xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทักษิณ” คายไพ่เด็ด? ติดคุกแลกแลนด์สไลด์ จุดตาย-จุดเปลี่ยน “ลุงตู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 ยิ่งงวดเข้ามา ข่าวคราว “ดีลข้ามสายพันธุ์” ระหว่าง พรรคเพื่อไทย-พลังประชารัฐ ก็ยิ่งกระหึ่ม

แถมระยะหลังไม่ใช่ “รายงานข่าว” ไร้ที่มาที่ไป เป็นคีย์แมนพลังประชารัฐ อย่าง “เสี่ยยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ที่วันนี้มีบทบาทสูงใน “ค่ายลุงป้อม” ออกมาขยี้แล้วขยี้อีก โดยอ้างถึงข้อมูลที่ว่า “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ยอมให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้ง

โดยยกกรณีที่ “ทักษิณ” เคยไฟเขียวให้ “อินทรีอีสาน” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่ขณะนั้นอยู่คนละพรรคขึ้นเป็นนายกฯ แทน “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ครั้งที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบ รวมถึงกรณีที่ให้พรรคเพื่อไทยสนับสนุน “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ขณะนั้น เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งปี 2562

อย่างไรก็ดี เมื่อถูกถามจี้ว่าได้ข้อมูลมาจากไหน “วิรัช” ก็โยนไปให้ถาม “ทักษิณ” ในเวลาที่มีการโฟนอินมายังประเทศไทยเอง

และเมื่อถามว่ามีเหตุผลอะไรที่พรรคเพื่อไทยต้องยกเก้าอี้นายกฯ ให้ “พล.อ.ประวิตร” ก็ได้คำตอบเพียงว่า “เพราะก้าวข้ามความขัดแย้ง”

ต้องยอมรับว่าเรื่อง “ดีลข้ามสายพันธุ์” ในทางการเมืองถือว่าเป็น “บวก” กับพรรคพลังประชารัฐ ที่พยายามชูภาพ “ลุงป้อม” ในฐานะ “มิสเตอร์ก้าวข้ามความขัดแย้ง”

แต่ในทางกลับกันก็เป็น “ลบ” กับพรรคเพื่อไทย ที่กำลังไต่เป้าหมายแลนด์สไลด์ 310 เสียง เพราะทำให้แฟนนานุแฟนอาจไม่เชื่อมั่นในจุดยืนของพรรคเพื่อไทย

เป็นเหตุให้ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องออกมาตอกหน้า “วิรัช” อย่างรุนแรงว่า “ฝันกลางวันหรือเปล่า” เพราะหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และได้ 310 เสียงจริงไม่มีทางประเคนเก้าอี้นายกฯ ให้คนอื่น และไม่ประสงค์ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐ

ประเด็นร้อนแรงถึงขั้น “ทักษิณ” ต้องทวีตข้อความชี้แจงจั่วหัวว่า “เรื่องยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม”

1.ผมไม่ได้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย

2.ผมไม่เคยสื่อสารกับคุณวิรัชมานานมากแล้ว อีกทั้งไม่เคยคุยกับ พล.อ.ประวิตร มา 17 ปีแล้ว
และ 3.ผมมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง เชื่อว่าพรรคไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม (พล.อ.ประวิตร)

การที่ “ภูมิธรรม” รวมทั้ง “ทักษิณ” ต้องรีบออกมาชี้แจง เพราะรู้ดีว่า ข่าวการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงการยกเก้าอี้นายกฯ ให้พรรคอื่นนั้น ถือเป็นอุปสรรคฉุดรั้งกระแสพรรคเพื่อไทยโดยตรง

โดยต้องยอมรับว่า ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ 310 เสียงของ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย กลายเป็นหลักชัยสำคัญของการเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 นี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
“เราไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง กาเพื่อไทยทั้ง 2 บัตร แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่ถูกป่าวประกาศไปในทุกเวทีหาเสียง รวมไปถึงการแถลงข่าววาระต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย
 
หลังประกาศปรับเป้าหมายใหม่เป็น “ซูเปอร์แลนด์สไลด์” 310 เสียง เมื่อครั้งการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค เมื่อต้นเดือน มี.ค.66 เพิ่มเติมตัวเลขแลนด์สไลด์ก่อนหน้าที่กำหนดไว้ให้เกิน 250 เสียง กึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราาฎร
 
ตามกลยุทธ์ “เลือกให้ขาด” เพื่อโค่นอำนาจเผด็จการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เพียงสร้างความหวาดผวาให้กับ “ฝ่ายตรงข้าม” เท่านั้น ยังทำเอา “เพื่อนพ้องน้องพี่” ในฟากฝั่งเดียวกันโห่ฮาแสดงความไม่พอใจ

ตราหน้าว่า พรรคเพื่อไทยเล่นการเมืองแบบ “ตัดพี่ตัดน้อง”

โดยเฉพาะ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล หรือ “ค่ายเจ๊หน่อย” พรรคไทยสร้างไทย ที่ดูจะไม่แฮปปี้กับ “วาทกรรม” 310 เสียง เป็นพิเศษ เพราะหมายความว่า พรรคเพื่อไทย ต้องการกินรวบเสียงใน “ฝ่ายแอนตี้เผด็จการ” แบบไม่แบ่งให้ใคร

จากการพิเคราะห์ฐานเสียง “ฝ่ายซ้าย” หรือฝ่ายก้าวหน้า เปรียบเทียบกับ “ฝ่ายขวา” หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผ่านผลการเลือกตั้ง และผลการสำรวจความนิยมของสำนักโพลที่น่าเชื่อถือบางสำนัก จะพบว่า เมื่อจัดหมวดหมู่ทั้งในแง่บุคคล หรือพรรคการเมืองแล้ว คะแนนนิยมมักเทมาให้ “ฝ่ายซ้าย” เหนือ “ฝ่ายขวา” เฉลี่ยแล้วราว “60-40”

ดังนั้นเป้าหมาย 310 เสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ตีเป็นอัตราส่วนที่นั่ง ส.ส.จะเป็นจำนวนมากถึง 62% ของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีจำนวนเต็ม 500 ที่นั่ง หรือพูดให้ถูกคือ พรรคเพื่อไทย ต้องการกวาดคะแนนเสียงจาก “ฝ่ายซ้าย” ทั้งหมดเลยทีเดียว

โดยตัวเลข 310 เสียง ที่ออกมาจาก “ทีมงานห้องแอร์” และผ่านไฟเขียวจาก “นายใหญ่แดนไกล” นั้น ไม่ได้ถูกคำนวณตามโอกาสความน่าจะเป็นในสนามเลือกตั้ง หรือ “โพลทักษิณ” เหมือนในอดีต แต่คำนวณมาจากฐานคะแนนเสียง “ฝ่ายซ้าย” ที่ว่านี้เอง

ด้วยสมมติฐานที่ว่า หากพรรคเพื่อไทยสามารถคว้าที่นั่ง ส.ส.ได้ถึง 310 คนขึ้นไป ก็จะกลายเป็น “ฉันทามติ” จากประชาชนในการเป็นจัดตั้งรัฐบาล และเชื่อว่า จะเป็นพลังในการดึงเสียงจากพรรคอื่น หรือเสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางส่วนให้ได้อีกเพียง 66 เสียง ก็ได้เกินครึ่ง 376 เสียงเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จากจำนวนเสียงในรัฐสภาที่มี 750 เสียง แบ่งเป็น ส.ส. 500 เสียง และ ส.ว. 250 เสียง

เนื่องจาก พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า การชนะเลือกตั้ง หรือรวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ หรือ 250 เสียงนั้น ไม่เพียงพอต่อการคุมเสียงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา ที่มี “พรรค ส.ว.” กุมเสียงอยู่ถึง 1 ใน 3

ดังจะเห็นได้จากการเลือกตั้งปี 2562 ที่หลังปิดหีบเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ที่ได้ที่ 1 ด้วย 136 เสียง พยายามเจรจากับทุกพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่สำเร็จ เพราะรวบรวมเสียงเกือบครบ 250 เสียง ขาดเพียงไม่กี่ที่นั่ง หากไม่มีเสียง “พรรค ส.ว.” รออยู่ ก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยต้องสามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างไม่ยากเย็น

ทำให้เวลานั้น “โมเมนตัม” เทไปที่ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ที่ 2 ด้วย 116 ที่นั่งเดินเกมรวบรวมเสียงได้จนสำเร็จ เกินจาก 250 เสียงอย่างฉิวเฉียด ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 และแบ่งเค้กตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

เป็นบทเรียนที่พรรคเพื่อไทยนำมาสังเคราะห์ และกลั่นออกมาเป็นตัวเลข 310 เสียงเพื่อใช้ฉันทามติโค่น “อำนาจ 3 ป.” นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ภายในพรรคเพื่อไทยก็ยอมรับว่า เป้าหมาย “ซูเปอร์แลนด์สไลด์” ใน พ.ศ.ที่ไม่มีกระแส “ทักษิณฟีเวอร์” ถือว่าโอกาสถึงเส้นชัยเป็นไปได้ยาก

