xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ขุนรอง “ปลัดชู” “พญาตู่” ทาบเงา?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่น่าเชื่อว่า ทำไปทำมาเมืองไทยจะต้องมาขับเคลื่อนด้วยคนที่ชื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” อดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ ที่นับวันชัก “เล่นใหญ่” ขึ้นเรื่อยๆ หลังสถาปนาตัวเป็น “ผู้ผดุงความยุติธรรม” เปิดโปงทุนสีเทา-ขบวนการสีกากี ลามปามไปถึงการเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงเข้าลู่ลงสนามเลือกตั้ง

ต้องยอมรับว่าความเคลื่อนไหวของ “เฮียชู” ได้รับความสนใจจากสังคมในวงกว้าง แต่หลังๆ ก็เกิดเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า “เฮียชู” รับงาน “ใคร” มาหรือไม่ เพราะเป้าหมายเริ่มสะเปะสะปะ จับทางไม่ถูก

จากเดิมที่ “เฮียชู” ฉวยเอากระแส “ทุนจีนสีเทา” จากกรณี “ตู้ห่าว” ออกมาสวมบท “ฮีโร่” เปิดโปงลากไส้แก๊งมาเฟียจีนเทา บ่อนพนันออนไลน์ ยาเสพติด ตำรวจรีดไถ “หมวยไต้หวัน” นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตำรวจรับส่วย เครือข่ายพนันออนไลน์ “สารวัตรซัว-เป็นต่อ กรุ๊ป” ตามสไตล์บู๊ล้างผลาญ รู้ลึกรู้จริง นำไปสู่การจับกุมกวาดล้าง จน “จีนเทา” หนีออกนอกประเทศกันแทบไม่ทัน

ผลงานของ “เฮียชู” เอกอุ ถึงขั้นได้รับรางวัลนำจับในคดี “ตู้ห่าว” และจินหลิงผับ ที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด มีการไล่ยึดทรัพย์เครือข่ายได้กว่า 8 พันล้านบาท ซึ่ง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า “ผู้ชี้เบาะแสอย่าง คุณชูวิทย์ จะได้เงินรางวัลนำจับ 5 เปอร์เซ็นต์จากยอดทั้งหมด”

ดีดลูกติดแล้ว รางวัลนำจับที่ “เฮียชู” มีสิทธิ์ได้มากถึง 4 ร้อยล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวก็ยังสลัดความเป็น “ฮีโร่” ไม่หลุด ประกาศว่า หากได้รับจริง ไม่ขอรับเงินแม้แต่บาทเดียว และจะนำเงินทั้งหมดบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ พร้อมปวารณาตัวเป็น “องคุลิมาลกลับใจ”

ทำเอาสังคมแซ่ซ้องเชิดชูในความเป็น “ฮีโร่” และกลายเป็นความหวังที่ประชาชนจะฝากผีฝากไข้ ในเรื่องการปราบปราม “วงจรสีเทา” ที่กัดกร่อนเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน

ทว่า แอ็กชันของ “ชูวิทย์” เริ่มดูแปร่งๆ มาพักใหญ่ หลังจากที่ช่วงต้นเดือนมกราคม 2566 ที่ได้เปิดสายสัมพันธ์ “หลานนายกฯ” กับ “จีนเทาตู้ห่าว” ว่า มีธุรกิจให้เช่ารถบัสด้วยกัน ก่อนที่จะบุกเข้าไปที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อทวงถามความคืบหน้าการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และทุนจีนสีเทา กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในระหว่างกิจกรรม “รวมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ที่เป็นการเปิดตัว “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566

โดยมี “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น “สายตรงนายกฯ” เป็นคนพา “เฮียชู” เข้าพบนายกฯ ภายในห้องรับรอง

จากนั้น “ชูวิทย์” ก็ออกมาประกาศทันทีว่า จะตรวจสอบทุนจีนสีเทาต่อ แต่จะไม่ขุดคุ้ย “หลานนายกฯ” อีก เพราะ “บิ๊กตู่” เอ่ยปากขอว่า “พอได้แล้ว” พร้อมทั้งอวยพรให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยในนามพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย

ทั้งที่ช่วงที่เอาล่อเอาเถิดกับ “หลานนายกฯ” ยังเพิ่งปรามาส “บิ๊กตู่” ว่า ถ้ายังปราบปรามทุนจีนสีเทาไม่ได้ ก็อย่าริคิดจะเป็นนายกฯ อีกเลย อยู่หลัดๆ

จนน่าสนใจว่า “ชูวิทย์” ไปสะดุดอะไรเข้า ขณะได้พบ “บิ๊กตู่” ในห้องรับรองที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์วันนั้น

 ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ท่ามกลางความระคนสงสัยของสังคมในความสัมพันธ์ระหว่าง “บิ๊กตู่-เฮียชู” ที่มี “เสธ.หิ” เป็นตัวเชื่อม จู่ๆ “ชูวิทย์” ก็โผล่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ทำทีว่าจะไปติดตามทวงถาม และมอบข้อมูลการทุจริตในหน่วยงานรัฐให้แก่นายกฯ

ปรากฎว่า เป็น “หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ลงมารับเรื่องแทน โดยมี “เสธ.หิ” คนดีคนเดิมเป็นผู้นำพาเข้าไป

โดยประเด็นที่ “ชูวิทย์” นำมาเปิดวันนั้นมี 4 เรื่องด้วยกัน ประกอบด้วย การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม, การรุกล้ำที่ดินในอุทยานแห่งชาติทับลาน, เว็บพนันออนไลน์ และการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม

หลังจากนั้นดูเหมือน “เฮียชู” จะหมกมุ่นอยู่กับประเด็นรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นพิเศษ โดยที่ประเด็นอื่นแม้แต่ทุนสีเทา-เว็บพนัน ที่ตามติดต่อเนื่อง กลายเป็นเครื่องเคียงเท่านั้น

งานนี้ก็เลยมีการอ่านกันว่า “ชูวิทย์” ตั้งแท่นล่อเป้า “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะ ด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม อยู่ภายใต้กำกับของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ที่มี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการ

ซึ่งทางฝั่ง พรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ใช่อนุบาลการเมืองก็อ่านออกว่า งานนี้มีอะไรทะแม่งๆ จน “หัวหน้าหนู” อยุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องออกมากระแอมว่า “บางพรรค” พา “ชูวิทย์” เข้าทำเนียบฯ หวังสาดโคลน ดิสเครดิตทางการเมือง

แน่นอนว่า หมายถึง “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี “พีระพันธุ์-หิมาลัย” เป็นคีย์แมน และมี “บิ๊กตู่” เป็นว่าที่แคนดิเดตนายกฯ นั่นเอง

ที่สุด “อนุทิน” ก็อุตส่าห์ไม่ถือสาเอาความ ออกลูก “สุภาพบุรุษ” ว่า ได้เคลียร์กับทั้ง “เสธ.หิ” และฝ่ายพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้ว แต่กลายเป็นว่า “ชูวิทย์” ก็ยังไม่จบ เอะอะมะเถิงตามสไตล์ไหลไปถึงเรื่องเขากระโดง กัญชา หรือหยุมหยิมไปถึงการหยอกล้อเตะก้นกันระหว่าง “หัวหน้าหนู” กับ “ครูใหญ่เน” เนวิน ชิดชอบ ที่รู้กันดีว่าเป็นคนคัดท้ายให้กับ “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทย

โดยการโจมตีนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ทำเอา “เฮียชู” หัวทิ่มไปเหมือนกัน หลังเหน็บแนมว่า “กัญชา พี้เพื่อชาติ!” และ “กัญชา เหรียญสองด้าน สนองกิเลสพรรคภูมิใจไทย” พร้อมโจมตีว่าเป็นนโยบายมอมเมาประชาชน และเรียกร้องให้ภาครัฐออกกฎหมายควบคุม

“ป่าวประกาศกันแต่ประโยชน์ตามนโยบาย “กัญชาทางการแพทย์” แต่ที่ไม่บอกคือ “โทษของกัญชา” คนเสพมากเสพน้อยกันอย่างไร? และปัญหาใหญ่คือ “การควบคุมกัญชา” จะโปรโมตให้ใช้ ให้ปลูก ให้ขาย แต่ไม่เคยคิดว่ามาตรการควบคุมต้องเป็นอย่างไร ปล่อยให้ขายสะเปะสะปะ ไม่มีปัญญาควบคุม แล้วไปโยนให้ตำรวจทำหน้าที่ ทั้งที่ทุกวันนี้ตำรวจมีงานอาชญากรรมสารพัดต้องปราบปราม ..." อดีตเจ้าพ่ออ่างเคยว่าไว้

แต่กลับพบว่า ภายในโรงแรมเดอะ เดวิส บางกอก ซ.สุขุมวิท 24 ที่เป็นกิจการของ “ครอบครัวเฮียชู” กลับเปิดให้บริการบาร์กัญชา Chuweed Bar มีการโปรโมทบริการคอร์สกัญชาเพื่อสันทนาการแบบโจ๋งครึ้ม แถมภาพการ์ตูนโลโก้ร้ายก็ยังเป็นหน้าของ “ชูวิทย์” เอง เช่นเดียวกับชื่อบาร์ก็ล้อมาจาก “นักแฉคนดัง” ด้วย

เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้าไปตรวจบาร์กัญชาที่โรงแรมเดอะ เดวิส บางกอก ตามที่ได้รับการร้องเรียน แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ทำเอา “ชูวิทย์” ก็เล่นใหญ่ออกอาการฟิวส์ขาด กวาดข้าวของในร้านกัญชาทิ้งต่อหน้านักข่าว ถ่มน้ำลายรดหน้าภาพของแกนนำพรรคภูมิใจไทย พร้อมกล่าวหาถูกกลั่นแกล้งเนื่องจากเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของกระทรวงคมนาคม แต่ก็อ้างว่า ที่เปิดบาร์กัญชาก็เพราะเห่อไปตามกระแสนั่นเอง

จากนั้นการเคลื่อนไหวของ “เฮียชู” ก็ยิ่งบ้าเลือด ไล่ทุบตีพรรคภูมิใจไทยต่อเนื่องในหลายประเด็น ทั้งยังฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้ที่ออกมาทักเตือนอย่างไม่ไว้หน้า

แต่ก็ยังไม่เคลียร์ประเด็น “เงินทอน” การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่เปิดออกมาก่อนหน้านั้นว่า มีการโอนเงิน 3 หมื่นล้าน ผ่านแบงก์ HSBC ที่สิงคโปร์ แต่พอถูกมวงถามหา “ใบเสร็จ” กลับพลิกลิ้นว่า “การประมูลยังไม่เสร็จ จะมีเงินทอนได้อย่างไร”

คู่ขนานไปกับคำถามกรณี “รับงาน” มาดิสเครดิต “ค่ายเซราะกราว” ที่กระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง “ชูวิทย์” ก็ออกลูก “แก้เกี้ยว” ว่า ที่เบนเป้ามาขย่มฝ่ายการเมือง ก็เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ที่จะติดตามตรวจสอบทุกพรรคการเมือง

ก่อนจะหันไปรับน้อง “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสแสนสิริ ที่เพิ่งเข้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และว่าที่หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย โดย “ชูวิทย์” รับลูกนักข่าวที่สอบถามว่า จะตรวจสอบพรรคเพื่อไทยบ้างหรือไม่

ซึ่ง “เฮียชู” ก็ทำลับลมคมในว่า รู้เบื้องหลัง “เศรษฐา” เป็นอย่างดี และเตือนว่ามีแผลแน่ พร้อมพูดไปถึงบุคคลชื่อ “ขงเบ้ง” ซึ่งอยู่เบื้องหลังและให้คำปรึกษา “เสี่ยนิด” และหากคนทั้งวงการหุ้นได้ยินชื่อต้อง “ขนลุก”

เอาเข้าจริงชื่อของ “เสี่ยเบ้ง” หรือ “พี่เบ้ง” ทศพงศ์ จารุทวี อดีตผู้บริหาร N-PARK หรือ แนเชอรัล พาร์ค ก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอย่างที่ “ชูวิทย์” พยายามสื่อออกมา คนในวงการธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รู้ดีว่า “ทศพงศ์” มีสถานะเป็น “คู่เขย” ของ “เศรษฐา” แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆกับการทำธุรกิจ หรือการเมืองของ “เสี่ยนิด”

อ่านกันว่าการหันไปตุ๊ย “เศรษฐา” ก็เพียงเพื่อลบคำปรามาสจาก สนธิ ลิ้มทองกุล ที่กำลังฟาดฟันกับ “ชูวิทย์” ในกรณีกัญชาทางการแพทย์อย่างเมามัน ที่ท้าทายว่า “ชูวิทย์” รับงาน "พรรคเพื่อไทย" มาหรือไม่ เพราะไม่เคยต่อว่าหรือตรวจสอบพรรคเพื่อไทย รวมถึง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งที่มีคดีทุจริตมากมาย

สอดรับกับ “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมลวมประชาชน และประธาน นปช. ที่กำลังก่อฟืนเผาบ้านเก่า “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยแบบรายวัน ที่เพิ่งออกมาตุ๊ย “เศรษฐา” ในท้องเรื่อง “ขงเบ้ง” เช่นกัน

ก็เลยมีการจับโยงว่า การเคลื่อนไหวของ “ชูวิทย์-จตุพร” มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ด้วย

เอาเข้าจริงพรรคภูมิใจไทย-เศรษฐา ดูจะไม่ใช่เป้าการเมืองเป้าแรกของ “ชูวิทย์” เพราะในช่วงที่กำลังติดลมบนกรณีทุนจีนเทา “เฮียชู” ก็พยายามบอกใบ้ความเชื่อมโยงกับ “ผู้กอง” ที่รู้กันว่าเป็นคนสนิทของ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ว่ากันว่า ข้อมูลการเชื่อมโยงกลุ่มทุนจีนเทาถึง “ผู้กอง-พล.อ.ประวิตร” ในการอภิปรายโดยไม่ลงมติที่เพิ่งผ่านพ้นไปของ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็มาจาก “ชูวิทย์” นี่แหละ

