ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความผิดพลาดจากความสะเพร่าอย่างร้ายแรงของคณะบริหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่บันยะบันยัง บวกกับจังหวะการเดินนโยบายดอกเบี้ยอย่างผิดพลาดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คือตัวการสำคัญที่ทำให้แบงก์สหรัฐฯตกอยู่ในภาวะย่ำแย่หนัก.... บทสรุปรวบยอดในบทวิเคราะห์ของ DAVID P GOLDMAN จากเอเชียไทมส์ (www.asiatimes.com) ชี้ให้เห็นถึงต้นตอวิกฤตแบงก์สหรัฐฯล้มเป็นโดมิโนในเวลานี้
ไม่เพียงแต่แบงก์สหรัฐฯ เท่านั้น ข่าวที่เขย่าขวัญชาวโลกล่าสุดคือ ธนาคารเครดิตสวิส สถาบันการเงินใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กำลังออกอาการลูกผีลูกคน กระทั่งธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ต้องออกมายืนยันเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาว่าระดับเงินทุนและสภาพคล่องของเครดิตสวิสมีเพียงพอ แต่ก็พร้อมจัดหาสภาพคล่องแก่ธนาคารเพื่อการลงทุนและบริการทางการเงินระดับโลกแห่งนี้หากมีความจำเป็น
เอเอฟพี รายงานคำแถลงของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีขึ้นหลังจากหุ้นของธนาคารเครดิตสวิส ดำดิ่งแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (15 มีนาคม) โดยมูลค่าตลาดของธนาคารดิ่งลงต่ำกว่า 7,000 ล้านยูโร หลังจาก อัมมาร์ อัล คูไดรี ประธานซาอุดี เนชั่นแนล แบงก์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารเครดิตสวิส บอกว่า จะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคารแห่งนี้
เครดิตสวิส เผชิญเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมูลค่าตลาดของเครดิตสวิส ตกต่ำอยู่ก่อนแล้วในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ลุกลามจากปัญหาธนาคาร 2 แห่งของสหรัฐฯ พังครืน ขณะที่รายงานประจำปีของแบงก์เองอ้างถึง “ความอ่อนแออย่างเป็นรูปธรรม” ในระบบตรวจสอบและควบคุมภายใน
หุ้นของธนาคารดิ่งลงอย่างรวดเร็วในตลาดหลักทรัพย์สวิตเซอร์แลนด์ โดยร่วงลงมากกว่า 30% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.55 ฟรังก์สวิส ก่อนแกว่งตัวขึ้นมาเล็กน้อย ปิดการซื้อขายประจำวันที่ 1.679 ฟรังก์สวิส ปรับลด 24.24%
ความกังวลเกี่ยวกับธนาคารแห่งนี้แผ่ลามออกไปนอกเขตแดนสวิตเซอร์แลนด์ โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทางกระทรวงกำลังจับตาปัญหาต่างๆ ที่รายล้อมเครดิตสวิส และกำลังติดต่อประสานงานกับบรรดากระทรวงการคลังทั่วโลก
บรรดานักวิเคราะห์เตือนว่าเริ่มมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อภาคธนาคารในวงกว้าง ขณะที่หุ้นของสถาบันการเงินอื่นๆ กลับมาดิ่งลงหนักอีกครั้งในวันพุธ (15 มี.ค.) หลังจากฟื้นตัวหนึ่งวันก่อนหน้านี้
นีล วิลสัน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดของบริษัทเทรดดิ้ง ฟินัลโต ให้มุมมองว่า “ถ้าเครดิตสวิสวิ่งเข้าสู่ปัญหาการอยู่รอดร้ายแรง เราทั้งหมดที่อยู่ในโลกอื่นๆ ก็จะรับรู้ถึงความเจ็บปวด มันใหญ่เกินไปที่จะล้ม”
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หุ้นของเครดิต สวิส มีมูลค่า 12.78 ฟรังก์สวิส แต่จากนั้นธนาคารได้เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยแบงก์ได้รับผลกระทบขาดทุนมหาศาลจากการผิดนัดชำระหนี้และปิดตัวลงของ Archegos เฮดจ์ฟันด์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบทางการเงินแก่เครดิต สวิส มากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ แผนกบริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารยังได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของกรีนซิล บริษัทการเงินของสหราชอาณาจักรอีกด้วย
ธนาคารเครดิต สวิส รายงานมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 7,300 ล้านฟรังก์สวิส (7,800 ล้านดอลลาร์) สำหรับปีงบประมาณ 2022