ใน “วอร์รูมเพื่อไทย” มีการวิเคราะห์สนามเลือกตั้งเป็นรายภูมิภาค แม้จะคิดแบบ “เข้าข้างตัวเอง” สุดๆ ขนาดกล้าวางเป้าหมายในภาคใต้ภึง 5 เขต ก็ยังป้ายไปไม่ใกล้เคียงหลัก 300 ด้วยซ้ำ

โดยคาดว่าฐานของพรรคเพื่อไทย ขณะนี้จะได้ ส.ส.ราว 220-250 เสียง จากภาคเหนือ 25-30 จาก 39 เขต, ภาคอีสาน 90-100 จาก 132 เขต, ภาคกลาง+ตะวันออก+ตะวันตก 40-50 จาก 138 เขต, ภาคใต้ 0-5 จาก 58 เขต และ กทม. 15-20 จาก 33 เขต และบวกกับที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เชื่อว่าจะได้ 40-50 ที่นั่ง

สิริรวมสูงสุดก็ได้ราวๆ 250 ที่นั่งเท่านั้น ยังห่างไกลจากเป้าหมายอยู่พอสมควร ทั้งๆ ที่ต้องบอกว่า พรรคเพื่อไทยปล่อยของออกมาเกือบหมดมือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดนโยบาย ค่าแรง 600 บาท, เงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาท หรือล่าสุดกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ยังไม่ระบุตัวเลข ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่หวือหวา เพราะเข็ดมาแล้วกับนโยบายจำนำข้าวของ “รัฐบาลปู”

รวมไปถึงตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่ปล่อย “มาดามอุ๊งอิ๊ง” ออกมาเดินสายหาเสียงในช่วงปีเศษที่ผ่านมา ก่อนสมทบด้วย “เสี่ยนิด แสนสิริ” ในรอบเดือนหลัง

ซึ่งก็ยังไร้วี่แววจะปลุกกระแสแลนด์สไลด์ให้ได้ 310 เสียง ทั้งที่ก่อนนี้เคยเชื่อว่า “ไพ่เด็ด” อย่าง “ลูกอุ๊ง” ที่หน้าตาเหมือน “พ่อษิณ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างกับแกะ จะมากวาดต้อน “ติ่งทักษิณ” ให้กลับมาหนุนพรรคเพื่อไทย และกระชากเรตติ้งจนติดลมบน

ปรากฎว่าวันนี้ เรตติ้งของตัวขายอย่าง “แพทองธาร” ก็ยังไล่หลังเรตติ้งพรรคอยู่พอสมควร กระทั่งนิด้าโพลในพื้นที่ กทม. ก็ยังตกเป็นฝ่ายตามหลัง “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

ขณะที่ชื่อของ “เศรษฐา” แม้จะเสริมภาพลักษณ์พรรคให้แน่นขึ้น พร้อมดึงคะแนนคนรุ่นใหม่มาได้บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอจะสร้างกระแสฟีเวอร์ได้

เมื่อทั้ง “ลูกอิ๊ง” เติมด้วย “เสี่ยนิด” ก็ยังไม่ถึงขั้นสร้าง “กระแส” ได้ ก็เลยต้องเป็นคิวของ “นายห้างทักษิณ” ต้องออกโรงเอง ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเกียวโดนิวส์ ของญี่ปุ่น ทำนองว่า พร้อมที่จะกลับมารับโทษจำคุกในประเทศไทย โดยขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ จะออกมาเป็นอย่างไร

“ทักษิณ” พูดด้วยว่า กำลังรอเวลาที่จะกลับมาประเทศไทยในปีนี้ หลังจากใช้ชีวิตลี้ภัยในต่างประเทศมาหลายปี เพราะถูกขับออกประเทศหลังการรัฐประหาร ในปี 49 และออกจากประเทศไทยในปี 51 เพื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับโทษในคุก

“ตอนนี้ผมเหมือนติดอยู่ในคุกขนาดใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้งในคุกที่เล็กกว่านั้น ก็ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ราคาที่ผมต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่าย เพราะผมอยากอยู่กับลูกหลาน ผมควรจะใช้ชีวิตที่เหลือกับลูกๆ หลานๆ ของผม” อดีตนายกฯหนีคดี ระบุ

คำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” ถูกตีความไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าเป็นคำพูดที่เชื่อไม่ได้ เพราะปลายปีที่ผ่านมา เจ้าตัวประกาศจะกลับประเทศหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ได้พูดเปรย และตอบคำถามหลายครั้งผ่านรายการคลับเฮ้าส์ว่า จะกลับประเทศไทยภายในสิ้นปี ที่ก็พิสูจน์แล้วว่า “ไม่เป็นความจริง”