ดูตามที่ไล่เรียงไป ทุกพรรค ทุกก๊วนการเมือง ต่างถูก “ชูวิทย์” ตามถลกหน้ากากกันอย่างถ้วนหน้า

แต่หากพิเคราะห์ลงลึกก็จะเห็นความผิดปกติเล็กๆ เพราะในขณะที่กลุ่มก๊วนการเมืองอื่นถูกไล่เบี้ยแบบเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะ “สายลุงป้อม” แต่กับกรณี “หลานนายกฯ” ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าฟอกเงินให้ “ตู้ห่าว” จากกรณีเช่ารถทัวร์นับร้อยคันผ่านบริษัทที่มีนอมินีของ “ตู้ห่าว” ถือหุ้นหรือไม่ “เฮียชู” ผู้กัดไม่ปล่อยในทุกประเด็น กลับปล่อยเรื่องนี้ไปหลังจากที่เข้าพบ “นายกฯตู่” ที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ แทบจะทันที

สปอตไลท์จึงจับจ้องไปที่ “เสธ.หิ-หิมาลัย” ที่ติดคุกพร้อมๆ กับ “เฮียชู” ในคดีรื้อบาร์เบียร์ และวันนี้มาเปิดหน้าช่วยงานการเมือง “นายตู่” อยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จนทำให้ “เสธ.หิ” ต้องออกมาปฏิเสธว่า “ความคิดชั่วๆ ผมทำไม่เป็น” หลังถูกมองว่าอยู่เบื้องหลัง “ชูวิทย์” ที่ไล่ทุบตีพรรคการเมืองอดื่น

ที่น่าสนใจที่สุด หนีไม่พ้นกรณี “ส.ว.ทรงเอ” ที่ถูก “ส.ส.โรม” อภิปรายว่ามีความเชื่อมโยงกับนักธุรกิจชาวเมียนมาในคดียาเสพติดและฟอกเงิน ซึ่งอยู่นอกสคริปต์ที่ “เฮียชู” ส่งให้ และวันนี้รู้กันทั่วว่า “ส.ว.ทรงเอ” คือใคร และก็ได้มอบหมายให้ทนายความฟ้องร้อง “รังสิมันต์” ฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย

ทว่า กรณี “ส.ว.ทรงเอ” กลับไม่เคยอยู่ในเรดาห์ของ “เฮียชู” อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เข้าทาง “จอมแฉ” อย่าง “ชูวิทย์” เป็นอย่างมาก จนน่าสนใจว่า “อดีตเจ้าพ่ออ่าง” มีเกณฑ์ในการเลือกเป้าแฉอย่างไร หรือมีอะไรดี จนทำให้ “จอมแฉ” ถึงกับไม่กล้าแตะต้อง

ยิ่งมีข้อมูลว่า เป็นเจ้าของที่ดิน และตึก ในซอยอารีย์ ซึ่ง “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ เช่าใช้เป็นที่ทำการพรรค อยู่ในขณะนี้ ก็พาลนึกย้อนไปว่า อะไรเทาๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่ายนี้ ดูจะไม่ใช้เป้าหมายของ “เฮียชู” หรือไม่

ยกตัวอย่างที่พอจะทำให้เกิดคำถามคันหัวใจอีกสักเรื่อง อย่างกรณี “ตำรวจ” ที่มีเรื่องราวมากมายและ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็คือหัวเรือใหญ่ที่นั่งกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) อยู่ แต่กลับปรากฏว่า “เฮียชู” ไม่เคยที่จะออกมาแจกแจงถึงความบกพร่องในหน้าที่ของ “พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมตอบประชาชนให้ได้ว่า ทำไมถึงไม่จัดการตำรวจหรือปฏิรูปตำรวจสักทีทั้งที่นั่งอยู่ในอำนาจยาวนานกว่า 8 ปี กลับกลายเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟ และ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ลอยตัวเหนือปัญหาไปเสียอย่างนั้น

จนทำให้คนคิดไปไกลว่า คนอยู่เบื้องหลัง “เฮียชู” ในการออกมาฟาดฟันฝ่ายการเมือง จะเป็นอย่างที่เขาว่ากันไหม

คล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่อง “ขุนรอง ปลัดชู” ที่อยากจะเติมสร้อยเข้าไปอีกนิดว่า “พญาตู่ทาบเงา” เสียเหลือกำลัง.




กำลังโหลดความคิดเห็น