนิยมของพรรคนี้ผูกติดกับคะแนนนิยมของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งลดลง 2.05 % ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือ พลเอกประยุทธ์ไม่มีจุดขายใหม่ จุดแข็งเรื่องความมั่นคงที่เคยทำให้ได้คะแนนนิยมในอดีตก็ไม่เป็นจุดแข็งอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถคิดค้นจุดแข็งใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นได้ นั่นอาจเป็นเพราะว่าไม่มีจุดแข็งใดเลยนอกเหนือจากเรื่องนั้นก็เป็นได้ ส่วนคำขวัญ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ก็ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวในอดีตมากกว่าความสำเร็จ ส่วนนโยบายอื่น ๆ ก็ไม่มีจุดเด่นหรือมีพลังดึงดูดใจประชาชนแต่อย่างใด มากไปกว่านั้นการปราศรัยหาเสียงในบางโอกาสของหัวหน้าพรรคก็มีลักษณะที่ค่อนข้างรุนแรงและอาจนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งทางสังคมได้ โอกาสที่พรรคนี้จะพลิกฟื้นได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะในพรรคขาดนักคิดเชิงยุทธศาสตร์การเลือกตั้งที่แหลมคมในการผลิตนโยบายที่ทรงพลังได้ ส่วนในพื้นที่ก็ขาดนักเลือกตั้งที่มีฝีมือและจักรกลทางการเมืองที่ทรงพลัง

พรรคที่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือ พรรคก้าวไกล คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเกือบ 5 % ทั้งตัวผู้นำพรรค ส.ส.แบบแบ่งเขต และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หรืออนุมานเป็นคะแนนดิบได้ประมาณ 1,750,000 คะแนน เป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ และที่เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษคือ ส.ส. แบบแบ่งเขตในภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นจาก 10.39 % เป็น 26.62 % ซึ่งทำให้ ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตของพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากขึ้น

ปัจจัยหลักที่ทำให้คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมาประกอบด้วย การนำเสนอนโยบายทุกด้านอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติ และนโยบายจำนวนมากสร้างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจและสังคมให้มีความก้าวหน้าขึ้น ผู้สมัครทั้งแบบบัญชีรายชื่อมีความรู้ความสามารถสูง ซึ่งเห็นได้จากการดีเบตในเวทีต่าง ๆ มีการใช้โอกาสในการนำเสนอนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การจัดกิจกรรมนำเสนอนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารในบริเวณที่มีการคัดเลือกทหารหลายพื้นที่ และในระดับพื้นที่ ผู้สมัครทั้งแบบบัญชีรายชื่อและระดับเขตก็มีความทุ่มเทในการหาเสียงและคิดค้นกลยุทธ์การหาเสียงที่แปลกใหม่ จนได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบกับประชาชนจำนวนมากเบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่า หรือการเมืองแบบบ้านใหญ่ การเมืองแบบตระกูลเครือญาติ การเมืองแบบสืบทอดอำนาจ การเมืองแบบซื้อเสียง การเมืองที่ทุจริต การเมืองที่ไร้ความโปร่งใส ความเบื่อหน่ายการเมืองน้ำเน่าของประชาชนจึงเป็นพลังเสริมให้กับพรรคก้าวไกล ที่นำเสนอการเมืองแบบใหม่ ที่แตกต่างจากการเมืองแบบเดิมอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การที่มีพรรคการเมืองใดมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงต้นฤดูการแข่งขัน ก็ยังหาใช่เป็นหลักประกันว่า คะแนนนิยมจะเพิ่มขึ้นตลอดจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะทุกพรรคที่แข่งขันต่างก็พยายามคิดค้นกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมอย่างเข้มข้น มีการใช้กลยุทธ์แบบเปิดเผยตรงไปตรงมา และกลยุทธ์แบบปิดลับเพื่อทำลายคะแนนคู่แข่ง หรือที่เรียกกันว่าวิชามาร ดังนั้น แต่ละพรรคจึงต้องกำกับติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ให้ทันท่วงที มิฉะนั้นอาจไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้


กำลังโหลดความคิดเห็น