ทว่า เมื่อถอดรหัสคำพูดครั้งล่าสุดของ “ทักษิณ” ต้องถือว่า “แปร่ง” ออกไปจากที่เคย เพราะเดิมเป็นที่รู้กันว่า “นายใหญ่เพื่อไทย” มีความปรารถนาที่จะกลัสบสู่มาตุภูมิแบบ “เท่ๆ” ซึ่งก็หมายถึงการไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงไม่ต้องรับโทษจำคุกในคดีที่ศาลตัดสินเป็นที่สุดไปแล้วมาโดยตลอด

หากแต่ในคำให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโดล่าสุด กลับพูดลงรายละเอียดถึงขั้นว่า “ถ้าผมต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้งในคุกที่เล็กกว่านั้น ก็ไม่เป็นไร” ตีความตรงตัวว่า หากกลับมาประเทศไทยก็พร้อมที่จะรับโทษจำคุก

ถือเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของ “ทักษิณ” ที่โพนทะนามาตลอดว่า ไม่ยอมรับโทษ เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม

ย้อนกลับไปไม่นาน ก็เคยมีกระแสข่าวทำนองว่า ที่ “ทักษิณ” พูดถึงเรื่องการปลับประเทศเป็นเเผ่นเสียงตกร่อง เพราะมี “ดีลลับ” กับ “ฝ่ายอำนาจ” ในการยอมกลับประเทศและเข้าเรือนจำทันที แต่ก็มี “เงื่อนไข” ว่า เข้าไปอยู่ไม่นาน และต้องได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี

จนแล้วจนรอด “ดีลลับ” ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เพราะ “ทักษิณ” ยังไม่กลับประเทศ กระทั่งมาจุดพลุอีกครั้งการสัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ

อันเป็นจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มกำลังจะเข้าสู่การหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งตามที่ไล่เรียงข้างต้นว่า กระแสพรรคเพื่อไทยยังห่างไกลเป้าหมาย 310 เสียง อาจเป็นเหตุที่ทำให้ “นายใหญ่” ต้องยอมเสี่ยงกลับมาติดคุก เพื่อแลกกับ “ซูเปอร์แลนด์สไลด์”

ด้วยหวังว่า การยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของตัวเอง จะแปรเปลี่ยนเป็น “คะแนนสงสาร” ดันให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และจัดตั้งรัฐบาลกุมอำนาจรัฐ ที่เท่ากับว่า จะมีพาวเวอร์ในการชี้เป็น-ตายให้กับ “ทักษิณ” หากยอมกลับมาติดคุกจริง

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นเดิมพันใหญ่ที่สุด เพราะหาก “ค่ายดูไบ” หาทางกลับสู่อำนาจไม่ได้ ก็เชื่อว่าอาจถึงขั้น “พรรคแตก” เพราะ “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายทน “อดยากปากแห้ง” มานานแล้ว และพร้อมที่จะสวิงกลับไปอยู่กับ “ฝ่ายกุมอำนาจ” แบบที่แทบไม่ต้อง “ดูด” ให้เสียทรัพยากรด้วย

สิ้นเสียง “ทักษิณ” ไม่นาน ก็ได้ “ลูกคู่” อย่าง “อ้ายยุทธ” ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ปรึกษาพรรคเพื่อชาติ ที่ดูเหมือนออกจากวงจร “ชินวัตร” มานานแล้ว แต่ในฐานะที่เป็น “มือทำงาน” ของ “นายใหญ่” ก็ออกมารับลูก โดยโยนข้อเสนอ “กลืนเลือดคนละก้อน” ใส่ “นายกฯ ตู่” โครมใหญ่

หวังจี้ “จุดตาย” ไม่ให้ “ลุงตู่” หาเสียงเรื่องรักสงบ หรือก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะ “ผู้ร้าย” พร้อมที่จะกลับมารับโทษแล้ว

เรื่องนี้ “ยงยุทธ” มองว่า เมื่อ “ทักษิณ” ยอมกลืนเลือดโดยการกลับมาติดคุก แล้ว “ฝ่ายผู้มีอำนาจ” ที่เชื่อว่าหมายไปถึง “บิ๊กตู่” ก็ควรยอมกลืนเลือด โดยการหาทางลงจากอำนาจบ้าง

กลายเป็นข้อเสนอ “ยื่นหมูยื่นแมว” ที่เมื่อจินตนาการตาม ก็คือการยอมให้พรรคเพื่อไทยที่คาดว่าจะเป็นผู้ชนะได้เก้าอี้ ส.ส.มากที่สุดในสนามเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาล และ “อำนาจ 3 ป.” ก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปนั่นเอง

แน่นอนว่า เมื่อคำถามถึงข้อเสนอ “กลืนเลือดคนละก้อน” ถูกถามไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ถูกปัดตกอย่างไม่ใยดี

“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ส่วนตัวยังไม่มีความเห็นอะไร ก็คิดกันเอาแล้วกัน แล้วทั้งหมดผมไม่ได้เป็นตัวความขัดแย้ง ผมก็เข้ามาแก้ไขความขัดแย้งทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใครจะพูดอะไรก็พูดไป ประชาชนก็แยกแยะกันเอาเอง สื่อก็ช่วยแยกแยะด้วยแล้วกัน ถ้าเอาทุกคำพูดมาเป็นประเด็น ก็ทะเลาะกันทั้งวันนั้นแหละ โต้กันไปโต้กันมา เพราะฉะนั้นผมไม่พูดเสียดีกว่า” พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไว้

ไม่ต้องนั่งอยู่ในใจ “บิ๊กตู่” ก็รู้ดีว่า ไม่มีทางยอมแลก หรือมีเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับคนชื่อ “ทักษิณ” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อตัดสินใจโดดลงสนามเลือกตั้งเต็มตัวกับ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องถือว่า “ถอยไม่ได้แล้ว”

อีกทั้งยังมีความหวัง “ลึกๆ” ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะสามารถกระชากเรตติ้งได้อย่าง “เลือกสงบจบที่…ลุงตู่” ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562

แต่ก็ต้องยอมรับว่า จนถึงวันนี้ “ค่ายลุงตู่” ยังไม่มีไม้เด็ดออกมาต่อยอดจาก “ต้นทุน” ที่เป็นแฟนคลับเดนตายของ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่อย่างใด ยิ่งเจอ “ทักษิณ” เปิดเกมกลับมาติดคุก ก็ไปกันใหญ่

ขณะที่ค่ายการเมืองอื่นเริ่มขยับเดินเกมหลังเลือกตั้งไปล่วงหน้าแล้ว อย่างการจับขั้วการเมืองใหม่ ระหว่าง “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย กับ “ค่ายลุงป้อม”พรรคพลังประชารัฐ ที่มีการเปิดโต๊ะกินข้าวสร้างกระแสกัน 2 ครั้งซ้อนๆ

หรืออย่างกรณี “ดีลข้ามสายพันธุ์” พรรคเพื่อไทย-พลังประชารัฐ ที่ฝ่ายแรกปฏิเสธกันจ้าละหวั่น แต่ก็เชื่อว่ามีการพูดคุยกันใน “บางระดับ” เพียงแต่ทางพรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้เปิดเผย เพราะมองว่าเป็น “ลบ” กับพรรคตัวเอง

ส่วน “ค่ายลุงตู่” ที่ถูกประเมินเป็นมวยหลัก กลับไร้ความเคลื่อนไหวในระดับน่าสนใจ ด้วยที่ผ่านมาเวลาจัดอีเวนท์ หรือตั้งเวทีปราศรัย ก็ล้วนแล้วแต่มี “ข่าวเชิงลบ” ออกมาตลอด นโยบายที่ปล่อยออกมาก็ “แป้ก” จนขุนไม่ขึ้น ได้แต่โพนทะนา “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” เลี้ยงกระแสไปเรื่อยๆ

ในสถานการณ์ที่ “ลุงตุ่” และพลพรรค ยังหา “ปัจจัยบวก” ไม่เจอ ก็อาจมองมุมกลับให้ “นิยายอยากกลับบ้าน” ของ “ทักษิณ” กลายเป็นกระแสปลุก “ฝ่ายแอนตี้ทักษิณ” ที่เป็น “ฝ่ายขวา” มาทุ่มเสียงให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ชนะขาด ในทำนองเดียวกับกลยุทธ์แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย

เพราะเมื่อเข้าโหมดหาเสียงเลือกตั้ง ก็จำเป็นต้องเล่นกับประเด็นให้เป็น ต่อยอดเป็นคะแนนเสียงให้ได้ ไม่ใช่ทำแต่ฉุนเฉียวปัดส่งไปเสียทุกเรื่อง

เผื่อจะพลิก “จุดตาย” ให้เป็น “จุดเปลี่ยน” ส่ง “ลุงตู่” ได้ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ควงกะกุมอำนาจไปอีกสมัย

อยู่ที่จะ “ทำเป็น” หรือเปล่าเท่านั้น.



กำลังโหลดความคิดเห็น