ย้อนกลับมาพินิจการปิดตัวลงของ “ซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (SVB)” เมื่อวันศุกร์ (10 มีนาคม) ตามมาด้วยการพังครืนของ ธนาคารซิกเนเจอร์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กในอีก 2 วันต่อมา ก่อความหวาดวิตกแก่ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดการเงินปั่นป่วน บีบให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน รีบออกมารับประกันว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ มีความปลอดภัย และกระตุ้นให้มีการออกมาตรการฉุกเฉินต่างๆ เปิดทางให้สถาบันการเงินทั้งหลายเข้าถึงเงินทุนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี มีข้อวิตกกังวลตามมาว่าการล่มสลายของเอสวีบีและซิกเนเจอร์ ซึ่งถือเป็นการพังครืนของภาคธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงิน 2008 เปรียบเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่อาจเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินอื่นๆ อีก
สตีฟ มัวร์ ที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ณ สถาบันฟรีดอมเวิร์คส เห็นว่าการพังครืนของธนาคาร เอสวีบี อาจเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” สำหรับระบบการเงิน และชี้ว่าการใช้จ่ายมือเติบของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน ที่เป็นต้นตอให้เฟดต้องเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ได้นำมาซึ่งปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นกับบรรดาสถาบันการเงินหลักๆ มากมาย
สเตฟานี พอมบอย นักเศรษศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ซึ่งมีชื่อเสียงจากกรณีที่เธอคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเกี่ยวกับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกาในยุคต้นทศวรรษ 2000 และวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ได้ส่งเสียงแสดงความกังวลเกี่ยวกับล่มสลายของธนาคารบางแห่งและคริปโตเคอร์เรนซี ว่าอาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของวิกฤตเลวร้ายอีกครั้ง
“สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่สาหัสอย่างยิ่ง” พอมบอย ผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ มาร์โครมาเวนส์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) "เราอยู่บนขอบเหวของวิกฤตการเงินแบบเดียวกับปี 2008"
พอมบอย ชี้ว่า ในช่วงเวลาที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วโดย เฟดกำลังเปิดเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเงินที่เต็มไปด้วยภาระหนี้สินของอเมริกา
“...คุณปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นประวัติการณ์ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังโซเซ แล้วไปคาดหวังว่ามันจะไม่ก่อผลกระทบใดๆ” นักเศรษฐศาสตร์รายนี้กล่าว พร้อมระบุว่า หลังจากยอมเสี่ยงมากเกินไปมานานหลายปี “มันกำลังกลับมาไล่ล่าพวกเขาอย่างหนัก" และคาดหมายว่าสถานการณ์จะสืบต่อเป็นทอดๆ รวดเร็วมาก”
บิล แอคแมน มหาเศรษฐีผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เตือนว่า การล่มสลายของ SVB อาจโหมกระพือปัญหาเป็นทอดๆ ไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีปัญหา ก่อปฏิกิริยาลูกโซ่เหมือนกับปี 2008 ในขณะที่โดมิโนล้มลงอย่างต่อเนื่อง
SVB ถือเป็นสถาบันการเงินหลักที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ธุรกิจสตาร์ทอัปมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 และกลายมาเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลในช่วงสิ้นปี 2022 พบว่าธนาคารมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 209,000 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์
การสั่งปิดธนาคารแห่งนี้ไม่เพียงถือเป็นการล่มสลายของสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่กรณี ธนาคาร Washington Mutual ล้มเมื่อปี 2008 แต่ยังถือเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (retail bank) ใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกาที่ต้องปิดตัวลง
เอเอฟพี รายงานว่า การตัดสินใจของ SVB ที่นำเงินฝากของบรรดาลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสตาร์ทอัป ไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ทำให้ธนาคารแห่งนี้อ่อนแอต่อความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ยามที่เฟดเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเมื่อปีที่แล้ว
เมื่อยุคอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์สิ้นสุดลง เงินทุนของบรรดาบริษัทสตาร์ทอัปถูกผลาญอย่างรวดเร็ว และพวกลูกค้าของ SVB เริ่มถอนเงินของตนเองไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่งผลให้ทางธนาคารแห่งนี้ไม่มีทางเลือกอื่นๆ ยกเว้นแต่ยอมรับการขาดทุนในพันธบัตร ซึ่งโหมกระพือการแห่ถอนเงินด้วยความตื่นตระหนกของบรรดาผู้ฝากเงิน
เจ้าหน้าที่ด้านการเงินของสหรัฐฯ เปิดตัวมาตรการต่างๆ โดยมีเป้าหมายกอบกู้ความเชื่อมั่นในภาคธนาคารและสยบความปั่นป่วนในตลาด โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เฟด และสถาบันรับประกันเงินฝากสหรัฐฯ (เอฟดีไอซี) วางกรอบแผนการสำหรับรับประกันว่าบรรดาลูกค้าของเอสวีบีจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของพวกเขาทั้งหมดในธนาคารแห่งนี้ เช่นเดียวกับบรรดาผู้ฝากเงินของซิกเนเจอร์ แบงก์
นอกจากนี้ เฟดยังได้เปิดตัวกลไกกู้ยืมใหม่สำหรับสถาบันการเงินทั้งหลายในความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดกรณีซ้ำรอยการล่มสลายอย่างฉับพลันของเอสวีบี
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งยืนยันเคลื่อนไหวปกป้องเงินฝากของลูกค้า แต่จะไม่มีการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักลงทุนของธนาคารแต่อย่างใด “พวกเขายอมรับและรับรู้ถึงความเสี่ยง และเมื่อการเสี่ยงไม่ประสบผลสำเร็จ นักลงทุนก็ขาดทุน นั่นคือลักษณะของทุนนิยม”
การพังครืนอย่างฉับพลันของ เอสวีบี อาจทำให้เฟดยุติวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของเฟดในการสยบภาวะเงินเฟ้อระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดกำลังอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก พวกเขากำลังหาทางจัดการกับเงินเฟ้อที่ยังอยู่เหนือระดับเป้าหมาย โดยไม่ให้ก่อความปั่นป่วนวุ่นวายเพิ่มเติมแก่ภาคธนาคาร
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ และเวลล์ส ฟาร์โก คาดการณ์ว่าเฟดจะลงมติสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันที่ 22 มีนาคานี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์จากเจพี มอร์แกน และออกซฟอร์ด อีโคโนมิกส์ มองว่าเฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลงเพียง 0.25%
การไม่หยุดยั้งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อของเฟด ซึ่งส่งผลต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะออกมาตรการมารับรองระบบการธนาคารสหรัฐฯว่ามีความมั่นคงปลอดภัย แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่แดนแดงเถือกนับตั้งแต่วันที่ 13 – 14 มีนาคท เฉพาะแบงก์ในอเมริกามูลค่าหายวับเฉียด 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 3 วันทำการ
บรรดาหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของอเมริกาถือเป็นแบงก์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะราคาหุ้นของ เฟิร์สต์พับลิกแบงก์ ดิ่งลงกว่า 60% หลังจากข่าวการระดมทุนครั้งใหม่ไม่สามารถฟื้นความมั่นใจของนักลงทุนได้ เช่นเดียวกับราคาหุ้นของ เวสเทิร์นอัลลิอันซ์แบงก์คอร์ป และแพ็กเวสต์แบงก์คอร์ป
สำหรับภูมิภาคอื่นๆ ยุโรป คือด่านแรกที่รับรู้ผลกระทบจากวิกฤตแบงก์ล่มในอเมริกา โดยราคาหุ้น คอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนีร่วง 12.7% และเครดิตสวิส ดิ่ง 9.6% ทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่เมื่อวันจันทร์ (13 มี.ค.)ต่อมาในวันอังคาร (14 มี.ค.) ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียทรุดดิ่งตามไปด้วย ตลาดโตเกียว ฮ่องกง และโซลดิ่งลงกว่า 2% ขณะที่ซิดนีย์ ไทเป มะนิลา จาร์กาตา ส่วนตลาดหุ้นไทยตกกว่า 1%
