สมการการเมือง
ในสถานการณ์ที่ยากคาดการณ์อนาคตหลังการเลือกตั้งจะเกิด ‘ความวุ่นวาย’ ขึ้นหรือไม่ ในกรณีที่ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ‘ได้ไปต่อ’ และ ‘ไม่ได้ไปต่อ’ โดยเฉพาะกรณีหากเกิดเหตุการณ์ ‘พลิกขั้วการเมือง’ ขึ้นมา
จะเกิด ‘สถานการณ์จัดตั้ง’ นำไปสู่การ ‘รัฐประหาร’ อีกหรือไม่
เฉกเช่นที่ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ต้องเผชิญมาแล้ว หรือในกรณีที่ ‘พรรคก้าวไกล’ มาแรงอย่างมาก ย่อมสะเทือน‘ผู้มีอำนาจ’ เพราะแนวคิดของพรรคที่ต้องการ ‘ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง’ เช่น ปฏิรูปกองทัพ นั่นเอง
ดังนั้นการที่ ‘บิ๊กตู่’ มาพูดชนิดที่ ‘ไม่มีปี่มีขลุ่ย’ โดยหยิบยกบทเพลงพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6 ชื่อเพลง ‘ไร้รัก ไร้ผล’ ภายหลังพิธีวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ 136 ปี โดยให้เหตุผล อย่าให้เกิดวิกฤตการณ์ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ในช่วงนี้และช่วงต่อๆ ไป
ทำให้ถูกตีความว่าจะมี ‘สัญญาณ’ ความวุ่นวายเกิดขึ้นใช่หรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เลี่ยงตอบว่า “ขอให้ไปคิดเอาเอง”
ส่วนสัญญาณความวุ่นวายเกิดมา กรณี ‘พรรคขั้วตรงข้ามรัฐบาล’ ขึ้นมาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “ไม่เกี่ยวๆ หลายๆ อย่างก็รู้อยู่แล้ว ถามแบบไม่รู้เรื่องได้อย่างไร บ้านเมืองมันจะสงบได้ด้วยอะไรล่ะ”
สุดท้ายจะเป็น ‘บางเรื่อง’ ที่พูดไม่ได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงให้ไปคิดว่า “ไปคิดเอาเอง”
ดูเหมือนจะจบแต่ไม่จบ ในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานพิธีเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัวฯ ประจำปี 2566 ก็ยกบทเพลงพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ชื่อเพลง ‘ไร้รัก ไร้ผล’ ขึ้นมากล่าวอีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่ 2 ภายใน 1 วัน
“ผมอยากจะกล่าวถึงถ้าทุกคนจำได้ มีบทพระราชนิพนธ์บทหนึ่งรู้สึกจะเป็นเพลงด้วย พึ่งนึกออกเมื่อตอนเช้า รัชกาลที่ 6 ชื่อเพลง ไร้รักไร้ผล อันชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจน ประชาชนจะสุขอยู่ได้อย่างไร ทุกอย่างถ้าเราไม่รักกัน ไม่ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยบ้านเมืองเราเดินหน้าไปไม่ได้แน่นอน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกจี้ถามว่ามี ‘นันยะ’ ซ่อนอยู่หรือไม่ หากดูคำตอบให้ลึกจะพบ ‘ปริศนา’ ซ่อนอยู่ ที่คีย์เวิร์ดคำอยู่ที่คำว่า ‘ให้กองทัพคิด’ และเรื่องการ‘ใช้ปาก’ พร้อมทิ้งบอมบ์มองเหตุการณ์จะ ‘บานปลาย’ หรือไม่
โดย นายกฯ ตอบว่า “ก็ให้ไปคิดกันเอาเอง ว่า ประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพวกเรา และเป็นเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยของพวกเธอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันให้กองทัพ ไปคิดแบบนี้”
ส่วนในทางการข่าว ‘ความสงบเรียบร้อย’ ในช่วงนี้ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ก็ไม่มีอะไร ยังไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ใช้ปากอะไรกันหน่อย เราก็ไม่ไปต่อสู้อะไรกับใครอยู่แล้ว เพียงแต่มันจะทำให้เหตุการณ์บานปลายอะไรหรือเปล่า เราไม่รู้ แล้วมันก็จะไปเดือดร้อนคนอื่น เจ้าหน้าที่ก็จะต้องทำงาน มันก็จะมีปัญหาต่อไปอีก ถ้ามันไม่มีคนที่จะคิดทำอะไรที่ไม่ดี มันก็เรียบร้อย แล้วเขาทำเพื่อมุ่งหวังอะไรกันล่ะ ก็ไม่รู้”
หากนำ ‘คีย์เวิร์ด’ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดมาดูก็จะพบว่าเป็น ‘วิธีคิดแบบทหาร’ ที่ต้องการ ‘สื่อสารถึงทหาร’ ด้วยกันเอง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ นึกและจุดประเด็นไว้ที่ ‘กลาโหม’ ที่เป็นพื้นที่ทหาร อีกทั้งภายหลังพบกับ ‘ผบ.เหล่าทัพ - ขุนพลทหาร’ ด้วย
เพราะในขณะนี้เป็นช่วงหาเสียง-เลือกตั้ง ทำให้ ‘กองทัพ’ ต้องวางบทบาทมี ‘ระยะห่าง’ จากการเมือง รวมทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ชุดนี้ ก็มี ‘ระยะห่าง’ จาก พล.อ.ประยุทธ์ เพราะรุ่นเตรียมทหารห่างกัน เพราะ ผบ.เหล่าทัพ-ปลัดกลาโหม ชุดปัจจุบัน ตท.21-22-24 ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ตท.12 อีกทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ชุดนี้ ก็ไม่ได้เป็นสายตรงขั้วอำนาจ ‘3ป.’ ด้วย
สำหรับ ‘กองทัพ’ ถูกมองเป็น ‘กองหนุน’ ของรัฐบาลมาตลอด ตั้งแต่ยุคคสช. แต่หลังมีรัฐบาลเลือกตั้ง ‘กองทัพ’ ก็เริ่ม ‘ตีห่าง’ ออกไป และยิ่ง ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้เป็นสายตรง 3ป. ก็ทำให้ ‘ยิ่งตีห่าง’ มากขึ้น แต่ลึกๆแล้วนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังต้องหวังพึ่ง ‘กองทัพ’ เป็น ‘กองหนุน’ ของตัวเอง
ในระยะหลังมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับ ‘งานกองทัพ’ ไปร่วมงานอยู่ตลอด และพยายามแสดงความแนบชิด ผบ.เหล่าทัพ ด้วยการ‘กอดคอ’ โดยเฉพาะกับ ‘บิ๊กบี้’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.
ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ หยิบยกบทเพลงพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6 ชื่อเพลง ‘ไร้รัก ไร้ผล’ ขึ้นมา ในสถานการณ์ช่วง ‘เปลี่ยนผ่านรัฐบาล’ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
แน่นอนว่าเป็นการ ‘ส่งสัญญาณ’ ถึง ‘กองทัพ’ ที่มีกำลังพลถึง 3 แสนนาย ไม่นับรวม ‘อำนาจ’ อื่นๆ ตามคำพังเพยที่ว่า “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย”