xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โดมิโนแบงก์สหรัฐฯ ล้ม แบงก์เครดิตสวิสซวนเซ ป่วนตลาดหุ้นไทยไข้ขึ้น จับตา Perfect Storm ลุกลาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ความผิดพลาดจากความสะเพร่าอย่างร้ายแรงของคณะบริหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่บันยะบันยัง บวกกับจังหวะการเดินนโยบายดอกเบี้ยอย่างผิดพลาดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คือตัวการสำคัญที่ทำให้แบงก์สหรัฐฯตกอยู่ในภาวะย่ำแย่หนัก.... บทสรุปรวบยอดในบทวิเคราะห์ของ DAVID P GOLDMAN จากเอเชียไทมส์ (www.asiatimes.com) ชี้ให้เห็นถึงต้นตอวิกฤตแบงก์สหรัฐฯล้มเป็นโดมิโนในเวลานี้  

ไม่เพียงแต่แบงก์สหรัฐฯ เท่านั้น ข่าวที่เขย่าขวัญชาวโลกล่าสุดคือ  ธนาคารเครดิตสวิส  สถาบันการเงินใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กำลังออกอาการลูกผีลูกคน กระทั่งธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ต้องออกมายืนยันเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาว่าระดับเงินทุนและสภาพคล่องของเครดิตสวิสมีเพียงพอ แต่ก็พร้อมจัดหาสภาพคล่องแก่ธนาคารเพื่อการลงทุนและบริการทางการเงินระดับโลกแห่งนี้หากมีความจำเป็น

 เอเอฟพี รายงานคำแถลงของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีขึ้นหลังจากหุ้นของธนาคารเครดิตสวิส ดำดิ่งแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ (15 มีนาคม) โดยมูลค่าตลาดของธนาคารดิ่งลงต่ำกว่า 7,000 ล้านยูโร หลังจาก อัมมาร์ อัล คูไดรี ประธานซาอุดี เนชั่นแนล แบงก์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารเครดิตสวิส บอกว่า จะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคารแห่งนี้  

เครดิตสวิส เผชิญเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมูลค่าตลาดของเครดิตสวิส ตกต่ำอยู่ก่อนแล้วในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ลุกลามจากปัญหาธนาคาร 2 แห่งของสหรัฐฯ พังครืน ขณะที่รายงานประจำปีของแบงก์เองอ้างถึง   “ความอ่อนแออย่างเป็นรูปธรรม” ในระบบตรวจสอบและควบคุมภายใน

หุ้นของธนาคารดิ่งลงอย่างรวดเร็วในตลาดหลักทรัพย์สวิตเซอร์แลนด์ โดยร่วงลงมากกว่า 30% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.55 ฟรังก์สวิส ก่อนแกว่งตัวขึ้นมาเล็กน้อย ปิดการซื้อขายประจำวันที่ 1.679 ฟรังก์สวิส ปรับลด 24.24%

ความกังวลเกี่ยวกับธนาคารแห่งนี้แผ่ลามออกไปนอกเขตแดนสวิตเซอร์แลนด์ โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ทางกระทรวงกำลังจับตาปัญหาต่างๆ ที่รายล้อมเครดิตสวิส และกำลังติดต่อประสานงานกับบรรดากระทรวงการคลังทั่วโลก

ซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (เอสวีบี) ที่พังครืนอย่างฉับพลันจากผลพวงของการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เร่งอัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ


บรรดานักวิเคราะห์เตือนว่าเริ่มมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อภาคธนาคารในวงกว้าง ขณะที่หุ้นของสถาบันการเงินอื่นๆ กลับมาดิ่งลงหนักอีกครั้งในวันพุธ (15 มี.ค.) หลังจากฟื้นตัวหนึ่งวันก่อนหน้านี้

นีล วิลสัน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดของบริษัทเทรดดิ้ง ฟินัลโต ให้มุมมองว่า “ถ้าเครดิตสวิสวิ่งเข้าสู่ปัญหาการอยู่รอดร้ายแรง เราทั้งหมดที่อยู่ในโลกอื่นๆ ก็จะรับรู้ถึงความเจ็บปวด มันใหญ่เกินไปที่จะล้ม”

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หุ้นของเครดิต สวิส มีมูลค่า 12.78 ฟรังก์สวิส แต่จากนั้นธนาคารได้เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยแบงก์ได้รับผลกระทบขาดทุนมหาศาลจากการผิดนัดชำระหนี้และปิดตัวลงของ Archegos เฮดจ์ฟันด์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบทางการเงินแก่เครดิต สวิส มากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ แผนกบริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารยังได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของกรีนซิล บริษัทการเงินของสหราชอาณาจักรอีกด้วย

ธนาคารเครดิต สวิส รายงานมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 7,300 ล้านฟรังก์สวิส (7,800 ล้านดอลลาร์) สำหรับปีงบประมาณ 2022

ย้อนกลับมาพินิจการปิดตัวลงของ “ซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (SVB)”  เมื่อวันศุกร์ (10 มีนาคม) ตามมาด้วยการพังครืนของ  ธนาคารซิกเนเจอร์  ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กในอีก 2 วันต่อมา ก่อความหวาดวิตกแก่ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดการเงินปั่นป่วน บีบให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน รีบออกมารับประกันว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ มีความปลอดภัย และกระตุ้นให้มีการออกมาตรการฉุกเฉินต่างๆ เปิดทางให้สถาบันการเงินทั้งหลายเข้าถึงเงินทุนเพิ่มเติม

อย่างไรก็ดี มีข้อวิตกกังวลตามมาว่าการล่มสลายของเอสวีบีและซิกเนเจอร์ ซึ่งถือเป็นการพังครืนของภาคธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงิน 2008 เปรียบเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่อาจเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินอื่นๆ อีก

 สตีฟ มัวร์ ที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ณ สถาบันฟรีดอมเวิร์คส เห็นว่าการพังครืนของธนาคาร เอสวีบี อาจเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” สำหรับระบบการเงิน และชี้ว่าการใช้จ่ายมือเติบของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน ที่เป็นต้นตอให้เฟดต้องเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ได้นำมาซึ่งปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นกับบรรดาสถาบันการเงินหลักๆ มากมาย 

สเตฟานี พอมบอย นักเศรษศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ซึ่งมีชื่อเสียงจากกรณีที่เธอคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเกี่ยวกับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกาในยุคต้นทศวรรษ 2000 และวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ได้ส่งเสียงแสดงความกังวลเกี่ยวกับล่มสลายของธนาคารบางแห่งและคริปโตเคอร์เรนซี ว่าอาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของวิกฤตเลวร้ายอีกครั้ง

“สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่สาหัสอย่างยิ่ง” พอมบอย ผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ มาร์โครมาเวนส์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) "เราอยู่บนขอบเหวของวิกฤตการเงินแบบเดียวกับปี 2008"

พอมบอย ชี้ว่า ในช่วงเวลาที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วโดย เฟดกำลังเปิดเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเงินที่เต็มไปด้วยภาระหนี้สินของอเมริกา

“...คุณปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นประวัติการณ์ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังโซเซ แล้วไปคาดหวังว่ามันจะไม่ก่อผลกระทบใดๆ” นักเศรษฐศาสตร์รายนี้กล่าว พร้อมระบุว่า หลังจากยอมเสี่ยงมากเกินไปมานานหลายปี “มันกำลังกลับมาไล่ล่าพวกเขาอย่างหนัก" และคาดหมายว่าสถานการณ์จะสืบต่อเป็นทอดๆ รวดเร็วมาก”

 บิล แอคแมน มหาเศรษฐีผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เตือนว่า การล่มสลายของ SVB อาจโหมกระพือปัญหาเป็นทอดๆ ไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีปัญหา ก่อปฏิกิริยาลูกโซ่เหมือนกับปี 2008 ในขณะที่โดมิโนล้มลงอย่างต่อเนื่อง 


SVB ถือเป็นสถาบันการเงินหลักที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ธุรกิจสตาร์ทอัปมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 และกลายมาเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลในช่วงสิ้นปี 2022 พบว่าธนาคารมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 209,000 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์

การสั่งปิดธนาคารแห่งนี้ไม่เพียงถือเป็นการล่มสลายของสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่กรณี ธนาคาร Washington Mutual  ล้มเมื่อปี 2008 แต่ยังถือเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (retail bank) ใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกาที่ต้องปิดตัวลง

เอเอฟพี รายงานว่า การตัดสินใจของ SVB ที่นำเงินฝากของบรรดาลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสตาร์ทอัป ไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ทำให้ธนาคารแห่งนี้อ่อนแอต่อความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ยามที่เฟดเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อยุคอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์สิ้นสุดลง เงินทุนของบรรดาบริษัทสตาร์ทอัปถูกผลาญอย่างรวดเร็ว และพวกลูกค้าของ SVB เริ่มถอนเงินของตนเองไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่งผลให้ทางธนาคารแห่งนี้ไม่มีทางเลือกอื่นๆ ยกเว้นแต่ยอมรับการขาดทุนในพันธบัตร ซึ่งโหมกระพือการแห่ถอนเงินด้วยความตื่นตระหนกของบรรดาผู้ฝากเงิน

เจ้าหน้าที่ด้านการเงินของสหรัฐฯ เปิดตัวมาตรการต่างๆ โดยมีเป้าหมายกอบกู้ความเชื่อมั่นในภาคธนาคารและสยบความปั่นป่วนในตลาด โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เฟด และสถาบันรับประกันเงินฝากสหรัฐฯ (เอฟดีไอซี) วางกรอบแผนการสำหรับรับประกันว่าบรรดาลูกค้าของเอสวีบีจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของพวกเขาทั้งหมดในธนาคารแห่งนี้ เช่นเดียวกับบรรดาผู้ฝากเงินของซิกเนเจอร์ แบงก์

นอกจากนี้ เฟดยังได้เปิดตัวกลไกกู้ยืมใหม่สำหรับสถาบันการเงินทั้งหลายในความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดกรณีซ้ำรอยการล่มสลายอย่างฉับพลันของเอสวีบี

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งยืนยันเคลื่อนไหวปกป้องเงินฝากของลูกค้า แต่จะไม่มีการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักลงทุนของธนาคารแต่อย่างใด “พวกเขายอมรับและรับรู้ถึงความเสี่ยง และเมื่อการเสี่ยงไม่ประสบผลสำเร็จ นักลงทุนก็ขาดทุน นั่นคือลักษณะของทุนนิยม”

การพังครืนอย่างฉับพลันของ เอสวีบี อาจทำให้เฟดยุติวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของเฟดในการสยบภาวะเงินเฟ้อระดับสูง ซึ่งคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดกำลังอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก พวกเขากำลังหาทางจัดการกับเงินเฟ้อที่ยังอยู่เหนือระดับเป้าหมาย โดยไม่ให้ก่อความปั่นป่วนวุ่นวายเพิ่มเติมแก่ภาคธนาคาร

นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ และเวลล์ส ฟาร์โก คาดการณ์ว่าเฟดจะลงมติสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันที่ 22 มีนาคานี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์จากเจพี มอร์แกน และออกซฟอร์ด อีโคโนมิกส์ มองว่าเฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลงเพียง 0.25%

 การไม่หยุดยั้งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อของเฟด ซึ่งส่งผลต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะออกมาตรการมารับรองระบบการธนาคารสหรัฐฯว่ามีความมั่นคงปลอดภัย แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่แดนแดงเถือกนับตั้งแต่วันที่ 13 – 14 มีนาคท เฉพาะแบงก์ในอเมริกามูลค่าหายวับเฉียด 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 3 วันทำการ 

บรรดาหุ้นธนาคารระดับภูมิภาคของอเมริกาถือเป็นแบงก์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะราคาหุ้นของ เฟิร์สต์พับลิกแบงก์ ดิ่งลงกว่า 60% หลังจากข่าวการระดมทุนครั้งใหม่ไม่สามารถฟื้นความมั่นใจของนักลงทุนได้ เช่นเดียวกับราคาหุ้นของ เวสเทิร์นอัลลิอันซ์แบงก์คอร์ป และแพ็กเวสต์แบงก์คอร์ป

สำหรับภูมิภาคอื่นๆ ยุโรป คือด่านแรกที่รับรู้ผลกระทบจากวิกฤตแบงก์ล่มในอเมริกา โดยราคาหุ้น คอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนีร่วง 12.7% และเครดิตสวิส ดิ่ง 9.6% ทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่เมื่อวันจันทร์ (13 มี.ค.)ต่อมาในวันอังคาร (14 มี.ค.) ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียทรุดดิ่งตามไปด้วย ตลาดโตเกียว ฮ่องกง และโซลดิ่งลงกว่า 2% ขณะที่ซิดนีย์ ไทเป มะนิลา จาร์กาตา ส่วนตลาดหุ้นไทยตกกว่า 1%

แรงสั่นสะเทือนจากแบงก์สหรัฐฯพังครืน ส่งผลกระทบต่อไทยสักเพียงไหน   นางสาวสุวรรณี เจษฎา  ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจงว่า ธปท.กำลังติดตามสถานการณ์และผลกระทบต่างๆ อย่างใกล้ชิด

 ธนาคารเครดิตสวิส สถาบันการเงินใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กำลังออกอาการลูกผีลูกคน

“เฟิร์สท์ รีพับลิก” กับแบงก์เล็กอื่นๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยงจะล้มเป็นโดมิโนตามธนาคาร SVB
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากกรณี SVB ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ของไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่ม ธพ. ที่สำคัญพบว่า ธพ. ไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่กลุ่มธุรกิจของ ธพ. ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่ง ธปท. ขอย้ำว่ามีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและ venture capital ที่เข้มงวด เช่น การให้หักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) ในทุกกรณี รวมทั้งกำหนดเพดานการลงทุนและการกำกับความเสี่ยงในด้านต่างๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม ธพ. ต่อเงินฝากของประชาชน

ด้านค่าเงินบาท ล่าสุดปรับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ภายหลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงเร็ว ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะถัดไป

ทางด้าน  นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประเมินว่ากรณีแบงก์สหรัฐฯล้ม ยังไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย เพราะระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแรงมาก และมีโชคด้วยเพราะมีทุนเฉลี่ย 18-19% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รวมถึงเงินที่มาจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) และสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระบบเศรษฐกิจ หากมีผลกระทบจะเป็นเรื่องสภาพคล่องในตลาดโลกลดลงอาจมีผลกระทบทางอ้อม

(แฟ้มภาพ) เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
แต่ถึงแม้ ตลท.จะปลุกปลอบไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย ทว่านับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาจนบัดนี้ที่ตลาดรับรู้ข่าวคราวแบงก์สหรัฐฯล้ม และแบงก์สวิตฯ ซวนเซ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยดำดิ่งและผันผวนหนัก ไม่ต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นายภากร เผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรง 49.18 จุด หรือ 3.13% มาอยู่ที่ 1,523.89 จุด (วันที่ 14 มี.ค.) เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่กังวลเหตุการณ์ธนาคารในสหรัฐฯที่ประสบปัญหา โดยตลาดหุ้นไทยเจอแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ

 นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองว่า แบงก์สหรัฐฯล้มครั้งนี้ไม่น่าลามจนเกิดปัญหาเป็นวิกฤตการเงินเหมือนอดีตอย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤตซับไพรม์ ที่มาจากการปล่อยสินเชื่ออสังหาฯที่มีความเสี่ยง แต่ครั้งนี้แบงก์ซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีแต่ยิลด์ต่ำ แบงก์ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่พลาด ซึ่งอาจจะเห็นกรณีแบบนี้อีก โดยเฉพาะแบงก์ที่เกี่ยวโยงกับคริปโตเคอร์เรนซี หรือบริษัทเทคโนโลยีที่อาจตามมาได้ โดยกรณีที่เกิดขึ้นตัวแปรสำคัญที่สุดคือ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งบทเรียนในอดีตเมื่อขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งและแบงก์ล้มครั้งนี้เป็นอาการหนึ่ง เป็นหนังตัวอย่างที่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น

ทางด้าน  นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีสถาบันการเงินของยุโรป Credit Suisse ว่า ให้ล้มไม่ได้ ... ยอมจำนนเป็นรายที่ 2 !!!! หลังตลาดกดดันมาทั้งวัน จนหุ้น Credit Suisse ทรุดลงไปมากกว่า 30% ใน 1 วัน !!! สุดท้าย ธนาคารกลางสวิส (SNB) และผู้กำกับสถาบันการเงินสวิส (FINMA) ประกาศพร้อมช่วยเหลือ Credit Suisse ….

 “.... หาก Credit Suisse มีปัญหา ธนาคารกลางสวิสจะจัดให้ !!! ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่า Credit Suisse เป็นธนาคารที่สำคัญกว่า Silicon Valley Bank มาก มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์ เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิส มีอายุ 167 ปี ฝังรากลึกมีโครงข่าย เชื่อมโยงกับธนาคารต่างๆ ในยุโรป ในสหรัฐ อย่างลึกซึ้งใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้ม” 

นายกอบศักดิ์ ระบุว่า แค่ความกังวลใจก็ทำให้หุ้นธนาคารอื่นๆ ในยุโรปร่วงตามเป็นแถว ๆ อาทิ Societe Generale -12.2% BNP Paribas -10.1% ING -9.6% BBVA -9.6% กระจายไปทั้งภูมิภาค โดยตลาดหุ้นอังกฤษ สเปน อิตาลี ตกไปประมาณ 4% ใน 1 วัน กระทั่งธนาคารกลางอังกฤษ ก็ต้องจัดประชุมฉุกเฉินกับกลุ่มธนาคารกลางอื่นๆ เพื่อหารือแนวทางที่จะดูแล

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งกรณีสหรัฐฯและยุโรปชี้ไปถึงความเปราะบางในระบบสถาบันการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นมากจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเกินคาดมา 1 ปีเต็มของธนาคารกลาง ทำให้สถาบันการเงินจำนวนมากจัดการความเสี่ยงได้ไม่หมด มีความเสียหายซ่อนไว้ในพอร์ตพันธบัตรที่ถือจากการลงทุนที่ไปลงไว้ ยิ่งเมื่อเศรษฐกิจซบเซาลงจากหนี้เสียต่าง ๆ ก็จะอ่อนแอลงไปเพิ่ม

ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า แต่ท้ายสุด เนื่องจาก Credit Suisse ใหญ่เกินไป สำคัญเกินไป ให้ล้มไม่ได้ !!! ทางการจึงต้องเข้ามาดูแล ไม่มีทางเลือก ... เพื่อให้ผ่านไปได้ แต่ล้มไม่ได้ ระหว่างทาง โลกก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย กรณี Credit Suisse คงไม่ใช่กรณีสุดท้าย สถาบันการเงินต่างๆ คงก็จะต้องรับกับแรงกระแทก แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นไปอีกระยะ เพราะธนาคารกลางหลักหลายประเทศยังสู้ศึกเงินเฟ้อไม่จบ นำมาซึ่งบทใหม่ของ Perfect Storm ที่ลุกลามไปภาคสถาบันการเงินที่อ่อนไหวเปราะบางมากขึ้น

อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ธนาคารเครดิตสวิส มีการถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนในไทยรวมกว่า 17 บริษัท ซึ่งเป็นการถือหุ้นโดยตรง และผ่าน CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH

หุ้นกลุ่มแบงก์ติดลบทั่วโลก ตั้งแต่นิวยอร์กจนถึงเอเชียหลังการปิดตัวของ SVB
ทั้งนี้ 16 บริษัทที่เครดิตสวิส ถือหุ้นผ่าน CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH ประกอบด้วย BANPU จำนวน 94,867,625 หุ้น 1.12%,BTS จำนวน 192,015,400 หุ้น 1.46%,TRUE จำนวน 757,962,909 หุ้น 2.19%,BWG จำนวน 88,000,000 หุ้น 1.93%,FNS จำนวน 8,554,900 หุ้น 2.47%,KEX จำนวน 12,120,900 หุ้น 0.70%, KSL จำนวน 89,702,836 หุ้น 2.03%, MINT จำนวน 175,176,600 หุ้น 3.29%, NER จำนวน 30,002,800 หุ้น 1.62%,PTECH จำนวน 73,000 หุ้น 0.04%, SAWAD จำนวน 63,251,089 หุ้น 4.61%, STARK จำนวน 2,602,064,700 หุ้น 21.85% , TMT จำนวน 47,002,300 หุ้น 5.40%, TSE จำนวน 76,247,946 หุ้น 3.60%, TTA จำนวน 150,000,000 หุ้น 8.23%, TWPC จำนวน 20,375,990 หุ้น 2.31%

ส่วนอีก 1 บริษัทที่เครดิตสวิส ถือหุ้นตรง (CREDIT SUISSE (SWITZERLAND) LTD.) ก็คือ RML จำนวน 170,191,000 หุ้น 4.08%

 ถึงตรงนี้ คงต้องสรุปว่า ยิ่งข่าวสารสมัยนี้ไปไว ธุรกรรมทางการเงินก็แค่ปลายนิ้วจิ้มในการถอนเงิน โอนเงิน ขายหุ้น เก็งกำไร ความปั่นป่วนต่างๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย กระเทือนเป็นลูกโซ่ เป็นทอดๆ รวมถึงประเทศไทย แต่ด้วยพื้นฐานของไทยเราที่ดีพอ เราน่าจะผ่านไปได้ ?? ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน... 



กำลังโหลดความคิดเห็น