แรงสั่นสะเทือนจากแบงก์สหรัฐฯพังครืน ส่งผลกระทบต่อไทยสักเพียงไหน นางสาวสุวรรณี เจษฎา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจงว่า ธปท.กำลังติดตามสถานการณ์และผลกระทบต่างๆ อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากกรณี SVB ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ของไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่ม ธพ. ที่สำคัญพบว่า ธพ. ไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่กลุ่มธุรกิจของ ธพ. ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่ง ธปท. ขอย้ำว่ามีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและ venture capital ที่เข้มงวด เช่น การให้หักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) ในทุกกรณี รวมทั้งกำหนดเพดานการลงทุนและการกำกับความเสี่ยงในด้านต่างๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม ธพ. ต่อเงินฝากของประชาชน
ด้านค่าเงินบาท ล่าสุดปรับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ภายหลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงเร็ว ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะถัดไป
ทางด้าน นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประเมินว่ากรณีแบงก์สหรัฐฯล้ม ยังไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย เพราะระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแรงมาก และมีโชคด้วยเพราะมีทุนเฉลี่ย 18-19% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รวมถึงเงินที่มาจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) และสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระบบเศรษฐกิจ หากมีผลกระทบจะเป็นเรื่องสภาพคล่องในตลาดโลกลดลงอาจมีผลกระทบทางอ้อม
แต่ถึงแม้ ตลท.จะปลุกปลอบไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย ทว่านับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาจนบัดนี้ที่ตลาดรับรู้ข่าวคราวแบงก์สหรัฐฯล้ม และแบงก์สวิตฯ ซวนเซ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยดำดิ่งและผันผวนหนัก ไม่ต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นายภากร เผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรง 49.18 จุด หรือ 3.13% มาอยู่ที่ 1,523.89 จุด (วันที่ 14 มี.ค.) เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่กังวลเหตุการณ์ธนาคารในสหรัฐฯที่ประสบปัญหา โดยตลาดหุ้นไทยเจอแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองว่า แบงก์สหรัฐฯล้มครั้งนี้ไม่น่าลามจนเกิดปัญหาเป็นวิกฤตการเงินเหมือนอดีตอย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤตซับไพรม์ ที่มาจากการปล่อยสินเชื่ออสังหาฯที่มีความเสี่ยง แต่ครั้งนี้แบงก์ซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีแต่ยิลด์ต่ำ แบงก์ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่พลาด ซึ่งอาจจะเห็นกรณีแบบนี้อีก โดยเฉพาะแบงก์ที่เกี่ยวโยงกับคริปโตเคอร์เรนซี หรือบริษัทเทคโนโลยีที่อาจตามมาได้ โดยกรณีที่เกิดขึ้นตัวแปรสำคัญที่สุดคือ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งบทเรียนในอดีตเมื่อขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งและแบงก์ล้มครั้งนี้เป็นอาการหนึ่ง เป็นหนังตัวอย่างที่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น
ทางด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีสถาบันการเงินของยุโรป Credit Suisse ว่า ให้ล้มไม่ได้ ... ยอมจำนนเป็นรายที่ 2 !!!! หลังตลาดกดดันมาทั้งวัน จนหุ้น Credit Suisse ทรุดลงไปมากกว่า 30% ใน 1 วัน !!! สุดท้าย ธนาคารกลางสวิส (SNB) และผู้กำกับสถาบันการเงินสวิส (FINMA) ประกาศพร้อมช่วยเหลือ Credit Suisse ….
“.... หาก Credit Suisse มีปัญหา ธนาคารกลางสวิสจะจัดให้ !!! ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่า Credit Suisse เป็นธนาคารที่สำคัญกว่า Silicon Valley Bank มาก มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์ เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิส มีอายุ 167 ปี ฝังรากลึกมีโครงข่าย เชื่อมโยงกับธนาคารต่างๆ ในยุโรป ในสหรัฐ อย่างลึกซึ้งใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้ม”
นายกอบศักดิ์ ระบุว่า แค่ความกังวลใจก็ทำให้หุ้นธนาคารอื่นๆ ในยุโรปร่วงตามเป็นแถว ๆ อาทิ Societe Generale -12.2% BNP Paribas -10.1% ING -9.6% BBVA -9.6% กระจายไปทั้งภูมิภาค โดยตลาดหุ้นอังกฤษ สเปน อิตาลี ตกไปประมาณ 4% ใน 1 วัน กระทั่งธนาคารกลางอังกฤษ ก็ต้องจัดประชุมฉุกเฉินกับกลุ่มธนาคารกลางอื่นๆ เพื่อหารือแนวทางที่จะดูแล
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งกรณีสหรัฐฯและยุโรปชี้ไปถึงความเปราะบางในระบบสถาบันการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นมากจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเกินคาดมา 1 ปีเต็มของธนาคารกลาง ทำให้สถาบันการเงินจำนวนมากจัดการความเสี่ยงได้ไม่หมด มีความเสียหายซ่อนไว้ในพอร์ตพันธบัตรที่ถือจากการลงทุนที่ไปลงไว้ ยิ่งเมื่อเศรษฐกิจซบเซาลงจากหนี้เสียต่าง ๆ ก็จะอ่อนแอลงไปเพิ่ม
ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า แต่ท้ายสุด เนื่องจาก Credit Suisse ใหญ่เกินไป สำคัญเกินไป ให้ล้มไม่ได้ !!! ทางการจึงต้องเข้ามาดูแล ไม่มีทางเลือก ... เพื่อให้ผ่านไปได้ แต่ล้มไม่ได้ ระหว่างทาง โลกก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย กรณี Credit Suisse คงไม่ใช่กรณีสุดท้าย สถาบันการเงินต่างๆ คงก็จะต้องรับกับแรงกระแทก แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นไปอีกระยะ เพราะธนาคารกลางหลักหลายประเทศยังสู้ศึกเงินเฟ้อไม่จบ นำมาซึ่งบทใหม่ของ Perfect Storm ที่ลุกลามไปภาคสถาบันการเงินที่อ่อนไหวเปราะบางมากขึ้น
อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ธนาคารเครดิตสวิส มีการถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนในไทยรวมกว่า 17 บริษัท ซึ่งเป็นการถือหุ้นโดยตรง และผ่าน CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH
ทั้งนี้ 16 บริษัทที่เครดิตสวิส ถือหุ้นผ่าน CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH ประกอบด้วย BANPU จำนวน 94,867,625 หุ้น 1.12%,BTS จำนวน 192,015,400 หุ้น 1.46%,TRUE จำนวน 757,962,909 หุ้น 2.19%,BWG จำนวน 88,000,000 หุ้น 1.93%,FNS จำนวน 8,554,900 หุ้น 2.47%,KEX จำนวน 12,120,900 หุ้น 0.70%, KSL จำนวน 89,702,836 หุ้น 2.03%, MINT จำนวน 175,176,600 หุ้น 3.29%, NER จำนวน 30,002,800 หุ้น 1.62%,PTECH จำนวน 73,000 หุ้น 0.04%, SAWAD จำนวน 63,251,089 หุ้น 4.61%, STARK จำนวน 2,602,064,700 หุ้น 21.85% , TMT จำนวน 47,002,300 หุ้น 5.40%, TSE จำนวน 76,247,946 หุ้น 3.60%, TTA จำนวน 150,000,000 หุ้น 8.23%, TWPC จำนวน 20,375,990 หุ้น 2.31%
ส่วนอีก 1 บริษัทที่เครดิตสวิส ถือหุ้นตรง (CREDIT SUISSE (SWITZERLAND) LTD.) ก็คือ RML จำนวน 170,191,000 หุ้น 4.08%
ถึงตรงนี้ คงต้องสรุปว่า ยิ่งข่าวสารสมัยนี้ไปไว ธุรกรรมทางการเงินก็แค่ปลายนิ้วจิ้มในการถอนเงิน โอนเงิน ขายหุ้น เก็งกำไร ความปั่นป่วนต่างๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย กระเทือนเป็นลูกโซ่ เป็นทอดๆ รวมถึงประเทศไทย แต่ด้วยพื้นฐานของไทยเราที่ดีพอ เราน่าจะผ่านไปได้ ?? ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน...